Share: Show กรดโฟลิค (Folic Acid) เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตเซลล์ใหม่ให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ตั้งครรภ์ กรดโฟลิคอาจช่วยป้องกันการแท้งบุตร ความพิการแต่กำเนิดเกี่ยวกับสมองและกระดูกสันหลังของทารก และอาจช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของ DNA ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ ในบางครั้ง กรดโฟลิคก็ถูกใช้รักษาโรคโลหิตจางชนิดที่เกิดจากการขาดกรดโฟลิคร่วมกับยารักษาตัวอื่น ๆ ด้วย กรดโฟลิคเป็นสารที่สังเคราะห์จากวิตามินบี 9 หรือโฟเลตที่พบในอาหารหลายชนิด เช่น ตับ อาหารทะเล ไข่ ผักใบเขียว ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ แต่หากกำลังตั้งครรภ์ หรือบริโภคกรดโฟลิคไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สามารถบริโภคในรูปของอาหารเสริมได้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เกี่ยวกับ Folic Acid กลุ่มยา อาหารเสริม ประเภทยา ยาตามคำสั่งแพทย์ อาหารเสริม สรรพคุณ เสริมสร้างกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกาย ป้องกันและรักษาอาการเจ็บป่วยจากการขาดกรดโฟลิค กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่ การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตรCategory A จากการศึกษาในมนุษย์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์มีน้อย และไม่พบผลข้างเคียงในทารกที่ได้รับนมแม่ของหญิงที่ได้รับกรดโฟลิก หากกำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ เพราะอาจต้องพิจารณาปรับยาให้รับประทานในปริมาณที่เหมาะสม รูปแบบของยา ยารับประทาน ยาฉีด คำเตือนของการใช้กรดโฟลิคเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
ปริมาณการใช้กรดโฟลิคกรดโฟลิคมีปริมาณการใช้ที่แตกต่างกันออกไปตามโรคหรือภาวะที่ต้องการรักษา และดุลยพินิจของแพทย์และเภสัชกร ดังนี้ 1. การรับประทานเป็นอาหารเสริมปริมาณกรดโฟลิคที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
2. การป้องกันความผิดปกติแต่กำเนิดในผู้ที่ตั้งครรภ์ กระทรวงสาธารณสุขและสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิดแห่งประเทศไทยแนะนำการรับประทานโฟลิคในหญิงวัยเจริญพันธุ์ว่าควรเริ่มรับประทานก่อนวางแผนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนและรับประทานอย่างต่อเนื่องในช่วงตั้งครรภ์ เพราะอาจช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิด รวมทั้งภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (Neural Tube Defect) ซึ่งเป็นความผิดปกติแต่กำเนิดที่เกิดกับท่อประสาทที่ไขสันหลังหรือสมองของทารก
3. การรักษาภาวะขาดกรดโฟลิคการรักษาภาวะขาดกรดโฟลิคด้วยการรับประทานหรือการฉีดกรดโฟลิค มีปริมาณที่แตกต่างกันตามช่วงอายุ และสภาวะร่างกาย ดังนี่
4. การรักษาภาวะโลหิตจางชนิด Megaloblastic Anemiaภาวะโลหิตจางชนิด Megaloblastic Anemia เป็นภาวะที่เซลล์ในไขกระดูกไม่สามารถสร้าง DNA ได้ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดและทำให้เลือดจาง สาเหตุหนึ่งมาจากการขาดกรดโฟลิค ผู้ใหญ่
5. การป้องกันภาวะการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเรื้อรัง (Chronic Haemolytic States)ผู้ใหญ่ รับประทาน 1–5 มิลลิกรัม/วัน ทุก 1–7 วัน ขึ้นอยู่กับโรค ส่วนปริมาณการใช้ยาในกรณีที่เจ็บป่วยด้วยโรคและภาวะอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณารักษาตามความเหมาะสมต่อไป การใช้กรดโฟลิคสำหรับผู้ป่วยที่ใช้กรดโฟลิคเพื่อการรักษา ควรใช้ยาให้ถูกต้องตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่รับประทานยาเกินกว่าปริมาณหรือยาวนานเกินกว่าที่แพทย์กำหนด ส่วนผู้ที่รับประทานกรดโฟลิคเป็นอาหารเสริม ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายตามฉลากที่ระบุข้างผลิตภัณฑ์และคำแนะนำของเภสัชกร ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยประการใด ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาเสมอ การใช้กรดโฟลิคแบบรับประทาน ให้รับประทานพร้อมน้ำเปล่า 1 แก้ว และเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ในอุณหภูมิห้องบริเวณที่พ้นจากความชื้นและความร้อน หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้รอบเวลาถัดไปที่ต้องใช้ยา ให้ข้ามไปรับประทานยารอบถัดไปในปริมาณปกติ หากรับประทานยาเกินขนาด ควรไปพบแพทย์หรือขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เมื่อพบสัญญาณของอาการที่เกิดจากการรับประทานยาเกินขนาด ดังต่อไปนี้
นอกจากการเสริมกรดโฟลิคให้ร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดี รักษาภาวะขาดกรดโฟลิค และโรคโลหิตจางแล้ว กรดโฟลิคอาจถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น อัลไซเมอร์ กระดูกพรุน ภาวะซึมเศร้า ปวดประสาท ปวดกล้ามเนื้อ จอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น ปฏิกิริยาระหว่างกรดโฟลิคกับยาอื่นกรดโฟลิคอาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือลดประสิทธิภาพของยาลง
อย่างไรก็ตาม กรดโฟลิคอาจทำปฏิกิริยากับยาอื่นนอกจากที่ระบุข้างต้น จึงควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนเสมอหากใช้ยาหรืออาหารเสริมชนิดใดอยู่ ผลข้างเคียงจากการใช้กรดโฟลิคการใช้ยากรดโฟลิคอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น
อย่างไรก็ตาม หากอาการป่วยเหล่านี้ไม่หายไป ไม่ดีขึ้น หรือทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ส่วนผลข้างเคียงที่เป็นอาการแพ้ เช่น มีผดผื่นคัน หายใจลำบาก ลิ้น ปาก ลำคอ หรือใบหน้าบวม ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน |