จัดทำโดย เด็กหญิงอภิสรา พุทธประวัติ เด็กหญิงสุทธิดา ยางสี เด็กหญิงวิลาสินี พรมทองมี คุณครูที่ปรึกษา นางธิดารัตน์ ประสมสุข นางนภาพร ภูชำนิ ระดับชั้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 สถานศึกษา โรงเรียนสนามบิน อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2555 ที่มาและความสำคัญของโครงงาน จากการสังเกตของสมาชิกในกลุ่มเห็นแม่ครัวและแม่ค้าในโรงเรียนนำไข่มาประกอบอาหารเกือบทุกวัน วันละประมาณ 300-500 ฟอง แล้วทิ้งเปลือกไข่ลงในถังขยะ ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษและปัญหาภาวะโลกร้อน ดังนั้นสมาชิกในกลุ่มจึงได้ไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของเปลือกไข่จากอินเทอร์เน็ต ทำให้ทราบว่าในเปลือกไข่มีสารประกอบอินทรีย์เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 95 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์เป็นแร่อื่นๆ ผสมกัน เช่น แคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมคาร์บอเนต และโปรตีน จึงได้ไปปรึกษาคุณครูเพื่อจะได้นำเอาเปลือกไข่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป คุณครูได้พาพวกเราไปพบผู้รู้คือ นายสัตวแพทย์ปฏิวัติ คุณดิลกพจน์ ปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่น นายบุญชู ชมภูสอ นักวิชาการสัตวบาลชำนาญการ และเกษตรกร บ้านโนนกู่ หมู่ที่ 24 ตำบลสาวะถี ซึ่งเป็นบ้านของสมาชิกในกลุ่ม ผู้รู้ได้ให้คำแนะนำว่าเอาเปลือกไข่ไปหมักกับน้ำซาวข้าวจะได้แร่ธาตุ(แคลเซียม) ที่สามารถนำไปใช้กับพืช จะช่วยทำให้โครงสร้างของพืชแข็งแรง นำไปให้สัตว์กินเพื่อบำรุงกระดูก และเป็นการช่วยลดมลพิษและปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้สิ่งแวดล้อมสะอาดและอากาศบริสุทธิ์ เป็นการสร้างเสริมคุณภาพชีวิต ปลูกจิตรักษ์สิ่งแวดล้อม จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า เพื่อลดปัญหาเรื่องขยะเปลือกไข่ที่ก่อให้เกิดมลพิษและปัญหาภาวะโลกร้อน เพื่อเป็นการนำขยะเปลือกไข่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนำความรู้ไปเผยแพร่ในชุมชน สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า นำเปลือกไข่ไปหมักกับน้ำซาวข้าวจะได้น้ำหมักเปลือกไข่ไปใช้กับพืชและสัตว์ ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ตัวแปรต้น เปลือกไข่ น้ำซาวข้าว ตัวแปรตาม น้ำหมักจากเปลือกไข่ ตัวแปรควบคุม ระยะเวลาที่ใช้ในการหมักน้ำหมักจากเปลือกไข่ ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 1. โรงเรียนสนามบิน ถนนประชาสโมสร อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 2. บ้านโนนกู่ หมู่ที่ 24 ตำบลสาวะถี อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3. บ้านบึงฉิม หมู่ที่ 4 ตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 4. ระยะเวลาที่ศึกษา มิถุนายน-สิงหาคม 2555 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ได้ความรู้เกี่ยวกับสารประกอบของเปลือกไข่ ประโยชน์น้ำซาวข้าว ได้ความรู้เรื่องการทำน้ำหมักเปลือกไข่ ลดปัญหาขยะเปลือกไข่ที่ก่อให้เกิดมลพิษและปัญหาภาวะโลกร้อน อภิปรายผลการศึกษา จากการทดลองพบว่า น้ำหมักจากเปลือกไข่และน้ำซาวข้าว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปัญหาขยะจากเปลือกไข่และน้ำเสียที่เกิดจากน้ำซาวข้าวของโรงเรียนสนามบินและช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน หลังจากการทดลองนำน้ำหมักจากเปลือกไข่ไปทดลองใช้ในชุมชนพบว่า ประชาชนในชุมชนมีความสนใจในน้ำหมักจากเปลือกไข่เนื่องจากน้ำหมักจากเปลือกไข่มีคุณภาพในการเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้กับสัตว์และรักษาความสะอาดที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยง และเนื่องจากเปลือกไข่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น เป็นการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในชุมชน และประเด็นสุดท้ายประชาชนในชุมชนมีสุขภาวะที่ดีขึ้น สรุปผลการศึกษา จากการศึกษาการหมักเปลือกไข่ด้วยน้ำซาวข้าวและทดลองนำไปใช้ในชุมชนบริเวณใกล้เคียงโรงเรียนสนามบิน สรุปผลการศึกษา ดังนี้ น้ำหมักเปลือกไข่ที่มีคุณภาพสามารถใช้เลี้ยงสัตว์ รดพืชผักและทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ปริมาณขยะเปลือกไข่และน้ำซาวข้าวในโรงเรียนสนามบินลดลง นำความรู้ไปเผยแพร่ในชุมชนและประชาชนในชุมชนให้ความสนใจ คนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมและประเทศไทยจะอาศัยการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรเป็นสินค้าที่ส่งออกที่สำคัญนำรายได้เข้าประเทศได้ปีละมหาศาลและผลักดันประเทศไปเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกแต่ปัจจุบันการเกษตรได้รับผลกระทบจากการซื้อปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูงมากส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นประกอบกับคนไทยนิยมทำการเกษตรเคมีมากกว่ายึดรูปแบบตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรประเทศไทยมีแนวโน้มมากขึ้นแต่กำลังความสามารถในการผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรของประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้องนำปุ๋ยเคมีเข้าจากต่างประเทศทำให้ประเทศไทยเสียดุลการค้า การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากแทนธาตุอาหารที่เป็นอินทรียวัตถุและการใช้สารเคมีฆ่าแมลงแทนสมุนไพร เพื่อการกำจัดศัตรูพืช ก่อให้เกิดปัญหาด้านต่าง
ๆ เช่น 1.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น เกิดจากสารปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้ำและดินทำให้ระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตเสียไป 2.ปัญหาต่อความปลอดภัยสุขภาพของเกษตรกรซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพชีวิตของเกษตรกรต่ำลงเนื่องจากได้รับสารเคมีเข้าไปในร่างกายมากๆ ตลอดจนปัญหาการตกค้างของสารเคมี ผลิตผลทางการเกษตร ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ในขณะที่การใช้ปุ๋ยและสารเคมีส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นประจวบกับมีการรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
คุณภาพของพืชผักและใส่ใจผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบัน เกษตรกรมีความสนใจการเกษตรแบบธรรมชาติและหรือเกษตรยั่งยืนกันมากขึ้น จึงใช้สิ่งต่างๆในธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัว มาทดลองและประยุกต์ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น การเกษตรแบบธรรมชาติโดยใช้เทคนิคทางด้านจุลินทรีย์ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นหรือในธรรมชาตินี้ เป็นภูมิปัญญาที่ได้พัฒนาในหลายประเทศ เช่น เกาหลี ไทย เป็นต้น จนได้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพหรือปุ๋ยน้ำชีวภาพ แล้วแต่จะเรียกซึ่งมีความหมายเหมือนกัน ดังนั้นผู้จัดทำโครงงานจึงมีแนวความคิดที่จะนำวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร
เช่นผักต่าง ๆ และผักสะเดา จุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาล นำมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ ดังนั้นการเอา จุรินทรีย์ EM มาช่วยในการเร่ง ปฏิกิริยาการย่อยสลายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เหลือใช้ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิตการเกษตร ลดการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศที่มีราคาสูง ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาต่อสุขภาพต่อเกษตรกรและผู้บริโภคด้วย
1.เพื่อเรียนรู้และศึกษาวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพ 2.เพื่อเป็นแนวทางในการแนะนำเกษตรกรให้หันมาใช้สารที่ผลิตจากธรรมชาติ 3.เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรและชาวบ้านหันมาใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากเศษพืชและผัก การทำน้ำหมักชีวภาพ EM ก่อนที่จะลงมือทำ เราควรทราบหลักการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพกันก่อนคือ ประเด็นแรกคือ ความสะอาด ไม่มีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ประเภททำลายหรือทำให้เกิดการบูดเน่า ซึ่งการใช้ภาชนะที่สะอาดและมีฝาดปิดมิดชิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรละเลย ประการต่อมาคือ
ขณะหมักจะต้องวางถังหมักไว้ในที่ร่มไม่ให้ถูกแสงแดดโดยตรง เพราะจะทำให้กลุ่มจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ตายและแสงแดดยังสลายสารอาหารที่เป็นประโยชน์ด้วย ประการต่อมาคือ ต้องให้เวลาในการหมักนานประมาณ 3 เดือนเพื่อให้กระบวนการย่อยสลายมีความสมบูรณ์ จึงสามารถนำน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพไปใช้งานหรือทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพสำหรับยางพาราหรือพืชทั่ว ๆ ไป และประการสุดท้าย หากต้องการขยายหัวเชื้อ จะต้องทำการละลายน้ำตาลกับน้ำสะอาดก่อนที่จะใส่หัวเชื้อน้ำหมัก วัสดุและอุปกรณ์ในการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพในถังขนาด 60 ลิตร
วิธีทำน้ำหมัก จุลินทรีย์ชีวภาพ น้ำหมัก : น้ำ 1: 200 เมื่อนำไปใช้ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์เพื่อทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ |