ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารคลังสินค้าเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักที่ธุรกิจที่มีคลังสินค้าหรือโกดังเป็นส่วนประกอบหนึ่งควรต้องมอนิเตอร์และติดตามดูอย่างต่อเนื่อง เพราะต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าสามารถนำมาวิเคราะห์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานภายในคลังสินค้า นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนตัวนี้ยังสามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยตัดสินใจในการเลือกที่จะ outsource กิจกรรมทางโลจิสติกส์กิจกรรมนี้ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากท่านพบว่าการ outsource การบริหารคลังสินค้าไปให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแลนั้นช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า วันนี้เราจะพาไปดูกันว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการมีคลังสินค้าหรือโกดังนั้นมีอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายในการบริหารคลังสินค้าควรเป็นจำนวนเท่าไหร่ และค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าหรือโกดังของท่านมากเกินไปหรือไม่ ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ Show
12 ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารคลังสินค้าและโกดัง1. ค่าเสื่อมคลังสินค้าหรือโกดังค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนหลักตัวแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ ค่าเสื่อมอาคารคลังสินค้าหรือโกดัง ซึ่งก็คือมูลค่าการก่อสร้างของคลังสินค้าหรือโกดังของท่าน แต่มีระยะเวลาที่ท่านสามารถใช้งานอาคารนั้น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องค่ะ โดยปกติแล้วค่าเสื่อมคลังสินค้าตามหลักของบัญชีจะคิดอยู่ที่ 20 ปี หากท่านอยากจะทราบว่าคลังสินค้าที่สร้างนี้มีต้นทุนต่อเดือนหรือต่อปีเท่าไหร่ มีวิธีคิดดังนี้ค่ะ ตัวอย่างเช่น ค่าก่อสร้างคลังสินค้าหรือโกดังมีมูลค่าทั้งสิ้น 20 ล้านบาท คิดค่าเสื่อมคลังสินค้าอยู่ที่ 20 ปี จะเท่ากับปีละ 1,000,000 บาท หมายความว่าคลังสินค้าของท่านมีต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารอยู่ที่ปีละ 1,000,000 บาท นั่นเองค่ะ 2. ค่าเช่าคลังสินค้าหรือโกดังในกรณีที่ท่านผู้ประกอบการไม่ได้สร้างคลังสินค้าหรือโกดัง แต่เลือกใช้เป็นการเช่าคลังสินค้าหรือเช่าโกดังแทน กรณีนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกี่ยวกับค่าเสื่อมอาคารค่ะ แต่ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนหลักจะกลายเป็นค่าเช่าคลังสินค้าหรือค่าเช่าโกดังแทนค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วค่าเช่าโกดังคลังสินค้าจะจ่ายเป็นรายเดือน สามารถคำนวนหาค่าเช่าที่ต้องจ่ายต่อปีได้โดยการ นำค่าเช่าต่อเดือนคูณด้วยจำนวน 12 เดือนค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ค่าเช่าโกดังหรือเช่าคลังสินค้าอยู่ที่เดือนละ 100,000 บาท คูณด้วย 12 เดือน จะเท่ากับปีละ 1,200,000 บาท นั่นเองค่ะ 3. ค่าเสื่อม Rack และพาเลทค่าเสื่อมของ Rack โดยทั่วไปจะคิดอยู่ที่ประมาณ 5 ปี ส่วนพาเลทนั้นค่าเสื่อมจะขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3 ปีค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับการคิดต้นทุนของแผนกบัญชีของแต่ละบริษัทด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ตัวอย่างที่ 1 คลังสินค้ามี Rack อยู่จำนวน 1,000 โลเคชั่น ติดตั้งด้วยราคาทั้งสิ้น 1,000,000 บาท คิดค่าเสื่อมโดยการหาร 5 ปี ดังนั้นค่าเสื่อม Rack ต่อปีจะอยู่ที่ 200,000 บาทต่อปี ตัวอย่างที่ 2 คลังสินค้า มีพาเลทอยู่ทั้งสิ้น 1,200 พาเลท ซื้อมาราคาพาเลทละ 500 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 600,000 บาท คิดค่าเสื่อมโดยการหาร 3 ปี