การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร

หลักการชาร์จแบตเตอรี่ ที่ถูกวิธี

ก่อนอื่นต้องบอกว่า หลักการการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ และ การชาร์จแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ ใช้หลักการชาร์จเดียวกัน โดยปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงจะประกอบไปด้วย

  1. ขนาดความจุแบตเตอรี่ Ah
  2. ความจุแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ก่อนทำการชาร์จ เหลืออยู่เท่าไหร่

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร

ต้องชาร์จแบตเตอรี่กี่แอมป์ ?

ก่อนอื่นต้องดูว่าแบตเตอรี่ของเรามีขนาดเท่าไหร่ โดยดูจากขนาดความจุแบตเตอรี่ Ah ในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ถูกต้อง เวลาที่เราชาร์จ กระแสชาร์จจะต้องต่ำๆและชาร์จเป็นระยะเวลายาวนาน จึงจะดีต่อแบตเตอรี่ ไม่ควรชาร์จแบบอัดกระแสเยอะๆเพื่อให้แบตเตอรี่เต็มไว เพราะจะส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วหรือแบตเตอรี่บวมได้

โดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์ 12V และแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V โหมดการชาร์จ ทั้ง Float charge (stand-by use) คือการชาร์จที่แรงดัน 13.6-13.8V และ Equal charge (cycle use) คือการชาร์จที่แรงดัน 14.2-14.9V เราจะชาร์จที่ 10 % ของความจุแบตเตอรี่(Ah)

วิธีการคำนวณ

กระแสที่ควรชาร์จ \= 10% x ขนาดความจุแบตเตอรี่ (Ah)

ตัวอย่าง เช่น ● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah : 0.1 x 65 = 6.5A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 6.5 A

● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah : 0.1 x 100= 10A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 10 A

● แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah : 0.1 x 5= 0.5A ดังนั้น ควรชาร์จด้วยกระแส 0.5 A

ชาร์จแบตเตอรี่นานกี่ชั่วโมง ?

ดูค่าได้จากกราฟใน data sheet ของแบตเตอรี่รุ่นที่เราใช้ ส่วนใหญ่เมื่อแบตเตอรี่หมดประจุ จะเหลือความจุแบตเตอรี่ Ah ประมาณ 35% ดังนั้นจึงต้องชาร์จเพิ่มอีก 65% เพื่อให้แบตเตอรี่เต็ม

วิธีการคำนวณ

จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม \= 65% x ขนาดแบตเตอรี่ (Ah)

จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม ÷ กระแสที่ควรชาร์จ

ตัวอย่าง เช่น

● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah

จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 65 Ah = 42.25 Ah

จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 42.25Ah ÷ 6.5A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม.

หมายถึง แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 65Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 42.25Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 6.5A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม.

● แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah

จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 100 Ah = 65 Ah

จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 65Ah ÷ 10A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม.

หมายถึง แบตเตอรี่รถยนต์ 12V 100Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 65Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 10A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม.

● แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah

จำนวน Ah ที่ต้องชาร์จเพิ่ม = 0.65 x 5 Ah = 3.25 Ah

จำนวนชั่วโมง ชาร์จ = 3.25Ah ÷ 0.5A = 6.5 ชม. ≈ 7 ชม.

หมายถึง แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ 12V 5Ah เมื่อแบตเตอรี่หมด เราควรชาร์จเพิ่มอีก 3.25Ah โดยชาร์จด้วยกระแส 0.5A เป็นเวลาประมาณ 7 ชม.

เรกูเลเตอร์แบบธรรมดาและไอซีเรกูเลเตอร์มีจุดประสงค์เดียวกันคือ ควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากอัลเทอร์เนเตอร์ โดยควบคุมกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลผ่านเข้าไปในขดลวดโรเตอร์ ไอซีเรกูเลเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก นํ้าหนักเบา และไว้ใจได้อย่างมากในการทำงาน เมื่อเปรียบเทียบกับเรกูเลเตอร์แบบธรรมดา ข้อดีของไอซีเรกูเลเตอร์คือ 1. ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่เคลื่อนที่ได้จึงทนต่อการสั่นสะเทือนได้ดี 2. เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอัลเทอร์เนเตอร์จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าลดลง การควบคุมการชาร์จแบตเตอรี่ จึงเป็นไปอย่างถูกต้อง ข้อเสียของไอซีเรกูเลเตอร์คือ มันจะเสียได้ง่ายเมื่อเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่สูงเกินไปและอุณหภูมิสูงเกินไป หลักการทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์ กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะไหลไปยังขดลวดโรเตอร์ทางขั้ว B และออกจากขดลวดโรเตอร์ทางขั้ว F รออยู่ที่ขั้ว C ของ Tr1 กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อีกทางหนึ่งจะไหลผ่าน R ไปขั้ว B ของ Tr1 ไปขั้ว E ลงกราวด์ครบวงจร ทำให้กระแสไฟฟ้าจากขั้ว F ที่รออยู่ที่ขั้ว C ไหลผ่านขั้ว E ในอัตราขยาย 10 เท่า ทำให้ขดลวดโรเตอร์เกิดความเข้มของสนามแม่เหล็กมาก เมื่ออัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงานก็จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกมา เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ของอัลเทอร์เนเตอร์มีมากขึ้นจนถึงจุดที่ตัวซีเนอร์ไดโอดยอมปล่อยให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านตัวมันก็จะทำให้ Tr2 ทำงานโดยแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะไหลผ่านซีเนอร์ไดโอดไปขั้ว B ผ่านขั้ว E ของ Tr2 ทำให้เกิดการดึงกระแสไฟฟ้าจากขั้ว B ของ Tr1 ไปยังขั้ว C ไปขั้ว E ของ Tr2 ในอัตราขยาย 10 เท่า Tr1 ก็จะหยุดทำงาน กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวดโรเตอร์ไม่สามารถไหลครบวงจรได้ ขดลวดโรเตอร์ก็ไม่เป็นแม่เหล็ก อัลเทอร์เนเตอร์ก็ไม่ผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกมาดังรูปที่ 7.73 เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ลดลงจนถึงจุดที่ซีเนอร์ไดโอดไม่ยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านตัว มัน Tr2 ก็จะหยุดทำงาน Tr1 จะทำงานแทนอัลเทอร์เนเตอร์ก็จะผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ เพื่อควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากอัลเทอร์เนเตอร์ที่ 14.5 โวลต์ ให้คงที่ตลอดเวลา

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.72 Tr2 ทำงานเรกูเลเตอร์ควบคุมไฟชาร์จตามค่าที่กำหนด

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.73 Tr2 ทำงานเรกูเลเตอร์ควบคุมไฟชาร์จตามค่าที่กำหนด ไอซีเรกูเลเตอร์มีด้วยกัน 3 แบบได้แก่ 1. ไอซีเรกูเลเตอร์แบบ A อัลเทอร์เนเตอร์แบบนี้จะใส่ไดโอดบวก-ลบเข้าที่ขั้ว N แล้วต่อไปยังขั้ว B และใส่ไดโอดบวกเข้ากับขดลวดสเตเตอร์ หลอดไฟแสดงการชาร์จใช้รีเลย์เป็นตัวควบคุม การทำงาน เมื่อเปิดสวิตช์กุญแจจุดระเบิด กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG จะไหลไปยังขั้ว IG ของอัลเทอร์เนเตอร์เข้าไปในขดลวดโรเตอร์ เข้าขั้ว F ของไอซีเรกูเลเตอร์ กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG ยังไหลเข้าขั้ว L ของไอซีเรกูเลเตอร์ไปยัง Tr1 ลงกราวด์ทำให้ Tr1 ทำงาน กระแสไฟฟ้าจากขดลวดโรเตอร์ ก็ไหลลงกราวด์ครบวงจร ขดลวดโรเตอร์ก็จะเกิดสนามแม่เหล็ก กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG อีกจุดหนึ่งจะไหลเข้าขั้ว IG ของรีเลย์เตือนไฟชาร์จออกขั้ว A เข้าขั้ว L ของอัลเทอร์เนเตอร์ เข้าขั้ว L ของเรกูเลเตอร์ ผ่าน Tr1 ลงกราวด์ รีเลย์ก็จะดูดหน้าทองขาวติดกัน หลอดไฟแสดงการชาร์จติดสว่างดังรูปที่ 7.74 เมื่ออัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงานก็จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกจากขั้ว B เข้าประจุแบตเตอรี่ กระแสไฟฟ้าจากไดโอดที่เพิ่มขึ้นที่ขดลวดสเตเตอร์จะไหลเข้าขดลวดโรเตอร์เป็นการเสริมกระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG และจะไหลไปยังขั้ว L ของอัลเทอร์เนเตอร์ชนกับกระแสไฟฟ้าที่ไหลจากขั้ว A ของรีเลย์จึงเกิดความสมดุลทางไฟฟ้า ขดลวดรีเลย์ไม่มีอำนาจแม่เหล็กจึงไม่สามารถดูดหน้าทองขาวได้ทำให้หลอดเตือนไฟชาร์จดับดังรูปที่ 7.74

