ขั้นตอน การศึกษาวิธีการทำงาน จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยหลักการและแนวคิดต่างๆ ทางการเพิ่มผลผลิตเข้ามาประกอบในกิจกรรมการพัฒนาและปรับปรุงวิธีการทำงาน ซึ่งพอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้ Show
การแบ่งแยกความสำคัญของงานส่วนนี้เป็นส่วนที่ควรพิจารณาเป็นลำดับแรก ผู้ศึกษาจะต้องมีความรู้ และเข้าใจ ในธรรมชาติของงานที่จะทำการศึกษาว่า มีลักษณะความสำคัญตามเงื่อนไขที่ผูกพันในข้อใดบ้าง เช่น
การแบ่งแบกประเภทของงานการเข้าใจลักษณะของงานก่อน การศึกษาวิธีการทำงาน จะช่วยให้สามารถดำเนินการศึกษาปรับปรุงกระบวนวิธีการทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น การแบ่งแยกประเภทของงานในส่วนนี้ประกอบด้วยลุกษณะประเภทของงานดังต่อไปนี้
การกำหนดความไม่แน่นอนของงานเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจว่าความไม่แน่นอนเป็นความสูญเสีย ทั้งที่เราเกิดความสูญเสียจากความไม่แน่นอนมาโดยตลอด เช่น ความไม่แน่นอนของการจัดส่งวัตถุดิบ ทำให้เราต้องมีสินค้าคงคลัง ความไม่แน่นอนทางการผลิต ทำให้เกิดความขัดข้องทางการผลิต ดังนั้นเราจะต้องพยายามศึกษาปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน และส่งผลกระทบกับการดำเนินการ หลังจากนั้นจะต้องพยายามควบคุมหรือลดความไม่แน่นอนของปัจจัยเหล่านั้น เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกระบวนการดำเนินการ การเพิ่มผลผลิตและการลดต้นทุนการผลิตแนวทางคือการค้นหาความสูญเสียจากการสูญเปล่าของการทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเพิ่มผลผลิต และการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเร่งเร้าให้เกิดจิตสำนึกด้านการเพิ่มผลผลิตให้แก่พนักงานในทุกๆระดับ มีขั้นตอนในการดำเนินการดังต่อไปนี้
การตรวจสอบและการขนย้ายการขนย้าย และการตรวจสอบ ถือได้ว่าเป็นการสูญเสีย เราจะต้องพยายามลดการดำเนินการในขั้นตอนเหล่านี้ เพื่อให้เกิด การตรวจสอบและการขนย้ายน้อยที่สุด เวลาส่วนเกิน และเวลาไร้ประสิทธิภาพเราพบว่าเราสามารถแบ่งประเภทเวลาออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
แหล่งที่ตั้งและรูปแบบความสูญเสียการที่เราจะขจัดความสูญเสียให้หมดไปได้นั้น ในลำดับแรกเราจะต้องค้นหาความสูญเสียให้พบเสียก่อน คำถามคือเราจะสามารถค้นหาความสูญเสียได้จากที่ไหน คำตอบคือเราสามารถค้นหาความสูญเสียได้จากแหล่งที่ตั้งของความสูญเสีย นั่นคือทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตนั่นเอง หลักการของ 4 ศูนย์เป็นหลักพื้นฐานซึ่งผู้บริหารการผลิตทุกคนต้องท่องจำขึ้นใจ หลักการดังกล่าว คือ หลักของการ “ไม่ให้มี” และ”ไม่ให้เกิด” ซึ่ง 0 แปลว่าไม่ต้องการให้เกิดหรือมี อันได้แก่
กิจกรรมกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับ การศึกษาวิธีการทำงานการศึกษาวิธีการทำงาน เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลอย่างสูงสำหรับกิจกรรมกลุ่มต่างๆต่อไปนี้
ขั้นตอนของการศึกษาวิธีการทำงาน
การเลือกงานเป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญ เพราะหากเราเลือกงานผิดย่อมเป็นการเสียโอกาส งานบางอย่างถ้าเลือกทำก่อนจะใช้ประโยชน์ต่อเนื่องไปถึงงานอื่นได้ ถ้าเลือกทำทีหลังจะไม่มีผลดีต่องานอื่นๆ ทำให้เสียเวลาในการศึกษางานอื่น การเก็บข้อมูลวิธีการทำงานการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำครบถ้วนตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการวิเคราะห์และพัฒนาวิธีการทำงานที่ดีขึ้นได้ ในการบันทึกวิธีการทำงานจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์วิธีการทำงานเราจะใช้เทคนิคในการตั้งคำถามเพื่อช่วยให้สามารถกำหนดแนวทางในการปรับปรุงวิธีการทำงาน โดยเทคนิคนี้เรียกโดยย่อว่า 6W-1H โดยคำถามจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
What = อะไร => ทำงานอะไร? จุดประสงค์ของการทำงานนี้คืออะไร? Who = ใคร => ใครเป็นคนทำงานนี้? When =เมื่อไร => ทำงานนี้เมื่อไร? Where =ที่ไหน => งานนี้ทำที่ไหน? ตรงไหน? How = อย่างไร => ทำงานนี้อย่างไร?
Why =ทำไม => เหตุใดต้องทำงานนี้? How = อย่างไร => มีอย่างอื่นที่ทำได้ไหม? การปรับปรุงวิธีการทำงานจากการตรวจตราและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้บันทึกมาโดยใช้เทคนิค 6W-1H ทำให้เกือบจะได้แนวทางคำตอบการปรับปรุงการทำงานที่ครบถ้วน ขั้นตอนนี้จึงเป็นเพียงการเลือกใช้เทคนิคการปรับปรุงงาน ตามหลักการ ECRS เท่านั้น
การเปรียบเทียบวัดผลวิธีการทำงานในขั้นตอนนี้ดำเนินการเพื่อจะตอบคำถามที่ว่า การทำงานที่ปรับปรุงใหม่ดีกว่าการทำงานเดิมจริงหรือไม่ โดยเกณฑ์ที่ใช้วัดมีมากมาย เช่น เวลา, ค่าใช้จ่าย , ระยะทาง และจำนวนทรัพยากรที่ใช้ในการทำงาน เป็นต้น การพัฒนามาตรฐานวิธีการทำงานใช้เป็นแนวทาง และเป็นเอกสารอ้างอิงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการทำงาน และเป็นเครื่องมือในการอบรมพัฒนาบุคลากรในด้านมาตรฐานวิธีการทำงาน การส่งเสริมใช้วิธีการทำงานที่ปรับปรุงแล้วผู้ศึกษาจะต้องพยายามชี้ให้เห็นว่า คนงานไม่ได้เสียผลประโยชน์อะไรเลย แต่จะทำให้งานง่ายขึ้น เบาลง ผลงานดีขึ้น เป็นต้น ขั้นตอนการส่งเสริมใช้วิธีการทำงานที่ปรับปรุงแล้วมีดังต่อไปนี้
การติดตามการใช้วิธีการทำงานที่ปรับปรุงแล้วเพื่อการรักษาวิธีการทำงานใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้วให้มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องและคงอยู่จนกว่าจะพัฒนาวิธีการทำงานให้ดีขึ้นไปอีก จะต้องมีการติดตามการทำงานของคนงานโดยห้ามไม่ให้คนงานใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของวิธีการเก่า หรือใช้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่วิธีการใหม่ นอกเสียจากว่าคนงานจะสามารถหาเหตุผล และพิสูจน์ได้ว่าวิธีการเหล่านี้เหมาะสมกว่า เทคนิคการตรวจตราข้อมูลวิธีการทำงานด้วยคำถามสำเร็จรูป (Check List)เทคนิคการตรวจตราข้อมูลที่บันทึกไว้โดยการตั้งคำถามนั้น เพื่อความละเอียดครบถ้วนจึงมักใช้ในรูปแบบคำถามสำเร็จรูป (Check List) ที่มีการตั้งไว้อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องกัน ดังตัวอย่าง Check List ต่อไปนี้ คำถามสำหรับตรวจสอบวิธีการทำงาน1.การปฏิบัติการ1.1 จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติการคืออะไร 1.2 ผลลัพธ์ที่ได้จากการปฏิบัติการนี่จำเป็นหรือไม่ ถ้าจำเป็น อะไรเป็นเหตุให้จำเป็น 1.3 การปฏิบัติการนี้จำเป็น เพราะการปฏิบัติการก่อนหน้านี้ไม่ได้กระทำอย่างถูกต้องใช่หรือไม่ 1.4 การปฏิบัตินี้จัดให้มีขึ้นเพื่อแก้ไขสภาพเงื่อนไขซึ่งปัจจุบันได้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ 1.5 ถ้าการปฏิบัติการที่กำลังดำเนินอยู่นี้ เป็นไปเพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดีขึ้น ต้นทุนที่เพิ่ม ขึ้นนั้นช่วยให้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ 1.6 จุดมุ่งหมายของปฏิบัติการนี้ จะสามารถบรรลุได้โดยวิธีการอื่นหรือไม่ 1.7 บริษัทผู้จัดหาวัสดุให้สามารถดำเนินการปฏิบัติการปฏิบัติการนี้ได้โดยประหยัดกว่าหรือไม่ 1.8 การปฏิบัติการนี้ ทำเพื่อสนองตามความต้องการของลูกค้าเพียงรายหรือสองรายเท่านั้น 1.9 ปฏิบัติการที่ต่อเนื่องจากปฏิบัติการนี้จะขจัดความจำเป็นที่จะต้องทำปฏิบัติการนี้หรือไม่ 1.10 ปฏิบัติการนี้ดำเนินการเพราะผลสืบเนื่องจากความเคยชินที่เป็นนิสัยหรือเปล่า 1.11 ปฏิบัติการนี้ จัดตั้งขึ้นเพื่อลดต้นทุนของปฏิบัติการก่อนหน้าหรือปฏิบัติการที่ตามมาใช่หรือไม่ 1.12 ปฏิบัติการนี้เพิ่มขึ้นจากข้อเสนอของแผนกขายเพื่อให้มีลักษณะพิเศษใช่หรือไม่ 1.13 สามารถซื้อชิ้นส่วนได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่าหรือไม่ 1.14 การเพิ่มปฏิบัติการจะทำให้ปฏิบัติการอื่นทำได้ง่ายขึ้น ใช่หรือไม่ 1.15 มีวิธีการอื่นอีกไหมที่ได้ผลเหมือนกับปฏิบัติการนี้ 1.16 ถ้าปฏิบัติการนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อจะแก้ไขความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้น จะเป็นไปได้ไหมว่าปฏิบัติการแก้ไขนี้ แพงกว่าอุปสรรคนั้นเอง 1.17 การเพิ่มปฏิบัติการนี้เข้ามาในกรรมวิธี จะทำให้สภาพเงื่อนไขเปลี่ยนไปหรือไม่ 2.การออกแบบ2.1 การออกแบบจะถูกเปลี่ยนเพื่อทำให้ปฏิบัติการง่ายขึ้นหรือขจัดทิ้งได้หรือไม่ 2.2 การออกแบบชิ้นส่วนจะเหมาะแก่วิธีการผลิตที่ดีหรือไม่ 2.3 ผลลัพธ์อย่างเดียวกันจะบรรลุได้โดยการเปลี่ยนการออกแบบ ซึ่งเป็นผลให้ลดต้นทุนได้ไหม 2.4 จะใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานมาแทนชิ้นส่วนที่ใช้อยู่ได้ไหม 2.5 การเปลี่ยนแปลงการออกแบบจะทำให้เพิ่มสมรรถนะทางการขาย และขยายตลาดได้หรือไม่ 2.6 ชิ้นส่วนมาตรฐานจะถูกดัดแปลงมาเพื่อใช้ในการทำงานได้ไหม 2.7 เป็นไปได้ไหม ที่จะปรับปรุงลักษณะภายนอกของสิ่งของโดยไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพใช้สอย 2.8 ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับรูปลักษณ์ภายนอกและคุณภาพการใช้สอยที่ดีขึ้นจะแลกด้วยยอดขาย ที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ 2.9 สิ่งของนี้มีรูปลักษณ์ภายนอกและคุณภาพการใช้สอยที่ดีที่สุด เหมาะสมกับราคาในตลาดหรือไม่ 3.ความต้องการการตรวจสอบ3.1 มีความต้องการการตรวจสอบอะไรบ้างสำหรับปฏิบัติการนี้ 3.2 ทุกคนที่เกี่ยวข้องทราบหรือไม่ว่า มีความต้องการอะไรบ้าง 3.3 อะไรคือรายละเอียดการตรวจสอบก่อนและหลังการปฏิบัติการ 3.4 การเปลี่ยนความต้องการของปฏิบัติการนี้ จะทำให้การปฏิบัติการนี้ง่ายขึ้นหรือไม่ 3.5 การเปลี่ยนความต้องการของปฏิบัติการก่อนหน้านี้ จะทำให้ปฏิบัติการนี้ง่ายขึ้นหรือไม่ 3.6 เกณฑ์การคลาดเคลื่อน (tolerance) การเผื่อ(allowance) การปรับสำเร็จของงาน(finish) และมาตรฐานอื่นๆ จำเป็นจริงๆ หรือไม่ 3.7 จะสามารถปรับเพิ่มมาตรฐานเพื่อปรับปรุงคุณภาพโดยไม่ต้องมีต้นทุนที่ไม่จำเป็นได้หรือไม่ 3.8 การลดมาตรฐานให้ต่ำลงจะลดต้นทุนลงได้มากหรือไม่ 3.9 คุณภาพของผลิตภัณฑ์จะปรับปรุงให้ดีขึ้นในทางใดทางหนึ่งให้สูงกว่ามาตรฐานปัจจุบันได้ไหม 3.10 มาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์และปฏิบัติการนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ และปฏิบัติการที่คล้ายๆ กัน แล้วเป็นอย่างไร 3.11 จะปรับปรุงคุณภาพโดยใช้กระบวนวิธีใหม่ๆ ได้หรือไม่ 3.12 มาตรฐานเดียวกันนี้จำเป็นต่อลูกค้าทุกรายหรือไม่ 3.13 การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานและความต้องการการตรวจสอบจะเพิ่มหรือลดของเสียค่าใช้จ่าย ในการปฏิบัติการ ในโรงงาน หรือภาคสนามหรือไม่ 3.14 เกณฑ์การคลาดเคลื่อนที่ใช้ในการปฏิบัติจริงๆ นั้น เป็นค่าเดียวกับที่แสดงไว้ในแบบเขียนหรือไม่ 3.15 ได้ตกลงกันระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า อะไรบ้างเป็นสิ่งประกอบเพื่อคุณภาพที่ยอมรับได้ 3.16 อะไรเป็นเหตุสำคัญของการคัดออกของชิ้นส่วนในการตรวจสอบ 3.17 มาตรฐานคุณภาพ ถูกกำหนดไว้แน่นอนหรือว่าเป็นเรื่องของการตัดสินใจของแต่ละคน 4.การขนย้ายวัสดุ4.1 เวลาที่ใช้ในการนำวัสดุเข้ามาที่สถานีทำงาน และในการเคลื่อนย้ายวัสดุออกไป คิดเป็นสัดส่วนของ เวลามากหรือไม่ เมื่อเทียบกับการใช้เวลากับวัสดุนั้นที่สถานีทำงาน 4.2 ถ้าใช้เวลาไม่มากงานการขนย้ายวัสดุจะทำโดยผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้ได้พักจากการเปลี่ยนงานได้หรือไม่ 4.3 จะใช้รถเข็นด้วยมือ รถยกไฟฟ้า หรือรถยก ได้หรือไม่ 4.4 จะใช้ชั้นเป็นหิ้งพิเศษ ภาชนะบรรจุ หรือไม่พัลเลตเพื่อให้การขนย้ายวัสดุทำได้ง่ายและไม่เกิด การเสียหายขึ้นได้หรือไม่ 4.5 วัสดุขาเข้าและขาออกควรตั้งอยู่ในบริเวณบริเวณใดของที่ทำงาน 4.6 การใช้สายพานลำเลียงเหมาะสมหรือไม่ และถ้าเหมาะสม ชนิดใดดีที่สุด 4.7 สถานีทำงานสำหรับขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องกัน จะขยับให้ใกล้กันได้หรือไม่ และปัญหา ทางการขนย้ายวัสดุจะแก้ไขด้วยการใช้หลักแรงโน้มถ่วง ของโลกได้หรือไม่ 4.8 วัสดุจะถูกผลักเคลื่อนย้ายจากผู้ปฏิบัติงานหนึ่ง ไปสู่ผู้ปฏิบัติงานต่อไประหว่างกันบนโต๊ะทำงาน ได้หรือไม่ 4.9 วัสดุจะจัดจ่ายจากจุดศูนย์วัสดุโดยใช้สายลำเลียงได้หรือไม่ 4.10 ขนาดของภาชนะพอเหมาะกับปริมาณวัสดุที่ขนย้ายหรือไม่ 4.11 วัสดุจะถูกนำไปยังจุดศูนย์ตรวจสอบโดยอาศัยสายพานลำเลียงได้หรือไม่ 4.12 ภาชนะบรรจุจะถูกออกแบบเพื่อให้การเข้าถึงวัสดุได้สะดวกขึ้นได้ไหม 4.13 จะจัดภาชนะบรรจุไว้ ณ สถานีทำงาน โดยไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายวัสดุออกได้หรือไม่ 4.14 จะใช้รอกไฟฟ้า รอกลม หรืออุปกรณ์การยกอื่นๆ ได้อย่างมีประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ 4.15 ถ้ามีการใช้รถเครนเคลื่อนที่เหนือศีรษะ การบริการจะทันใจและแม่นยำหรือไม่ 4.16 จะใช้รถไฟแบบหัวรถจักร รถลากจูงได้ไหม รถไฟแบบนี้หรือรถรางจะแทนการ ใช้สายพานลำเลียงได้หรือไม่ 4.17 จะใช้แรงโน้มถ่วงของโลก โดยเริ่มต้นจากการปฏิบัติการขั้นตอนแรกที่ระดับสูง ได้หรือไม่ 4.18 จะใช้ช่องทิ้งวัสดุเพื่อรองรับวัสดุและส่งต่อไปสู่ภาชนะบรรจุได้หรือไม่ 4.19 แผนภูมิกระบวนการผลิต จะช่วยในการแก้ไขปัญหาด้านการเคลื่อนที่และขนย้ายได้หรือไม่ 4.20 ห้องเก็บของถูกต้องขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ 4.21 สถานีขนถ่ายของรถบรรทุกตั้งอยู่ในที่ศูนย์กลางหรือไม่ 4.22 จะใช้สายพานลำเลียงสำหรับการขนส่งของจากชั้นหนึ่งอีกชั้นหนึ่งได้หรือไม่ 4.23 จะใช้ภาชนะบรรจุวัสดุชนิดติดตัวซึ่งสูงกว่าระดับเอว ในสถานีทำงานต่างๆได้หรือไม่ 4.24 ชิ้นส่วนที่เสร็จแล้วส่งย้ายออกได้ง่ายหรือไม่ 4.25 โต๊ะหมุนจะช่วยขจัดกิจกรรมการเดินทางได้หรือไม่ 