ดังนั้นค่าเสื่อมพาเลทต่อปีจะอยู่ที่ 200,000 บาทต่อปี 4. ค่าเสื่อมราคาหรือค่าเช่าของอุปกรณ์ขนถ่ายค่าเสื่อมของอุปกรณ์ขนถ่าย เช่น รถโฟล์คลิฟท์ ลิฟท์ทัค พาวเวอร์พาเลท เป็นต้น โดยทั่วไปทางบัญชีจะคิดค่าเสื่อมอยู่ที่ 5 ปี ดังนั้นถ้าอยากจะทราบค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์เหล่านั้นให้นำราคาที่ซื้อมาตั้งแล้วหารด้วยจำนวน 5 ปี ก็จะได้ต้นทุนค่าเสื่อมต่อปีค่ะ ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถโฟล์คลิฟท์มาคันละ 500,000 บาท ต้นทุนค่าเสื่อมต่อปีของรถโฟล์คลิฟท์คันนี้จะมีมูลค่าเท่ากับ 500,000 บาท หารด้วย 5 ปี คิดเป็นค่าเสื่อม 100,000 บาทต่อปีค่ะ หรือถ้าหากบริษัทไม่ได้ซื้ออุปกรณ์เหล่านี้แต่ใช้เป็นการเช่ารายเดือนแทน ก็สามารถคำนวณต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายต่อปีได้โดยการนำค่าเช่าต่อเดือนมาคูณด้วย 12 เดือน ก็จะได้ต้นทุนค่าเช่าของอุปกรณ์ขนถ่ายต่อปีค่ะ 5. ค่าเสื่อมของอุปกรณ์สำนักงานและค่าอุปกรณ์สิ้นเปลืองต่าง ๆอุปกรณ์สำนักงาน เช่น คอมพิวเตอร์ พรินท์เตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น ที่สำหรับไว้ใช้ในหน่วยงานคลังสินค้า ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะคิดค่าเสื่อมอยู่ที่ 3-5 ปีแล้วแต่บัญชีของแต่ละบริษัท ซึ่งต้องนำมาร่วมคำนวณเป็นต้นทุนของโกดังหรือคลังสินค้าด้วยค่ะ 6. ค่าเช่าลิขสิทธิ์โปรแกรมบริหารคลังสินค้าค่าเช่าลิขสิทธิ์ของโปรแกรมต่างๆที่ใช้ในการบริหารคลังสินค้า เช่น โปรแกรมที่ใช้ในสำนักงาน หรือโปรแกรมคลังสินค้า WMS เป็นต้นซึ่งอาจจะเป็นการจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี ก็ต้องรวบรวมนำมาคำนวณเป็นต้นทุนของคลังสินค้าด้วยค่ะ 7. ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ตและน้ำมันเชื้อเพลิงค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมันเชื่อเพลิง ถือเป็นอีกหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักของคลังสินค้า โดยเฉพาะบางคลังสินค้าที่มีระบบห้องเย็นหรือมีการทำงานเป็นกะแบบ 24 ชั่วโมง ยิ่งทำให้ค่าน้ำและค่าไฟมีอัตราการใช้ที่สูงตามไปด้วยค่ะ ค่าน้ำและค่าไฟฟ้าสามารถนำมาคำนวณได้โดยการรวบรวมค่าน้ำและค่าไฟฟ้าที่คลังสินค้าใช้จริงในแต่ละเดือน นำมารวมคำนวณเป็นต้นทุนคลังสินค้าแบบรายปีค่ะ 8. ค่าซ่อมบำรุงอาคารโดยธรรมชาติของอาคารคลังสินค้าหรืออาคารโกดังนั้นเหมือนอาคารอื่น ๆ โดยทั่วไปที่ต้องได้รับการซ่อมบำรุงรักษาเมื่อใช้ไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งค่าซ่อมบำรุงอาคารคลังสินค้านั้นสามารถนำมารวบรวมเป็นรายปีเพื่อไว้คำนวณเป็นต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าค่ะ ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับอายุของตัวอาคารและคุณภาพของการก่อสร้างด้วยค่ะ ยิ่งอาคารโกดังหรือคลังสินค้าที่มีอายุเยอะจะยิ่งมีโอกาสสูงที่ค่าซ่อมบำรุงอาคารในแต่ละปีจะสูงตามไปด้วยค่ะ 9. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นภาษีที่เริ่มใช้แล้วในปี 2563 นี้ โดยอัตราภาษี 2 ปีแรก (พ.ศ.2563-2564) จะเก็บภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นนอกจากการประกอบเกษตรกรรมและเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งรวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ด้านพาณิชยกรรม ห้าง ร้าน สำนักงาน โรงงาน โกดัง คลังสินค้า เป็นต้น ในอัตราดังนี้ มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 0.3% มูลค่า 50-200 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 0.4% มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 0.5% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 0.6% มูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.7% ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโกดังและคลังสินค้าถือได้ว่าเป็นอีกต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายอีกหนึ่งตัวที่ต้องนำมาคำนวณในต้นทุนค่าบริหารคลังสินค้ารายปีด้วยค่ะ หากสนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวิธีคิดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโกดังคลังสินค้าสามารถอ่านบทความของเราได้เลยค่ะ บทความ 5 ข้อต้องรู้เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับโรงงานและโกดังคลังสินค้า คลิ๊ก! ในกรณีที่ท่านเช่าคลังสินค้าสามารถอ่านบทความเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังคลังสินค้าโดยละเอียดได้ที่: บทความ 8 ค่าใช้จ่ายหลักที่เกี่ยวข้องกับการเช่าโรงงานหรือเช่าโกดังคลังสินค้า คลิ๊ก! 10. ค่าเงินเดือนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานเงินเดือนของพนักงานประจำทั้งหมดของแผนกคลังสินค้าตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงผู้จัดการคลังสินค้า นำทุกตำแหน่งมาคำนวณดูว่าต่อปีเงินเดือนของทั้งแผนกคลังสินค้านั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ จะได้ออกมาเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนต่อปีค่ะ นอกจากนี้ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานไม่ว่าจะเป็น ค่าล่วงเวลา ประกันสังคม โบนัส สวัสดิการต่าง ๆ ก็ต้องนำมาคิดโดยรวมต่อปีเพื่อนำมาร่วมคำนวณในต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายคลังสินค้าด้วยนะคะ 11. ค่าจ้างแรงงานชั่วคราวอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่มักจะถูกลืมไม่ได้นำมาคิดคำนวณเป็นต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าก็คือ ค่าจ้างแรงงานชั่วคราวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน Outsource ที่จ้างมาเพื่อลงของในกรณีที่สินค้ามาพร้อมกันในจำนวนมาก หรือแรงงานชั่วคราวที่จ้างมาทำกิจกรรมอื่น ๆ ในคลังสินค้า เช่น แพ๊ค รีแพ๊ค เป็นต้น โดยในกรณีแรงงานชั่วคราวนั้นต้องนำมาคำนวณดูว่าโดยเฉลี่ยต่อปีมีการจ้างมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่ค่ะ 12. ค่าประกันภัยในคลังสินค้าบริษัทโดยส่วนใหญ่ที่มีคลังสินค้าจะมีการทำประกันภัยทั้งสำหรับสินค้าคงคลังและสำหรับอาคารคลังสินค้า ซึ่งค่าเบี้ยประกันทั้งสองประเภทนี้นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนสำหรับคลังสินค้าเช่นเดียวกันค่ะ โดยปกติแล้วเบี้ยประกันอาคารและสินค้าคงคลังจะชำระเป็นรายปี ส่วนค่าเบี้ยจะมากหรือน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับทุนประกันและเงื่อนไขความคุ้มครองต่าง ๆ ตามแต่ตกลงกับบริษัทประกันภัยค่ะ เปอร์เซ็นต์ต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขายหากท่านผู้ประกอบการต้องการจะทราบว่าคลังสินค้าหรือโกดังของบริษัทของท่าน มีการบริหารงานในคลังสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด หรือคลังสินค้าของท่านมีค่าใช้จ่ายมากเกินไปหรือไม่ ท่านสามารถดูได้จาก “เปอร์เซ็นต์ต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขาย” “เปอร์เซ็นต์ต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขาย” สามารถคิดได้โดยนำต้นทุนที่ได้ทั้งหมดต่อปีที่เราได้เตรียมไว้แล้วข้างต้น มาคำนวณหาต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขาย ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังต่อไปนี้ (ต้นทุนคลังสินค้าทั้งหมดต่อปี/ยอดขายต่อปี) x100 = เปอร์เซ็นต์ต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขายX เปอร์เซ็นต์ต้นทุนการบริหารคลังสินค้าต่อยอดขาย ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ ยอดขาย 100 บาท จะมีต้นทุนในการบริหารคลังสินค้าอยู่ที่จำนวน X บาท เปอร์เซ็นต์ต้นทุนในการบริหารคลังสินค้า เป็นหนึ่งใน KPI หลักที่ผู้จัดการคลังสินค้าและผู้บริหารต้องคอยมอนิเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอีกด้วยค่ะ โดยสรุปค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการบริหารคลังสินค้านั้นมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ค่าเสื่อมคลังสินค้า ค่าเช่า ค่าเสื่อม Rack พาเลท ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุงอาคาร ค่าเงินเดือน ค่าประกันภัย เป็นต้น นอกจากค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนคลังสินค้าที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังอาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าและโกดังอื่นๆ ได้อีก เช่น ค่ารักษาความปลอดภัย ค่าระบบป้องกันอัคคีภัย ค่า Pest Control เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทค่ะ อย่างไรก็ตามยิ่งสามารถเก็บค่าใช้จ่ายมาคำนวณต้นทุนได้ละเอียดเท่าไหร่ ยิ่งสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงและสะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารคลังสินค้าได้ดียิ่งขึ้นค่ะ หากสนใจโกดังให้เช่าและคลังสินค้าให้เช่า คุณภาพสูงฟังก์ชั่นครบครัน ใส่ใจทุกรายละเอียด โลเคชั่นดีเยี่ยม บริการซ่อมแซมด่วนฟรีตลอดสัญญาเช่า พร้อมบริการพิเศษดีๆแบบครบวงจร อีกทั้งตั้งอยู่ในโครงการความปลอดภัยสูง รปภ. ดูแล 24 ชั่วโมง ระบบ CCTV รอบโครงการ ติดต่อเราได้นะคะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ Sources: https://www.facebook.com/logisticsconsult https://www.facebook.com/logisticsconsult/videos/3897892490327241 http://www.agriman.doae.go.th/home/news2/Logistics/Binder%204.pdf Images from: https://pixabay.com/ https://www.freepik.com/
3 ขั้นตอนในการตั้งงบประมาณการเช่าโรงงานหรือเช่าโกดังคลังสินค้า หากท่านกำลังสนใจหาโรงงานให้เช่า หรือโกดังคลังสินค้าให้เช่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ควรทราบก่อนเริ่มต้นมองหาโรงงานหรือโกดั... กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ 5 ขั้นตอน มีอะไรบ้าง1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม. 2. การจัดวางทิศทางขององค์กร. 3. กำหนดกลยุทธ์. 4. การปฏิบัติงานตามกลยุทธ์. 5. การควบคุมกลยุทธ์. -การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก. -การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน. -ภารกิจขององค์กร. ที่เก็บสินค้าจำแนกได้3ประเภทอะไรบ้างทำความรู้จักกับประเภทของคลังสินค้าและโกดัง. 1. คลังสินค้าสาธารณะ ... . 2. คลังสินค้าส่วนตัว ... . ประเภทคลังสินค้าแบ่งตามลักษณะงาน. 1. คลังสินค้าแบบศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center : DC) ... . 2. คลังสินค้าแบบศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Cross Dock) ... . 3. คลังสินค้าแบบ Fulfilment Center. ... . ประเภทคลังสินค้าแบบตามลักษณะสินค้าภายในคลัง. Cross docking คืออะไรจงอธิบายCross Dock หมายถึง คลังสินค้าใช้สำหรับในการรับสินค้าและส่งสินค้าในเวลาเดียวกัน หรือเป็นคลังสินค้าซึ่งมีการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อใช้ในการขนถ่ายจากพาหนะหนึ่งไปสู่อีกพาหนะหนึ่ง โดย Cross Dock ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสถานที่ ซึ่งมีลักษณะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบรรจุและคัดแยกสินค้าในการคัดแยกตามความ ... Warehouse Management ทำอะไรบ้างหน้าที่หลักของผู้จัดการคลังสินค้า คือ การกำหนดนโยบายและแผนการทำงานในคลังสินค้า พร้อมกำกับและควบคุมให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น โดยต้องประสานงานกับพนักงาน แผนกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง บริษัทภายนอก หรือหน่วยงานราชการเพื่อสามารถส่งของให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด และยังต้องคอยช่วยแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังต้องช่วยควบคุม ... |