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.74 วงจรการทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์แบบ A เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากขั้ว B ของอัลเทอร์เนเตอร์สูงเกินขีดค่าที่กำหนดไว้ (14.8 โวลต์) แรงเคลื่อนไฟฟ้าก็สามารถไหลผ่านตัวซีเนอร์ไดโอดไปยัง Tr2 ได้ทำให้ Tr2 ทำงาน Tr1 หยุดทำงาน กระแสไฟฟ้าจากขดลวดโรเตอร์ไม่สามารถไหลครบวงจรได้ ขดลวดโรเตอร์ก็หมดอำนาจแม่เหล็ก แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ออกจากขั้ว B ก็ลดน้อยลง และเมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าลดลงจนถึงจุดที่มันไม่สามารถไหลผ่านตัวซีเนอร์ไดโอดได้ ซีเนอร์ไดโอดก็หยุดทำงาน Tr2 ก็หยุดทำงาน Tr1 จะทำงานแทน แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B เกิดขึ้นอีก การทำงานจะสลับกันเป็นเช่นนี้เพื่อควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าให้คงที่ที่ 14.8 โวลต์ เมื่อเปิดสวิตช์กุญแจจุดระเบิดค้างไว้ กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ไหลไปยังขดลวดโรเตอร์จะไม่ไหลไปมาก เนื่องจากติดตัวความต้านทานที่ต่ออนุกรมไว้ในวงจร แต่ขณะเดียวกันขดลวดโรเตอร์เกิด สนามแม่เหล็กเพียงพอที่จะทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นเมื่ออัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงาน 2. ไอซีเรกูเลเตอร์เแบบ B เรกูเลเตอร์แบบนี้จะคล้ายๆ กับไอซีเรกูเลเตอร์แบบ A แต่มีการเพิ่มวงจร A เข้าไปในไอซีเรกูเลเตอร์เพื่อควบคุมการชาร์จให้ดีขึ้น จุดที่แตกต่างกันก็คือ ไอซีเรกูเลเตอร์ แบบ A จะตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ของอัลเทอร์เนเตอริ์ แต่ไอซีเรกูเลเตอร์แบบ B จะตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้วของแบตเตอรี่โดยใช้ตัวความต้านทาน (R3) และไดโอด D3 เพื่อตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ตัวความต้านทาน (Rd) ในไอซีเรกูเลเตอร์จะเป็นตัวตรวจจับการขาดวงจรของขดลวดโรเตอร์

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.75 วงจรไอซีเรกูเลตอร์แบบ B การทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์แบบ B และวงจร A มีดังนี้ (ดูรูปที่ 7.75) 1. ขณะที่กระแสไฟฟ้ายังมีน้อยอยู่ Tr3 จะหยุดทำงานเพื่อไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวความต้านทาน Rd เป็นการป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าที่ไปขดลวดโรเตอร์ลดลง 2. เมื่อขั้ว L มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเกิน 8 โวลต์ วงจร A จะสงให้ Tr3 ทำงานบ้างหยุดบ้างเป็นช่วงๆ เพื่อรักษาแรงเคลื่อนไฟฟ้าให้คงที่โดยตัวความต้านทาน Rd 3. เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ตกลงตํ่ากว่า 8 โวลต์ วงจร A จะสั่งให้ Tr3 ทำงานตลอดเวลา

4. รีเลย์หลอดเตือนไฟชาร์จที่ขั้ว A ของรีเลย์จะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าตํ่า ทำให้หลอดแสดงไฟชาร์จติดได้เมื่อเปิดสวิดช์กุญแจจุดระเบิด 5. ถ้าขดลวดโรเตอร์ขาดระหว่างที่อัลเทอร์เนเตอร์ทำงาน แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L จะถูกปรับให้มีค่า 3 โวลต์ โดย R1 และ Rd 6. เมื่อไม่มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว S ระหว่างที่อัลเทอร์เนเตอร์ทำงาน (เช่น สายไฟขั้ว S จากแบตเตอรี่ขาด) วงจร A จะสั่งให้ Tr2 ทำงาน ทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ตํ่าลง รีเลย์จะทำงาน หลอดไฟแสดงไฟชาร์จติดสว่าง 7. เมื่อสวิตช์จุดระเบิดอยู่ในตำแหน่ง ON จะทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L มีค่าสูงกว่า 8 โวลต์ และถ้าแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L สูงเกินกว่า 8 โวลต์จนถึงระยะเวลาหนึ่ง วงจร A จะสั่งให้ Tr3 ทำงานตลอดเวลา เพื่อลดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว L ไม่ให้เกิน 8 โวลต์ 3. ไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M เรกูเลเตอร์แบบ M จะมีวงจร MIC (monolithic integrated circuit) ซึ่งเป็นชุดคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ควบคุมการชาร์จ ตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้า และควบคุมหลอดไฟ แสดงการชาร์จด้วยชุดไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M นี้จะทำให้หลอดไฟแสดงการชาร์จติดเมื่อเกิดปัญหาในการทำงานคือ 1. ขดลวดโรเตอร์ขาด 2. ขั้ว S ซึ่งตรวจจับแรงเคลื่อนไฟฟ้าขาดหรือหลุดออกจากวงจร 3. แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้วแบตเตอรี่ตํ่ากว่า 13 โวลต์ การทำงานของไอซีเรกูเลเตอร์แบบ M มีดังนี้ 1. เมื่อเปิดสวิตช์จุดระเบิด เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG เข้าชุด MIC Tr1 ทำงาน และกระแสไฟฟ้าจากขั้ว B ไหลเข้าขดลวดโรเตอร์ผ่าน Tr1 ลงกราวด์ กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG อีกเส้นหนึ่งจะไหลจากหลอดแสดงการชาร์จผ่าน Tr3 ลงกราวด์ หลอดไฟแสดงการชาร์จติดสว่าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะชุด MIC จะให้ Tr1 ทำงานและหยุดเป็นจังหวะจึงทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าขดลวด ถูกรักษาระดับกระแสไฟฟ้าที่ 1.2 แอมป์ และกระแสไฟฟ้าที่ขั้ว P ยังไม่มี ชุด MIC จึงให้ Tr3 ทำงาน หลอดไฟแสดงการชาร์จติดดังรูปที่ 7.76

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.76 Tr1 ทำงานหลอดไฟชาร์จติด 2. อัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงาน แรงเคลื่อนไฟฟ้าต่ำกว่าค่าที่กำหนด จะมีกระแสไฟฟ้าออกจากขั้ว P เข้าชุด MIC ซึ่งชุด MIC ก็จะให้ Tr1 ทำงาน และหยุดทำงานเป็นช่วงๆ ในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นทำงานตลอดเวลา และให้ Tr3 หยุดทำงานแต่ให้ Tr2 ทำงานแทน กระแสไฟฟ้าจากขั้ว IG ก็จะไหลผ่าน Tr2 เข้าขั้ว L ชนกับกระแสไฟฟ้าที่มาจากหลอดไฟแสดงการชาร์จ ทำให้เกิดการสมดุลของกระแสไฟฟ้า หลอดไฟแสดงการชาร์จจึงดับ แสดงว่าไฟชาร์จเข้าแบตเตอรี่แล้วดังรูปที่ 7.77

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.77 อัลเทอร์เนเตอร์ทำงานหลอดไฟชาร์จดับ 3. อัลเทอร์เนเตอร์หมุนทำงาน แรงเคลื่อนไฟฟ้าถึงค่าที่กำหนด เมื่อมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าถึงค่าที่กำหนดคือ 14.5 โวลต์ ชุด MIC ตรวจจับได้ที่ขั้ว S ชุด MIC ก็จะให้ Tr 1 หยุดทำงานจนกระทั่งแรงเคลื่อนไฟฟ้าลดลงกว่า 14.5 โวลต์ ชุด MIC ก็จะให้ Tr 1 ทำงานไฟชาร์จก็จะเพิ่มมากขึ้นวนเวียนอยู่เช่นนี้ตลอดเวลาเป็นการควบคุมแรงเคลื่อนไฟชาร์จให้คงที่ที่ 14.5 โวลต์ ดังรูปที่ 7.78

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.78 อัลเทอร์เนเตอร์ทำงาน ไอซีเรกูเลเตอร์ควบคุมการชาร์จที่ 14.5 โวลต์ 4. เมื่อขั้ว S หลุดหรือขาดจากวงจร ในกรณีที่ขั้ว S หลุดหรือขาดจากวงจรชุด MIC จะให้ Tr2 หยุดทำงานและให้ Tr3 ทำงานแทน หลอดไฟแสดงการชาร์จจะติด แสดงให้เรารู้ว่าเกิดปัญหาในระบบ ขณะเดียวกันสัญญาณไฟจากขั้ว P ที่ส่งเข้าชุด MIC ยังมีอยู่ ชุด MIC จึงให้ Tr1 ทำงานและหยุดเป็นช่วงๆ เพื่อรักษาแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว B ให้อยู่ในระหว่าง 13.3 โวลต์ และ 16.3 โวลต์ เป็นการป้องกัน แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงเกินไป และป้องกันไอซีเรกูเลเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เสียหายได้ดังรูปที่ 7.79

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.79 หลอดไฟชาร์จติดเมื่อขั้ว S หลุดหรือขาดวงจร 5. เมื่อขั้ว B หลุดหรือขาดจากวงจร เมื่อขั้ว S มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหลือ 13 โวลต์ แต่ที่ขั้ว P มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าถึง 20 โวลต์ ชุด MIC จะให้ Tr2 หยุดทำงาน Tr3 จะทำงานแทน หลอดแสดงการชาร์จติด และให้ Tr 1 ทำงานและหยุดทำงานเป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงเกินไปเป็นการป้องกันอัลเทอร์เนเตอร์และไอซีเรกูเลเตอร์เสียหายได้ดังรูปที่ 7.80

การใช ม เตอร ด จ ตอล ว ดกระแสแบตเตอร
รูปที่ 7.80 หลอดไฟชาร์จติดเมื่อขั้ว B หลุดมือขาดจากวงจร 6. เมื่อขดลวดโรเตอร์ขาด เมื่อขดลวดโรเตอร์ขาดจะทำให้ไม่มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว P ด้วย (แรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็น 0) ชุด MIC จับแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ขั้ว P เป็น 0 ก็จะให้ Tr2 หยุดทำงาน Tr3 จะทำงานแทน หลอดแสดงการชาร์จติดแสดงว่าเกิดเหตุบกพร่องของระบบไฟชาร์จดังรูปที่ 7.81