ก ม ฉ นคนน ก ม ฉ นยอมให เธอสวมพ ง

เผยแพร่: 21 พ.ย. 2566 16:12 ปรับปรุง: 21 พ.ย. 2566 16:12 โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

“ในปี ค.ศ. 1633 ญี่ปุ่นปิดพรมแดนจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ประชาชนจะไม่มีวันได้เห็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าชาติใด ๆ นอกจากคนญี่ปุ่น เด็กลูกครึ่งที่เกิดมา จะถูกนับว่าเป็นสิ่งที่ต่ำกว่ามนุษย์ น่าสมเพช ผิดศีลธรรม สัตว์ร้ายป่าเถื่อน จากช่วงเวลานั้นได้มีตำนานเกิดขึ้น ตำนานของนักดาบ ตำนานของการแก้แค้น”

Blue Eye Samurai หรือชื่อไทย “ซามูไรตาฟ้า” เปิดเรื่องมาด้วยคำบรรยายนี้ ก่อนจะพาคนดูผู้ชมเดินทางไปข้างหน้าด้วยเรื่องราวของซามูไรนามว่า “มิสึ” ที่แบกปมชีวิตไว้ท่วมใจ เธอพรางตัวเองภายใต้รูปลักษณ์ของการแต่งตัวเป็นชาย พร้อมเป้าหมายหนึ่งเดียว คือการตามหาใครบางคนเพื่อล้างแค้น โทษฐานที่ทำลายชีวิตวัยเด็กของเธอจนย่อยยับ หัวใจของเธอมิอาจสงบได้ จนกว่าจะสังหารมันผู้นั้นให้ตกตายไป

ซามูไรตาฟ้า เป็นซีรีส์อนิเมชั่นที่สตรีมบนเน็ตฟลิกซ์ ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับเรต 18+ เพราะมีทั้งภาพความรุนแรงแบบเลือดสาด และฉากโป๊เปลือยอยู่จำนวนหนึ่ง อย่างไรตาม ถ้าข้ามเรื่องนี้ไปแล้ว ต้องบอกว่า นี่คืออนิเมชั่นที่ดีงามมาก

อันดับแรกสุด คงต้องยกให้เป็นเรื่องของการดีไซน์ตัวละครออกมาได้อย่างมีมิติ ไล่ตั้งแต่ “มิสึ” เจ้าของฉายาซามูไรตาฟ้า เธอมีดวงตาสีฟ้า เพราะเป็นลูกครึ่ง ซึ่งในยุคเอโดะนั้น ถือว่าเป็นการผิดบาปอย่างมหันต์ เธอจึงถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัดตั้งแต่เด็ก แถมยังถูกมองว่าเป็นอสูรกายตามแนวคิดของยุคนั้น เมื่อโตขึ้น มิสึจึงต้องปกปิดดวงตาสีฟ้าของตัวเองด้วยการสวมแว่นตา แต่แม้ว่าจะเป็นลูกครึ่ง สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นบาดแผลในจิตใจของเธอเสมอมาก็คือ เธอไม่รู้เลยว่า ใครเป็นพ่อของเธอ และพ่อของเธอก็ไม่น่าจะใช่คนดี เพราะในวันที่แม่ของเธอถูกชายผิวขาวสี่คนจับตัวไปนั้น ไม่มีใครตอบได้ว่า หนึ่งในสี่คนนั้นใครคือพ่อของเธอ

ในวันที่โตขึ้น หัวใจของมิสึที่ท่วมท้นด้วยความแค้น พาเธอออกเดินทางและแกะรอยตามหาคนที่เธอจะล้างแค้น ซึ่งนั่นก็นำพาให้เธอได้พบเจอกับเรื่องราวและผู้คนมากมาย ที่หลากหลายทั้งแง่มุมและบุคลิก รวมทั้งการต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อทะลวงไปสู่ด่านสุดท้ายที่เป็นเป้าหมายปลางทาง

ที่น่าประทับใจสุด ๆ คือ ในซีรีส์ตอนที่ 5 มีการเล่าเรื่องราวของมิสึ โดยใช้ละคร “บุนรากุ” มาเป็นเครื่องมือในการเล่า คู่ขนานกันไปกับเรื่องราวในอีกสองไทม์ไลน์ สองสถานการณ์ นี่คือเทคนิคการเล่าเรื่องที่ต้องบอกว่าเจ๋งมากอีกอย่าง ขณะที่ละคร “บุนรากุ” นั้นเป็นการแสดงละครหุ่นเชิดแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น นับว่าเป็นศิลปะชั้นสูงที่ญี่ปุ่นภูมิใจเป็นอย่างมาก โดยการแสดงละครประเภทนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2003 ซึ่งองค์ประกอบของละครบุนรากุจะมีด้วยกัน 3 ส่วนสำคัญ คือ คนเล่าเรื่อง (ซึ่งอาจจะมีร้องเพลงประกอบบ้าง) , คนเล่นพิณญี่ปุ่น ซึ่งเป็นดนตรีประกอบ , นักเชิดหุ่นและตุ๊กตาหุ่นเชิด การนำละครบุนรากุมาบอกเล่าเรื่องราวของมิสึ นอกจากจะทำให้เราสัมผัสกับศิลปะการแสดงชั้นดีแล้ว ยังทำให้เราได้เห็นถึงเหตุผลที่มาอีกส่วนหนึ่งซึ่งหล่อหลอมให้ซามูไรตาฟ้าดูเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ และนั่นก็ยิ่งทำให้เราเข้าอกเข้าใจและเห็นใจตัวละครนี้มากขึ้นไปอีก

เรียกได้ว่า เสน่ห์สำคัญประการแรกที่เราสัมผัสได้จากอนิเมชั่นเรื่องนี้คือเรื่องของตัวละคร ซึ่งนอกจากมิสึแล้ว ตัวละครอื่น ๆ ก็น่าสนใจและน่าจดจำไม่แพ้กัน ทั้งคุณลุงช่างตีดาบที่โผล่มาตั้งแต่ต้นเรื่องและเป็นเหมือนที่พักพิงสุดท้ายของมิสึ ซึ่งแม้คุณลุงจะตาบอด แต่มีความเท่ความเจ๋งในแบบของตัวเอง ขณะที่ “ริงโกะ” เด็กหนุ่มมือด้วนลูกเจ้าของร้านโซบะที่ขอติดตามเป็นศิษย์ของมิสึ เขาเปรียบเสมือนเหรียญอีกด้านที่ตรงข้ามกับอาจารย์ เพราะขณะที่อาจารย์มีจิตวิญญาณจมอยู่ในด้านมืดที่สุมด้วยไฟแค้นและมืดหม่น ริงโกะกลับดูเป็นคนที่จิตใจดีงาม สะอาด ใสซื่อ และมีส่วนอย่างสำคัญในการดึงสติอาจารย์กลับเข้าสู่ด้านสว่าง

นอกจากนี้ยังมี “ไทเก็น” หนุ่มซามูไรซึ่งถือเป็นตัวละครเด่นอีกหนึ่งตัว เขาคือซามูไรที่รับใช้ราชสำนัก เขาประลองฝีมือและพลั้งพ่ายให้กับมิสึ แต่ไม่ยอมแพ้ และอยากจะแก้มือให้สำเร็จ แต่ต้องรอให้มิสึเสร็จสิ้นภารกิจล้างแค้นเสียก่อน “ไทเก็น” แอบรักกับสตรีสูงศักดิ์อย่าง “เจ้าหญิงอาเคมิ” ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ เพราะพ่อของอาเคมิก็หมายมั่นจะให้เธอแต่งกับบุตรชายของท่านโชกุน

จะว่าไป เรื่องราวในส่วนของอาเคมินี้ก็สำคัญอย่างมาก เนื่องจากมันคือภาพสะท้อนสังคมแบบญี่ปุ่น คือสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงไม่สามารถตัดสินใจตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเองได้ สตรีไม่สามารถมีปากมีเสียง และทำได้เพียงเป็นผู้ตาม หรือเลวร้ายสุดคือเป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้น และสำหรับอาเคมิในสายตาของพ่อ เธอเป็นได้เพียงแค่เครื่องมือที่พ่อใช้เป็นบันไดไต่ไปสู่อำนาจที่มากขึ้น ในซีรีส์มีคำพูดที่ค่อนข้างชัดในการสื่อถึงสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ อย่างเช่น คำว่า สตรีควรเป็นทรัพย์สิน หรือ “ภรรยาควรเป็นเหมือนเต้าหู้ ไร้ตัวตน ไร้สี แต่อ่อนโยน” ดังนั้นแล้ว ผู้หญิงมีชีวิตก็เหมือนไม่มี เพราะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์สังคมและกรอบความคิดที่ผู้ชายกำหนดให้เท่านั้น

ตลอดความยาว 8 ตอน ต้องบอกว่า ซามูไรตาฟ้า เป็นอนิเมชั่นที่ดูสนุกแบบไม่มีแผ่ว แต่ละตอนล้วนมีรายละเอียดที่ตรึงความสนใจให้ติดตามแบบไม่อยากละสายตาจากหน้าจอ องค์ประกอบทุกส่วนคือดี ไม่ว่าจะเป็นงานด้านภาพที่ประณีตพิถีพิถัน ฉากอะไรต่าง ๆ ก็ถูกออกแบบมาได้สวยงาม การเคลื่อนไหวของตัวละครอนิเมะ ดูลื่นไหลสบายตา มีความเป็นธรรมชาติ ฉากแอ็คชั่นการต่อสู้ก็ดูลุ้นสนุกทุกครั้งที่มีฉากลักษณะนี้

เหนือสิ่งอื่นใด คือเรื่องของบท ที่ผ่านการเขียนการคิดมาอย่างดี ไม่เพียงถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครได้แบบคมกริบราวกับดาบซามูไรชั้นดี เพราะเจตนาสำคัญประการหนึ่งของอนิเมชั่นเรื่องนี้คือการฉายภาพประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในยุคเอโดะที่ดูจากเซ็ตติ้งหรือปีที่เกิดเรื่องราวในอนิเมะแล้ว น่าจะอยู่ในช่วงการปกครองของ “โทกูงาวะ อิเอมิตสึ” (ปกครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1623 – 1651) เขาคือโชกุนลำดับที่ 3 ของตระกูลโทกูงาวะที่เรืองอำนาจมาก โดยตระกูลนี้ได้นำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคเอโดะตั้งแต่ปี ค.ศ.1603 จากการนำของ “โทกุงาวะ อิเอยาสุ” และครอบครองตำแหน่งการปกครองแผ่นดินไปจนถึงปี ค.ศ.1867 รวมแล้วครองอำนาจมากกว่า 200 ปี

การแย่งชิงอำนาจเพื่อครองความเป็นใหญ่ มีมาทุกยุคสมัย ซึ่งในยุคเอโดะก็ไม่ต่างกัน เราจะได้เห็นถึงความพยายามที่จะปกป้องและช่วงชิงความเป็นใหญ่ และสิ่งที่ซีรีส์ทำให้ดูเป็นเรื่องแต่งที่น่าขันก็คือ ขณะที่ประเทศปิดพรมแดนและขับไล่ชาวต่างชาติออกไปพ้นดินแดน แต่ก็ยังมีคนชั้นปกครองส่วนหนึ่งซุ่มคบค้าสมาคมกับฝรั่งต่างชาติด้วยหวังว่าจะช่วยให้ตัวเองมีอาวุธที่จะใช้ในการชิงอำนาจขึ้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด ซึ่งนี่ก็เป็นสัจธรรมที่พบเห็นได้ในทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน เพราะเมื่อต้องการอำนาจ วิธีการไหนที่จะทำให้ได้มา ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แม้มันจะดูน่าอัปยศเพียงใดก็ตาม

ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่า Blue Eye Samurai เป็นผลงานที่เต็มเปี่ยมด้วยสุนทรียะ งดงามทุกองค์ประกอบ ควรค่าแก่การรับชม ถือเป็นอนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งของเน็ตฟลิกซ์ และเป็นอนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งของปีนี้เช่นกัน แน่นอนว่า เส้นทางการล้างแค้นของมิสึยังไม่จบเพียงแค่นี้ และเชื่อว่า คนที่ได้ดูซีซั่น 1 แล้ว ก็คงอยากจะตามซามูไรตาฟ้าต่อไปในซีซั่นที่ 2 แน่นอน