รสวรรณคดี นิราศนรินทร์ ตัวอย่าง

นริ าศนรินทร์คาโคลง

นริ าศ

ที่มาของเรือ่ ง

นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) แต่งนิราศเรื่องนี้เมื่อคราวตามเสด็จ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรกั ษ์ ซึ่งทรงยกทพั ไปปราบพมา่ ที่ ยกมาตีเมืองถลางและเมืองชุมพร ในชว่ งตน้ รชั กาลที่ ๒ เมือ่ ปีมะเสง็ (พ.ศ. ๒๓๕๒) นิราศเรื่องนี้ผู้แต่งไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ แต่เรียกกันโดยทั่วไป ตามชื่อผู้แต่งว่า “นิราศนรินทร์” เนื้อหาเป็นการพรรณนาถึงการเดินทาง และพร่าพรรณนาถึงนางอนั เปน็ ทีร่ ัก

จดุ ประสงคใ์ นการแตง่

๑. เพือ่ แสดงความอาลยั รักหญิงทีจ่ ากมา ๒. เพือ่ บันทึกเหตกุ ารณใ์ นการเดินทาง

ประวัติผแู้ ตง่

โคลงนิราศเรือ่ งนี้ นรินทรอ์ ิน รองบาทบวรวงั ถวิน วา่ ไว้ บทใดปราชญ์ปวงฉิน เชิญเปลี่ยน แปลงพอ่ ปรงุ เปรียบเสาวคนธ์ไล้ เลือกลิ้มดมดู

ประวตั ิผูแ้ ตง่

นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) ชื่อเดิมว่า “อิน” เกิดที่ต่าบลบางบ่อ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับราชการเป็นมหาดเล็กหุ้มแพร ในกรม พระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้รับบรรดาศักดิ์ เปน็ นายนรินทรธิเบศร์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒ กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จ ไปรบกับพม่าทางถลางและชุมพร นายนรินทรธิเบศร์ได้ตามเสด็จไป ดว้ ย และไดแ้ ตง่ นิราศเรือ่ งหนึง่ คือ โคลงนิราศนรินทร์

ลกั ษณะค่าประพนั ธ์

ร่ายสภุ าพน่า ๑ บท ตอ่ ดว้ ยโคลงสีส่ ภุ าพ ๑๔๓ บท

ตัวอยา่ งร่ายสุภาพ

ศรีสิทธ์พิ ิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ ศรีอยธุ เยนทร์แย้มฟ้า แจกแสงจ้าเจดิ จันทร์ เพียงรพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญหา้ วแหนบาท สระทกุ ขร์ าษฎร์รอนเสี้ยน สา่ ยเศิกเหลี้ยนลง่ หลา้ ราญราบหนา้ เภริน เขญ็ ขา่ วยินยอบตัว ควบคอ้ มหวั ไหวล้ ะลา้ ว ทกุ ไทน้าวมาลย์น้อม ขอออกอ้อมมาอ่อน ผอ่ นแผ่นดินให้ผาย ขยายแผ่นฟ้าให้แผว้ เลีย้ งทแกล้วให้กล้า พระยศไท้เทิดฟ้า เฟือ่ งฟงุ้ ทศธรรม ท่านแฮ

ตัวอย่างโคลงสี่สภุ าพ

จากมามาลิว่ ลา่้ ล่าบาง

บางยี่เรือราพลาง พีพ่ ร้อง

เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา

บางบร่ บั คา่ คล้อง คล่าวนา้่ ตาคลอ

เรือ่ งยอ่

เริ่มเรื่องด้วยร่ายสุภาพยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ กล่าวถึง ความเจริญของบ้านเมือง จากน้ันจึงร่าพันถึงการจาก นางอันเปน็ ทีร่ ักและพรรณนาสถานที่ที่ผา่ นไป ดงั นี้

เรื่องย่อ (ตอ่ )

ออกจากปากคลองผดุงกรุงเกษม ตอนวัดเทวราชกุญชร แล้วตัดข้ามฟาก แม่น่้าเจ้าพระยาทางฝ่ังธนบุรี เข้าคลองบางกอกใหญ่ ถึงต่าบลบางขุนเทียน ข้าม แม่น่้าท่าจีน ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร เข้าคลองสามสิบสองคด เข้าแม่น้่าแม่กลอง ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม ออกปากแม่น้าแม่กลองออกสู่ทะเล ถึงบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เลียวเข้าคลองถึงเมืองเพชรบุรี และเดินทางบกต่อมาถึงเมืองก่าเนิด นพคณุ หรือบางสะพาน และวกขึนไปจนถึงเมืองตะนาว

สรปุ เส้นทางการเดินทางของกวี

กรงุ เทพมหานคร แมน่ าท่าจีน แม่นาแมก่ ลอง

บ้านแหลม เพชรบุรี บางสะพาน ตะนาวศรี

คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์

มีการใช้เสียงพยัญชนะของคา่ สุดท้ายวรรคหน้า เป็นเสียงเดียวกนั กับ

วรรคหลัง ดงั นี

ตราบขุนคิริขน้ ขาดสลาย แลแม่

รักบห่ ายตราบหาย หกฟ้า

สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ

ไฟแล่นล้างสี่หล้า ห่อนลา้ งอาลยั

ขน้ -ขาด , หาย-หก, ขจาย-จาก, หล้า-ลา้ ง

คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์

ถอดความได้ว่า เขาพระสุเมรุหักโค่นลงและสูญสิ้นไป แต่ความรักของพีไ่ ม่มีวันสูญสลาย แม้ว่าสวรรค์ ๖ ชั้นแรกจะสูญ ไปแล้ว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะถูกท่าให้กระจัดกระจาย แยกย้ายกันไป และไฟบรรลัยกัลป์เผาเผาทวีปทั้ง ๔ จนหมดสิ้น กไ็ ม่อาจท่าลายความรักของพีท่ ีม่ ีต่อน้องได้

คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์

ใช้คา่ ปฏิพากยเ์ พื่อขับความใหเ้ ด่นชดั ค่าปฏิพากย์ คือ คา่ ตรงขา้ มกัน มีความหมายขัดแยง้ กัน เช่น ค่าว่า “ล่ม-ลอย” และค่าว่า “บงั -เบิก” ดังนี้

อยธุ ยายศล่มแลว้ ลอยสวรรค์ ลงฤๅ สิงหาสนป์ รางค์รัตนบ์ รร เจิดหล้า บญุ เพรงพระหากสรรค์ ศาสนร์ ุ่ง เรืองแฮ บงั อบายเบิกฟ้า ฝึกฟืน้ ใจเมือง

คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์

ถอดความได้ว่า กรุงศรีอยุธยาหายไปแล้ว และกลับลอยลงมา จากสวรรค์อีกครั้งหนึ่งหรืออย่างไร พระราชอาสน์และปรางค์ปราสาท ช่างงดงามเฉิดฉายเด่นอยู่ในโลก บุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ที่ ทรงสร้างสมในอดีตไว้ได้สร้างความงดงามเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ท่าให้พระ ศาสนารุ่งเรือง พระองค์ทรงปิดทางไปสู่อบายภูมิหรือทุกขภูมิ พร้อมท้ัง เปิดสวรรค์ใหแ้ ก่ชาวเมืองของพระองค์

คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์

การเลน่ สมั ผสั พยญั ชนะ ดังนี้

เอียงอกเทออกอ้าง อวดองค์ อรเอย เมรุชบุ สมุทรดินลง เลขแต้ม อากาศจกั จานผจง จารึก พอฤๅ โฉมแม่หยาดฟา้ แย้ม อยู่รอ้ นฤๅเห็น

คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์

ถอดความได้ว่า พี่เอียงอกเทความรักในอกพี่ที่มีต่อน้องออกมา อวดให้น้องได้รู้ พี่จะใช้เขาพระสุเมรุแทนปากกาและจุ่มน้่าใน มหาสมุทรแทนน่้าหมึก เขียนเปน็ ตัวอักษรลงบนผืนแผ่นดินแผ่นฟ้าซึง่ มีทีไ่ ม่มากพอใหพ้ ี่จารึกได้หมด นอ้ งของพี่ซึ่งหยาดหยดลงมาจากฟา้ มี ความทุกขอ์ ย่างไร พี่กไ็ มอ่ าจรู้ได้เลยในเวลานี้

คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์

การเลน่ คา่ พ้องเสียง เพื่อให้เกิดเสียงทีเ่ น้นย้าความร้สู ึก ดงั นี

เหน็ จากจาก(๑)แจกกา้ น แกมระก่า(๓)

ถนัดระกา่ กรรม(๔)จา่ จาก(๒)ชา้

บาปใดที่โททา่ แทนเท่า ราแม่

จากแต่คาบนี้หนา้ พี่นอ้ งคงถนอม

เล่นคาพ้องเสยี งคาว่า “จาก” และ “ระกา” คือ

จาก(๑) หมายถึง ตน้ จาก จาก(๒) หมายถึง การห่างเหนิ กนั

ระกา(๓) หมายถงึ ตน้ ระกา กรรม(๔) หมายถงึ การกระทา (กรรมเวร)

คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์

ถอดความได้ว่า เห็นต้นจากที่แตกก้านออกไปปะปน กับต้นระก่า เปรียบเหมือนความทุกข์ตรอมของพี่ที่กรรม หรือบาปเคราะห์ยังไม่พ้นไปสักที แบบใดที่เราทั้งสองท่าไว้ ซึ่งตามมาทันในครงั้ นี้ ขอให้เราพรากจากกันแตเ่ พียงชาตนิ ี้ แต่ชาติหนา้ ขอใหเ้ ราได้ครองรักกนั

คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์

ตน้ จาก ต้นระกา

รสในวรรณคดี

เสาวรจนี คือ การชมความงาม

อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ สิงหาสนป์ รางค์รตั นบ์ รร เจิดหล้า บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสนร์ ุ่ง เรืองแฮ บงั อบายเบิกฟา้ ฝึกฟื้นใจเมือง

รสในวรรณคดี

นารีปราโมทย์ คือ บทพรรณนาความรกั

ตราบขนุ คิริข้น ขาดสลาย แลแม่

รกั บ่หายตราบหาย หกฟา้

สุริยจนั ทรขจาย จากโลก ไปฤๅ

ไฟแล่นลา้ งสี่หล้า ห่อนล้างอาลัย

รสในวรรณคดี

สัลลาปงั คพิสัย คือ ความเศรา้ โศกเสียใจ

จ่าใจจากแมเ่ ปลือ้ ง ปลิดอก อรเอย

เยียววา่ แดเดียวยก แยกได้

สองซีกแลง่ ทรวงตก แตกภาค ออกแม่

ภาคพีไ่ ปหนึ่งไว้ แนบเนื้อนวลถนอม

ค่าไวพจน์

การใชค้ ่าไวพจนใ์ นตวั บท ค่าไวพจน์ คือ คา่ ทีเ่ ขียนตา่ งกนั แตม่ ี

ความหมายเหมือนกนั หรือใกลเ้ คียงกนั ดังนี้

จ่าใจจากแม่เปลือ้ ง ปลิดอก อรเอย เยียววา่ แดเดียวยก แยกได้ สองซีกแลง่ ทรวงตก แตกภาค ออกแม่ ภาคพี่ไปหนึ่งไว้ แนบเนือ้ นวลถนอม

โวหารภาพพจน์

การใชโ้ วหารแบบอปุ มา เป็นการกล่าวโวหารเปรียบเทียบที่

ลึกซึง้ และตอ้ งใช้การตีความเพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจทีช่ ัดเจน ดังนี้

เรืองเรืองไตรรัตน์พน้ พนั แสง รินรสพระธรรมแสดง ค่าเช้า เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด ยลยิ่งแสงแกว้ เก้า แกน่ หลา้ หลากสวรรค์

โวหารภาพพจน์

ถอดความได้ว่า พระรัตนตรัยรุ่งเรืองยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์ ชาวเมืองได้ฟังรสพระธรรมเทศนาทุกค้่าและทุกเช้า เจดีย์จ้านวนมากแข่งกัน เบียดเสียดเพือ่ ชู้ยอดสูงขึนไปในท้องฟ้า แสงสุกใสของยอดเจดีย์สว่างสดใสยิ่ง กว่าแสงนพรัตน์ของเขาสัตตบริภัณฑ์ซึ่งประดับเขาพระสุเมรุที่เป็นหลักของ โลก

โวหารภาพพจน์

การใช้โวหารแบบอติพจน์ คือ การกลา่ วความเกินจริง เพื่อให้

มีน้่าหนักทีห่ นกั แนน่ ยิ่งขึ้น ดังนี้

โฉมควรจกั ฝากฟา้ ฤๅดิน ดีฤๅ เกรงเทพไท้ธรณินทร์ ลอบกล่า้ ฝากลมเลือ่ นโฉมบิน บนเลา่ นะแม่ ลมจะชายชักช้า่ ชอกเนือ้ เรียมสงวน

โวหารภาพพจน์

ถอดความได้ว่า ควรจะฝากน้องไว้กับฟ้าหรือดินดี แต่ก็ เกรงว่าพระอินทร์ (ผู้เปน็ จอมเทพแห่งฟ้า) หรือพระเจ้าแผ่นดิน (ผู้เป็นใหญ่ในโลก) จะแอบมาเชยชมน้อง หากฝากไว้กับลม กก็ ลวั ว่าลมจะพดั ท้าให้ร่างกายของน้องต้องบอบชา้