4.26 วัตถุดิบขาเข้าจะรับเข้าที่สถานีทำงานโดยไม่ต้องมีการขนย้ายซ้ำสองได้หรือไม่ 4.27 การปฏิบัติงานต่างๆ จะรวมกันในสถานีทำงานแห่งเดียว เพื่อลดการขนย้ายซ้ำ สองได้หรือไม่ 4.28 ภาชนะบรรจุมาตรฐานจะช่วยขจัดกิจกรรมการชั่งได้หรือไม่ 4.29 เครื่องยกไฮโดรลิกจะขจัดการใช้เครนได้หรือไม่ 4.30 ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถส่งมอบชิ้นส่วนให้สถานีทำงานต่อไป เมื่อส่งต่อชิ้นงาน ได้หรือไม่ 4.31 ภาชนะบรรจุ จะมีขนาดรูปร่างคงที่เพื่อสามารถวางซ้อนกันได้และขจัดการใช้พื้นที่ มากเกินไปได้หรือไม่ 4.32 วัสดุจะซื้อมาเป็นขนาดที่สะดวกมากขึ้นในการขนย้ายได้หรือไม่ 4.33 สัญญาณต่างๆ เช่น แสงไฟ กระดิ่ง ฯลฯ จะช่วยให้คนรู้ว่า มีความต้องการวัสดุเพิ่มขึ้น เป็นการลดการเสียเวลาหรือไม่ 4.34 การกำหนดการทางผลิตที่ดีจะช่วยขจัดกรณีคอคอดได้หรือไม่ 4.35 การวางแผนที่ดีจะช่วยขจัดกรณีคอคอดของการใช้เครนได้หรือไม่ 4.36 จะเปลี่ยนที่ตั้งของห้องเก็บของและกองวัสดุเพื่อลดการขนย้ายและขนส่ง ได้ หรือไม่ 5.การวิเคราะห์กระบวนการ5.1 ปฏิบัติการที่กำลังวิเคราะห์อยู่นี้จะรวมเข้ากับอีกปฏิบัติการหนึ่งได้หรือไม่ จะขจัดปฏิบัติการนี้ได้ไหม 5.2 จะแยกย่อยปฏิบัติการนี้และรวมส่วนต่างๆ ของปฏิบัติการนี้ ให้เข้ากับปฏิบัติการอื่นๆ ได้หรือไม่ 5.3 ปฏิบัติการที่กำลังทำอยู่นี้ จะทำสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพว่าโดยเป็นปฏิบัติการแยกออกต่างหาก ได้หรือไม่ 5.4 ลำดับขั้นตอนของปฏิบัติการต่างๆ เป็นลำดับที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้แล้วหรือยัง การเปลี่ยนลำดับ ขั้นตอนจะทำให้การปฏิบัติการนั้นดีหรือไม่ 5.5 เพื่อเป็นการตัดต้นทุนการขนย้ายปฏิบัติการนั้นจะทำให้แผนกอื่นได้หรือไม่ 5.6 ควรจะต้องทำการศึกษาการปฏิบัติการอย่างรวบรัด โดยอาศัยแผนภูมิกระบวนการผลิตหรือไม่ 5.7 ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงปฏิบัติการ จะมีผลอะไรต่อปฏิบัติการอื่นและต่อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป 5.8 ถ้าสามารถใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปในการผลิตชิ้นส่วน จะเป็นการคุ้มกับงานและกิจกรรม ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ 5.9 จะรวมปฏิบัติการและการตรวจสอบเข้าด้วยกันได้หรือไม่ 5.10 การตรวจสอบงานกระทำ ณ จุดวิกฤติหรือเมื่อชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว 5.11 การตรวจสอบด้วยการเดินยามตรวจ จะขจัดของสิ้นเปลือง ของเสีย และค่าใช้จ่ายหรือไม่ 6.วัสดุ6.1 วัสดุที่ใช้แท้จริงแล้วเหมาะสมกับงานหรือไม่ 6.2 จะสามารถใช้วัสดุที่ราคาถูกว่าทดแทนและยังคงใช้งานได้หรือไม่ 6.3 จะใช้วัสดุที่ด้อยกว่าได้หรือไม่ 6.4 วัสดุที่จัดซื้อมาอยู่ในสภาพเหมาะสำหรับการใช้งานหรือไม่ 6.5 ผู้จัดส่งวัสดุจะเพิ่มงานกับวัสดุซึ่งจะปรับปรุงการใช้งานวัสดุได้ดีขึ้น และลดของสูญเสียให้น้อยลง ได้หรือไม่ 6.6 วัสดุสะอาดเพียงพอหรือไม่ 6.7 วัสดุจัดซื้อมาในปริมาณและขนาดซึ่งทำให้เกิดการใช้งานได้สูงสุด และจำกัดของเสียที่เกิดจาก ของเหลือจากการตัดและปลายที่สั้นเกินไปหรือไม่ 6.8 