เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 69 พรรษา ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 นี้“ฐานเศรษฐกิจ” ได้รวบรวม 10 เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับวันพระราชสมภพ ของพระองค์ท่านเมื่อย้อนไปในปี พ.ศ. 2495 และบางช่วงเหตุการณ์สมัยทรงพระเยาว์เพื่อร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายพระพรในวโรกาสอันน่าชื่นชมยินดีนี้
1.ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2495 ได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูปการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร”
2.พระนาม “วชิราลงกรณ” นั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงตั้งถวาย มาจาก “วชิรญาณ” พระนามฉายาขณะทรงพระผนวชในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวกกับ “อลงกรณ์” จากพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 3. ในวันพระราชสมภพนั้น ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้บันทึกบรรยายบรรยากาศก่อนเวลาพระราชสมภพว่า “...วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า ฝนไม่ได้ตกมานาน...นายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่ สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา 17 นาฬิกา กับ 45 นาที ในนาทีเดียวกันนั้นเองฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยละอองลงมา ดูคล้ายๆ ฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้...อารามดีใจสมประสงค์ของดวงใจทุก ๆ ดวง นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ ซึ่งพร้อมที่จะบอกแก่ที่ประชุม ณ พระที่นั่งอัมพรสถานว่า พระราชโอรส หรือพระธิดา กล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า ผู้ชาย แทนที่จะว่า พระราชโอรส...”
4.แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ระบุว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ทรงพระสำราญดีทั้งสองพระองค์
5.หลังวันพระราชสมภพ 1 เดือนกับอีก 18 วัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ตามโบราณราชประเพณี ในวันที่ 14 และ 15 กันยายน 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในพระราชพิธีนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้มีพระลิขิตไปถวายพระพรชัยมงคลในนามแห่งคณะสงฆ์ไทย
6.ในพระราชพิธีดังกล่าว สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดขับไม้มโหรีถวายพระพร มีการถ่ายทอดเสียงในพระราชพิธีทางวิทยุไปทั่วประเทศ เนื้อหามีความไพเราะยิ่ง ดังนี้ “เห่เอยพระหน่อนาถ พระเยาวราชอดิศร หน่อเนื้อพระชินวร จำเริญสวัสดิมงคล เทพเชิญเจริญพักตร์ พระยอดรักมาปฏิสนธิ์ ปวงข้าประชาชน ประชุมชื่นนิยมชม เห่เอยเห่กล่อม พระทูลกระหม่อมจะบรรทม ข้าบาทขอบังคม ขับประสมดนตรี ฟังเสนาะเพราะสำเนียง ประสานเสียงดีดสี ขับไม้มโหรี บำเรอบาทให้ไสยา” 7.ปีพ.ศ.2499 ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นเป็นนักเรียนอนุบาลรุ่นที่ 2 ณ พระที่นั่งอุดร ในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ซึ่งขณะนั้นเป็นที่ประทับ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 เสด็จไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างอาคารเรียนชั้นเดียวในบริเวณสวนจิตรลดา และพระราชทานนามโรงเรียนว่า โรงเรียนจิตรลดา ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนนี้ จนถึงปีพ.ศ. 2505
8.ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2509 จากนั้นทรงศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซท ระหว่างปี 2509-2513 ด้วยพระอุปนิสัยโปรดความมีระเบียบวินัย และสนพระราชหฤทัยในกิจการเกี่ยวกับกองทัพ โปรดการสเด็จเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่าง ๆกับพระราชบิดานับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงทรงเข้ารับการศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ เขตพารามัตตา นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ช่วงเดือนส.ค. 2513 ถึง พ.ค. 2514 จากนั้นในเดือนม.ค. 2515 จึงทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา
9.เมื่อมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารตามโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515 มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร” นับเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 10.ในวาระอันเป็นมงคลนั้น พระองค์ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ความว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นสยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอิสริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญา ความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิต ร่างกายจะหาไม่
บัดนี้กาลเวลาผ่านไป ได้เป็นที่ประจักษ์ว่าตลอดระยะเวลา นับแต่ยังทรงพระเยาว์ตราบจนปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงยึดมั่นในพระราชปฏิญญามาโดยตลอด |