โวหารภาพพจน์

การใชโ้ วหารแบบอุปลกั ษณ์ การเปรียบสิ่งหนึ่งเปน็ อีก

สิง่ หนึง่ โดยใชค้ า่ เชือ่ มวา่ “คือ”ดังนี้

ลมพัดคือพิษตอ้ ง ตากทรวง หนาวอกรุมในดวง จิตช้่า โฉมแม่พิมลพวง มาเลศ กเู อย มือแมว่ ีเดียวล่า้ ยิ่งลา้่ ลมพาน

โวหารภาพพจน์

ถอดความได้ว่า ลมพัดมาเหมือนดั่งยาพิษที่ท้าอันตรายแก่อก ที่ที่ผึ่งไว้ในกลางแจ้ง ความหนาวในอกท้าให้ใจพี่ชอกช้า โฉม แม่ ผู้งดงามดังพวงมาลัย มือน้องซึ่งพัดให้พี่เพียงครังเดียวนันเย็นยิ่งกว่า แรงลมใด ๆ ที่พดั มาต้องตัวพีเ่ สียอีก

โวหารภาพพจน์

การใชโ้ วหารแบบบคุ คลวัต เปน็ การสมมุติสิง่ ที่ไม่มีชีวิตให้มี ตวั ตนเหมือนสงิ่ ทีม่ ีชีวิต ดงั นี้

เอียงอกเทออกอา้ ง อวดองค์ อรเอย เมรชุ ุบสมทุ รดินลง เลขแต้ม อากาศจกั จานผจง จารึก พอฤๅ โฉมแมห่ ยาดฟ้าแย้ม อยู่ร้อนฤๅเหน็

รักษาวิธีการแตง่

นิราศนรินทร์คา่ โคลง เปน็ โคลงที่มลี ักษณะตรงตามสมั ผัสคา่ เอก คา่ โท ถกู ตอ้ งตามแบบแผนแทบทกุ บท ดังน้ัน นิราศนรินทรค์ า่ โคลง จึงมตี ัวบททีเ่ ปน็ แมบ่ ทของโคลงสี่สภุ าพ ดงั นี้

จากมามาลิ่วล่้า ล่าบาง บางยีเ่ รือราพลาง พี่พรอ้ ง เรือแผงชว่ ยพานาง เมียงมา่ น มานา บางบ่รบั ค่าคลอ้ ง คลา่ วน้่าตาคลอ

รักษาวิธีการแต่ง

ถอดความได้ว่า ล่องเรือมาตามล้าคลองไกลออกมา จนถึงต้าบลบางยี่เรือ พี่ชะลอเรือให้ช้าลง พลางพูดกับเรือแผง ขอให้ช่วยไปรับนางมาทีเถิด แต่บางยี่เรือก็ไม่รับค้าจึงได้แต่น่ัง น้าตาคลอ

คณุ ค่าด้านเนอื หา

กวีแตง่ นิราศเรื่องนี้โดยวิธีเลียนแบบครู คืออาศยั บทกวีเก่า ๆ เปน็ หลัก โดยไมไ่ ดล้ อกเอามาทง้ั หมด แตถ่ ่ายความคิดของตวั ลงไปใหมด่ ้วย

กา่ สรวลศรีปราชญ์ ลงดิน แลฤๅ นิราศนรินทร์ ลอยสวรรค์ ลงฤๅ อยธุ ยายศยิง่ ฟ้า ก่อเกื้อ เจดิ หล้า ปราสาท อยุธยายศล่มแลว้ ศาสนร์ ุ่ง เรืองแฮ อา่ นาจบญุ เพรงพระ นอกโสรม สิงหาสน์ปรางรตั น์บรร ฝึกฟ้นื ใจเมอื ง เจดียล์ อออินทร์ บญุ เพรงพระหากสรรค์ ในทาบทองแลว้ เนื้อ บงั อบายเบิกฟ้า

ดา้ นศาสนา

กวีแสดงความศรัทธาต่อศาสนา โดยระบายความรสู้ ึกออกมาทาง วรรณคดี อีกทง้ั สรรเสริญพระรตั นตรยั วา่ เป็นหลักของโลก และว่าพระรตั นตรยั ใหค้ วามสวา่ งแก่มนษุ ย์ยิง่ กว่าแสงอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งพระรัตนตรัยรุ่งเรือง กว่าแสงพระอาทิตย์

เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พนั แสง รินรินรสพระธรรมแสดง ค่าเช้า เจดียร์ ะดะแซง เสียดยอด ยลยิง่ แสงแกว้ เก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์

ด้านความเชอ่ื

กวีมีแนวความคิด ความเชื่อเรื่องของบญุ กรรมที่ทา่ ให้กวีตอ้ ง พลัดพรากจากนางอันเป็นที่รัก

เห็นจากจากแจกกา้ น แกมระก่า ถนัดระกา่ กรรมจ่า จากช้า บาปใดที่โทท่า แทนเท่า ราแม่ จากแต่คาบนี้หน้า พีน่ ้องคงถนอม

เกรด็ ความรู้

ความร้เู กี่ยวกับเทพเจา้

๑. พระพรหม เทพเจ้าผู้สร้างจักรวาล มี พระวรกายสีแดง มี ๔ พักตร์ มีพระสุรัสวดี เ ป็ น ม เ ห สี มี พ า ห น ะ เ ป็ น ห ง ส์ น า ม ว่ า หังสวาหนะ มีสถานที่ประทับเรียกว่า พรหมพฤนทา

เกรด็ ความรู้

ความรเู้ กีย่ วกับเทพเจ้า

๒. พระอิศวรหรือพระศิวะ เทพเจ้าผู้ท่าลายจักรวาล มีพระ วรกายสีขาว มี ๔ กร ทรงตรีศูล บ่วงบาศ สังข์ และคทา (ยอด ท่าด้วยกะโหลกมนุษย์) มี ๓ เนตร เนตรที่ ๓ อยู่ที่พระนลาฏ (ซึ่งปกติดวงตาที่ ๓ จะหลับตา เพราะหากลืมตาขึ้นมาจะมี อานุภาพท่าลายล้างเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้) มีรูป พระจันทร์เสี้ยวเดียวเป็นปิ่นปักพระเกศา สวมประค่าด้วย กะโหลกศีรษะมนุษย์ มีพาหนะส่าคัญ คือ โคอุศุภราช ชื่อ นันทิ หรือนนทิ มีพระอุมาเป็นมเหสี ประทับอยูว่ ิมาน ณ เขาไกรลาส

เกรด็ ความรู้

ความร้เู กี่ยวกบั เทพเจ้า

๓. พระนารายณห์ รือพระวิษณุ เทพเจ้าผู้รักษา โลก ในฐานะผู้ธ่ารงไว้เป็นศูนย์รวมของความเมตตา และความดี มีพระวรกายสีดอกตะแบก มี ๔ กร ทรงมงกุฎชัย (ชฎาเดินหน) มีอาวุธ คือ สังข์ ตรี คทา จกั ร ทรงพาหนะสา่ คัญเปน็ ครฑุ มีพระลกั ษมีเปน็ มเหสี

เกร็ดความรู้

ความรู้เกีย่ วกบั เทพเจ้า

๔. พระสุรัสวดี เป็นมเหสีของ พระพรหม และถือเป็นเทวีผู้อุปถัมภ์ การศึกษาและความรู้

เกร็ดความรู้

ความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้า

๕. พระอุมา เป็นมเหสีของพระอิศวร และถือเป็นเทวี แห่งความเมตตา มีลักษณะเป็น ๒ ภาค คือ ภาคใจดี เรียกว่า พระอุมาเทวีหรือบรรพตี และภาคดุร้าย เรียกว่า พระนางกาลี หรือทุรคา มีต่านานกล่าวไว้ว่า พระอิศวรสร้างพระอุมาขึ้นเอง โดยเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระอุระของพระองค์แล้วจึงบังเกิดเปน็ องค์พระอมุ าขึ้นและถือกันว่าเปน็ ศักดิ์ของพระอิศวร ฉะน้ันจึงมี สญั ลกั ษณ์โยนีอย่ดู ้วยกันกบั ศิวลึงค์

เกร็ดความรู้

ความรู้เกี่ยวกบั เทพเจา้

๖. พระลักษมี เป็นมเหสีของพระนารายณ์ และ ถือวา่ เป็นเทวีแห่งความม่ังคั่งและเทวีแห่งความงาม มีนา้่ พระทัยเมตตาอยู่เป็นนิจ และเป็นแบบอย่างแห่งนางที่มี ความงามทางรูปกายและกิริยามารยาท มีพระวรกายสี ทอง มีวาจาที่ยวนเสน่หแ์ ละไพเราะ