หลักการชาร์จแบตเตอรี่ ที่ถูกวิธีก่อนอื่นต้องบอกว่า หลักการการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ และ การชาร์จแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ ใช้หลักการชาร์จเดียวกัน โดยปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงจะประกอบไปด้วย
ต้องชาร์จแบตเตอรี่กี่แอมป์ ?ก่อนอื่นต้องดูว่าแบตเตอรี่ของเรามีขนาดเท่าไหร่ โดยดูจากขนาดความจุแบตเตอรี่ Ah ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ถูกต้อง เวลาที่เราชาร์จ กระแสชาร์จจะต้องต่ำๆและชาร์จเป็นระยะเวลายาวนาน จึงจะดีต่อแบตเตอรี่ ไม่ควรชาร์จแบบอัดกระแสเยอะๆเพื่อให้แบตเตอรี่เต็มไว เพราะจะส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วหรือแบตเตอรี่บวมได้ โดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์ 12V และแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V โหมดการชาร์จ ทั้ง Float charge (stand-by use) คือการชาร์จที่แรงดัน 13.6-13.8V และ Equal charge (cycle use) คือการชาร์จที่แรงดัน 14.2-14.9V เราจะชาร์จที่ 10 % ของความจุแบตเตอรี่(Ah) วิธีการคำนวณ กระแสที่ควรชาร์จ \= 10% x ขนาดความจุแบตเตอรี่ (Ah) ตัวอย่าง เช่น ● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah : 0.1 x 65 = 6.5A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 6.5 A ● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah : 0.1 x 100= 10A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 10 A ● แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah : 0.1 x 5= 0.5A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 0.5 A ชาร์จแบตเตอรี่นานกี่ชั่วโมง ?ดูค่าได้จากกราฟใน data sheet ของแบตเตอรี่รุ่นที่เราใช้ ส่วนใหญ่เมื่อแบตเตอรี่หมดประจุ จะเหลือความจุแบตเตอรี่ Ah ประมาณ 35% ดังนั้นจึงต้องชาร์จเพิ่มอีก 65% เพื่อให้แบตเตอรี่เต็ม วิธีการคำนวณ จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม \= 65% x ขนาดแบตเตอรี่ (Ah) จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม ÷ กระแสที่ควรชาร์จ ตัวอย่าง เช่น ● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 65 Ah = 42.25 Ah จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 42.25Ah ÷ 6.5A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม. หมายถึง แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 42.25Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 6.5A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม. ● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 100 Ah = 65 Ah จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 65Ah ÷ 10A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม. หมายถึง แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 65Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 10A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม. ● แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 5 Ah = 3.25 Ah จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 3.25Ah ÷ 0.5A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม. หมายถึง แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 3.25Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 0.5A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม. เรกูเลเตอร์แบบธรรมดาและไอซีเรกูเลเตอร์มีจุดประสงค์เดียวกันคือ ควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากอัลเทอร์เนเตอร์ โดยควบคุมกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลผ่านเข้าไปในขดลวดโรเตอร์ ไอซีเรกูเลเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก นํ้าหนักเบา และไว้ใจได้อย่างมากในการทำงาน เมื่อเปรียบเทียบกับเรกูเลเตอร์แบบธรรมดา ข้อดีของไอซีเรกูเลเตอร์คือ 1. ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่เคลื่อนที่ได้จึงทนต่อการสั่นสะเทือนได้ดี 2. เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอัลเทอร์เนเตอร์จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าลดลง การควบคุมการชาร์จแบตเตอรี่ จึงเป็นไปอย่างถูกต้อง ข้อเสียของไอซีเรกูเลเตอร์คือ มันจะเสียได้ง่ายเมื่อเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่สูงเกินไปและอุณหภูมิสูงเกินไป หลักการทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์ กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะไหลไปยังขดลวดโรเตอร์ทางขั้ว B และออกจากขดลวดโรเตอร์ทางขั้ว F รออยู่ที่ขั้ว C ของ Tr1 กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อีกทางหนึ่งจะไหลผ่าน R ไปขั้ว B ของ Tr1 ไปขั้ว E ลงกราวด์ครบวงจร ทำให้กระแสไฟฟ้าจากขั้ว F ที่รออยู่ที่ขั้ว C ไหลผ่านขั้ว E ในอัตราขยาย 10 เท่า ทำให้ขดลวดโรเตอร์เกิดความเข้มของสนามแม่เหล็กมาก เมื่ออัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงานก็จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกมา เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ของอัลเทอร์เนเตอร์มีมากขึ้นจนถึงจุดที่ตัวซีเนอร์ไดโอดยอมปล่อยให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านตัวมันก็จะทำให้ Tr2 ทำงานโดยแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะไหลผ่านซีเนอร์ไดโอดไปขั้ว B ผ่านขั้ว E ของ Tr2 ทำให้เกิดการดึงกระแสไฟฟ้าจากขั้ว B ของ Tr1 ไปยังขั้ว C ไปขั้ว E ของ Tr2 ในอัตราขยาย 10 เท่า Tr1 ก็จะหยุดทำงาน กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวดโรเตอร์ไม่สามารถไหลครบวงจรได้ ขดลวดโรเตอร์ก็ไม่เป็นแม่เหล็ก อัลเทอร์เนเตอร์ก็ไม่ผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกมาดังรูปที่ 7.73 เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ลดลงจนถึงจุดที่ซีเนอร์ไดโอดไม่ยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านตัว มัน Tr2 ก็จะหยุดทำงาน Tr1 จะทำงานแทนอัลเทอร์เนเตอร์ก็จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ เพื่อควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากอัลเทอร์เนเตอร์ที่ 14.5 โวลต์ ให้คงที่ตลอดเวลา 4. รีเลย์หลอดเตือนไฟชาร์จที่ขั้ว A ของรีเลย์จะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าตํ่า ทำให้หลอดแสดงไฟชาร์จติดได้เมื่อเปิดสวิดช์กุญแจจุดระเบิด 5. ถ้าขดลวดโรเตอร์ขาดระหว่างที่อัลเทอร์เนเตอร์ทำงาน แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L จะถูกปรับให้มีค่า 3 โวลต์ โดย R1 และ Rd 6. เมื่อไม่มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว S ระหว่างที่อัลเทอร์เนเตอร์ทำงาน (เช่น สายไฟขั้ว S จากแบตเตอรี่ขาด) วงจร A จะสั่งให้ Tr2 ทำงาน ทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ตํ่าลง รีเลย์จะทำงาน หลอดไฟแสดงไฟชาร์จติดสว่าง 7. เมื่อสวิตช์จุดระเบิดอยู่ในตำแหน่ง ON จะทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L มีค่าสูงกว่า 8 โวลต์ และถ้าแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L สูงเกินกว่า 8 โวลต์จนถึงระยะเวลาหนึ่ง วงจร A จะสั่งให้ Tr3 ทำงานตลอดเวลา เพื่อลดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ไม่ให้เกิน 8 โวลต์ 3. ไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M เรกูเลเตอร์แบบ M จะมีวงจร MIC (monolithic integrated circuit) ซึ่งเป็นชุดคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ควบคุมการชาร์จ ตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้า และควบคุมหลอดไฟ แสดงการชาร์จด้วยชุดไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M นี้จะทำให้หลอดไฟแสดงการชาร์จติดเมื่อเกิดปัญหาในการทำงานคือ 1. ขดลวดโรเตอร์ขาด 2. ขั้ว S ซึ่งตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้าขาดหรือหลุดออกจากวงจร 3. แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้วแบตเตอรี่ตํ่ากว่า 13 โวลต์ การทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M มีดังนี้ 1. เมื่อเปิดสวิตช์จุดระเบิด เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG เข้าชุด MIC Tr1 ทำงาน และกระแสไฟฟ้าจากขั้ว B ไหลเข้าขดลวดโรเตอร์ผ่าน Tr1 ลงกราวด์ กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG อีกเส้นหนึ่งจะไหลจากหลอดแสดงการชาร์จผ่าน Tr3 ลงกราวด์ หลอดไฟแสดงการชาร์จติดสว่าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะชุด MIC จะให้ Tr1 ทำงานและหยุดเป็นจังหวะจึงทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าขดลวด ถูกรักษาระดับกระแสไฟฟ้าที่ 1.2 แอมป์ และกระแสไฟฟ้าที่ขั้ว P ยังไม่มี ชุด MIC จึงให้ Tr3 ทำงาน หลอดไฟแสดงการชาร์จติดดังรูปที่ 7.76 |