วัสดุได้รับการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในระหว่างการตัดและระหว่างดำเนิน กระบวนผลิตหรือไม่ 6.9 วัสดุที่ใช้เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตมีความเหมาะสมหรือไม่ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำ น้ำกรด สี แก๊ส ลมอัด ไฟฟ้า และมีการควบคุมการใช้อย่างประหยัดหรือไม่ 6.10 ต้นทุนวัสดุเทียบกับต้นทุนแรงงานแล้วเป็นอย่างไร 6.11 การออกแบบจะปรับเปลี่ยนเพื่อขจัดการสูญเสียและวัสดุเสียได้หรือไม่ 6.12 จะลดจำนวนประเภทของวัสดุลงด้วยการกำหนดใช้วัสดุมาตรฐานได้หรือไม่ 6.13 ชิ้นส่วนจะทำจากวัสดุเสียได้หรือไม่ 6.14 จะสามารถใช้วัสดุที่พัฒนาขึ้นใหม่ เช่น พลาสติก ฮาร์ดบอร์ด ได้หรือไม่ 6.15 ผู้จัดส่งวัสดุมีการปฏิบัติการกับวัสดุซึ่งไม่จำเป็นต่อกระบวนการผลิตหรือไม่ 6.16 จะใช้วัสดุที่ได้จากการเอกซ์ทรูดได้หรือไม่ 6.17 ถ้ามีการใช้วัสดุเกรดที่คุณภาพคงที่กว่า จะสามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้ดีขึ้นหรือไม่ 6.18 จะใช้ชิ้นส่วนที่เชื่อมประกอบแทนที่ชิ้นงานจากงานหล่อ เพื่อประหยัดต้นทุนค่าแบบได้หรือไม่ 6.19 มีกิจกรรมน้อยเพียงพอที่จะทำเช่นนี้ได้หรือไม่ 6.20 วัสดุนั้นปราศจากขอบคมและเศษแตกหักหรือไม่ 6.21 การเก็บรักษามีผลกระทบอะไรต่อวัสดุ 6.22 การตรวจสอบวัสดุขาเข้าอย่างระมัดระวังขึ้น จะลดอุปสรรคที่พบในปัจจุบันได้หรือไม่ 7.การวางผังสถานที่ทำงาน7.1 งานถูกมอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานอย่างไร 7.2 การควบคุมทำได้ดีจนผู้ปฏิบัติงานไม่เคยที่จะไม่มีงานทำหรือไม่ 7.3 ผู้ปฏิบัติงานได้รับคำสั่งอย่างไร 7.4 วัสดุได้รับมาอย่างไร 7.5 มีการจ่ายแบบเขียนและเครื่องมืออย่างไร 7.6 มีการควบคุมเวลาหรือไม่ ถ้ามี จะตรวจสอบเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของงานอย่างไร 7.7 มีความเป็นไปในการเกิดความล่าช้าที่ห้องเขียนแบบ ห้องเครื่องมือ ห้องเก็บของ และในสำนักงานหรือไม่ 7.8 ผังสถานที่ทำงานมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ และจะปรับปรุงอีกได้หรือไม่ 7.9 วัสดุอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะแล้วหรือไม่ 7.10 ถ้ามีการปฏิบัติการตลอดเวลา จะมีเวลาเสียไปเท่าไรในกิจกรรมการเริ่มต้น และ ทำความสะอาด เมื่อเริ่มกะและสิ้นสุดกะ 7.11 มีการเตรียมตำแหน่งเครื่องมือเพื่อลดเวลารอคอยหรือไม่ 7.12 การจัดเพิ่มเติมวัสดุทำอย่างไร 7.13 จะสามารถใช้มือหรือขา ในการสนับสนุนการใช้ปืนลมให้เกิดประโยชน์ช่วยได้หรือไม่ 7.14 จะใช้จิ๊กได้หรือไม่ 7.15 จะใช้การนำร่องหรือหมุดลูกปืนช่วยในการกำหนดตำแหน่งงานได้หรือไม่ 7.16 จะต้องทำอะไรในการดำเนินการปฏิบัติการให้สำเร็จและเก็บเครื่องมือทั้งหมด 7.17 จะทำความสะอาดสถานที่อย่างทั่วถึงได้อย่าง
8. เครื่องมือและอุปกรณ์8.1 จะออกแบบจิ๊กให้ใช้กับงานมากกว่าหนึ่งงานได้หรือไม่ 8.2 ปริมาณงานมีมากเพียงพอสำหรับการใช้เครื่องมือ จิ๊ก และฟิกซ์เจอร์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยพิเศษหรือไม่ 8.3 จะใช้เครื่องป้อนเป็นชุดแบบแมกกาซีนได้หรือไม่ 8.4 จิ๊กจะทำจะวัสดุชนิดเบาหรือถูกออกแบบด้านวัสดุอย่างประหยัดเพื่อให้การขนย้ายง่ายขึ้นได้หรือไม่ 8.5 มีฟิกซ์เจอร์อื่นที่ดัดแปลงเข้ากับงานนี้ได้อีกหรือไม่ 8.6 การออกแบบจิ๊กถูกต้องหรือไม่ 8.7 การใช้เครื่องมือราคาถูกจะลดคุณภาพหรือไม่ 8.8 การออกแบบจิ๊ก ช่วยให้การเคลื่อนที่ตามหลักการประหยัดของการเคลื่อนที่หรือไม่ 8.9 จะสามารถใส่และถอดชิ้นส่วนจากจิ๊กได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ 8.10 กลไกการกระทำที่เร็วหรือเคลื่อนที่ด้วยลูกเบี้ยว จะเหมาะสำหรับการยึดแน่น ของจิ๊ก แคลมป์ หรือปากกาได้หรือไม่ 8.11 จะติดตั้งเครื่องดีดไว้ที่ฟิกซ์เจอร์เพื่อผลักชิ้นงานออกโดยอัตโนมัติ เมื่อฟิกซ์เจอร์เปิดได้หรือไม่ 8.12 มีการจัดเครื่องมืออย่างเดียวกันแก่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนใช่หรือไม่ 8.13 ถ้าความแม่นยำของงานเป็นสิ่งจำเป็น มีการจัดหาเกจวัด เครื่องวัดอื่นๆ ที่ เหมาะสมไว้หรือไม่ 8.14 อุปกรณ์ทำด้วยไม้ที่ใช้อยู่ในสภาพดีหรือไม่ และโต๊ะงานปราศจากเสี้ยนหรือไม่ 8.15 โต๊ะพิเศษถูกออกแบบเพื่อขจัดการล้ม การก้มเงย และการเอื้อม ซึ่งจะลดความเมื่อยล้าหรือไม่ 9.สภาพการทำงาน9.1 แสงสว่างสม่ำเสมอและเพียงพอตลอดเวลาหรือไม่ 9.2 มีการขจัดแสงจ้าออกไปจากสถานที่ทำงานหรือยัง 9.3 มีการปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อความสะดวกสบายไว้ตลอดหรือไม่ ถ้าไม่จะใช้พัดลม หรือเครื่องทำความอุ่นได้หรือไม่ 9.4 การติดตั้งอุปกรณ์ปรับอากาศจะคุ้มค่าหรือไม่ 9.5 ระดับเสียงจะลดลงได้ไหม 9.6 จะขับ ไอระเหย ควัน และฝุ่น ออกโดยใช้ระบบการดูดอากาศได้หรือไม่ 9.7 มีเครื่องทำน้ำดื่มเย็นให้หรือไม่ และตั้งอยู่ใกล้ที่ทำงานหรือเปล่า 9.8 มีการพิจารณาปัจจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือไม่ 9.9 พื้นมีความปลอดภัย เรียบ แต่ไม่ลื่นหรือไม่ 9.10 ผู้ปฏิบัติงานได้รับการฝึกสอนให้ทำงานอย่างปลอดภัยหรือไม่ 9.11 เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหมาะสมในด้านความปลอดภัยหรือไม่ 9.12 โรงงานมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ 9.13 จะนับปริมาณวัสดุสำเร็จรูปได้อย่างไร 9.14 มีการตรวจสอบจำนวนที่บันทึกกับจำนวนที่จ่ายจริงหรือไม่ 9.15 จะใช้เครื่องนับอัตโนมัติได้หรือไม่ 9.16 มีงานธุรการอะไรบ้างที่ผู้ปฏิบัติต้องบันทึกลงในใบลงเวลาใบแจ้งความต้องการใช้วัสดุและอื่นๆ 9.17 จะจัดการกับของเสียอย่างไร 9.18 ปริมาณการสั่งซื้อทีประหยัดของงานที่กำลังวิเคราะห์อยู่คือเท่าไร 9.19 มีการเก็บข้อมูลผลงานของผู้ปฏิบัติการเพียงพอหรือไม่ 9.20 ผู้ร่วมงานใหม่ ได้รับการแนะนำในสภาพแวดล้อมการทำงานและข้อแนะนำเพียงพอหรือไม่ 9.21 เมื่อคนงานไม่สามารถทำงานได้ตามมาตรฐานของงาน ได้มีการศึกษาในรายละเอียดหรือไม่ 9.22 มีการสนับสนุนข้อเสนอของคนงานหรือไม่ 9.23 คนงานเข้าใจเกี่ยวกับแผนการจ่ายเงินจูงซึ่งใช้กับงานที่เขาทำหรือไม่ 9.24 มีการพัฒนาความสนใจของคนงานอย่างจริงใจต่อผลิตภัณฑ์หรือไม่ 9.25 งานได้ถูกทำด้วยคนงานที่เหมาะสมหรือไม่ 9.26 คนงานมีสภาพร่างกายที่เหมาะกับงานหรือไม่ 9.27 สภาพอุณหภูมิในโรงงานหนาวในหน้าหนาว ร้อนในหน้าร้อน โดยเฉพาะในเช้าวันแรกของ การทำงานหรือไม่ เทคนิคการตรวจตราข้อมูลวิธีการทำงานด้วย การตั้งคำถามแบบต่อเนื่อง (6W-1H)หากในบางครั้งเราไม่ต้องการใช้คำถามสำเร็จรูป เราอาจใช้การตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ieProsoft โซลูชั่นครบวงจรด้านการบริหารการผลิตในอุตสาหกรรมบริษัท ไออี บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (IEBS) เป็นผู้ให้บริการระบบซอฟแวร์ทางด้านการจัดการอุตสาหกรรม การวางแผนการผลิตโดยลงลึกไปจนถึงการจัดตารางการผลิต มาตรฐานการการทำงาน การจัดสมดุลการผลิต รวมไปถึงการบริหารจัดการคลังสินค้า ครอบคุลมการบริการในด้านต่างๆที่สำคัญต่อการนำระบบไปใช้ในภาคธุรกิจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ดูแลตั้งแต่การติดตั้ง การให้ปรึกษา การนำไปใช้งานจริง (Implementation) รวมถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์ต่างๆ เราสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ยุค ดิจิทัล ด้วยเครื่องมือในกลุ่ม ieProsoft อาทิเช่น ieSmart WI, ieLineBalancing, ieInventory และ ieInventory ซึ่งซอฟแวร์ทั้งหมดนี้ เป็นตัวช่วยให้สามารถบริหารการจัดการผลิตได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไรให้บริษัทได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน IEBS มีการให้บริการซอฟแวร์ทั้งแบบบริการผ่านซอฟต์แวร์แบบ สแตนด์อโลน (Stand-alone Software) ไปจนถึงชุดซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ (Full-Blown) แบบคลาวด์โซลูชั่น (Cloud Solution) ได้แก่ กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมีกี่ขั้นตอนอะไรบ้าง5 วิธีในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น. 1. เริ่มวางแผนตารางเวลา. การจัดลำดับความสำคัญ. การแบ่งงาน. 2. เรียนรู้ 'ตัวเอง'. 3. สภาพแวดล้อมการทำงาน. 4. สมาธิและโฟกัส. 5. ติดต่อสื่อสาร. กระบวนการทํางาน หมายถึงอะไรกระบวนการทำงาน หมายถึง กระบวนการสร้างคุณค่าที่สำคัญที่สุดภายในองค์กรซึ่งอาจรวมถึง การ ออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการส่งมอบ การสนับสนุนผู้รับบริการ การจัดการเครือข่ายอุปทาน กระบวนการทางธุรกิจ และกระบวนการสนับสนุน กระบวนการทำงานเป็นกระบวนการทำงานที่สำคัญของ องค์การมักเกี่ยวข้องกับสรรมถนะหลักขององค์การ ปัจจัยที่กำหนดความ ...
ขั้นตอนในการทํางานด้วยกระบวนการกลุ่มมีกี่ขั้นตอนอะไรบ้างขั้นตอนที่ 1 การเลือกหัวหน้ากลุ่ม. ขั้นตอนที่ 2 การกำหนดเป้าหมาย. ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนในการทำงาน. ขั้นตอนท่ 4 การแบ่งงานตามความสามารถ. ขั้นตอนที่ 5 การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่. ขั้นตอนที่ 6 การประเมินผลและปรับปรุงงาน. กระบวนการมีความสำคัญอย่างไรกระบวนการ หมายถึงแนวทางการดำเนินงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีขั้นตอน ซึ่งวางไว้อย่างเป็นลำดับตั้งแต่ต้นจนจบแล้วเสร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ขั้นตอนดังกล่าวช่วยให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพนำไปสู่ความสำเร็จตามจุดประสงค์และเป้าหมายได้ โดยใช้เวลาและทรัพยากรน้อยที่สุด
|