ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

“อัจฉริยะ” แฉ “คนมีสี-นักกฎหมาย” อยู่เบื้องหลัง “นายแผน” เดินสายร้องเรียน


เผยแพร่ 17 มี.ค. 2561 ,11:07น.




กรณีคดีหวย 30 ล้านบาทที่ จ.กาญจนบุรี ล่าสุดประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊กของทางชมรมฯ เผยเบื้องหลังของการเดินสายร้องเรียนกล่าวหานายตำรวจระดับสูงที่คลี่คลายคดีนี้ เป็นคนมีสีและนักกฎหมาย

วันนี้ (17 มี.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีหวย 30 ล้าน ที่ จังหวัดกาญจนบุรี แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะดำเนินคดีกับครูปรีชา และเจ๊บ้าบิ่นไปหลายข้อหา รวมทั้งเปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อสงสัยในคดีดังกล่าวต่อสังคม ถึง 2 ครั้ง แต่คดีนี้ไม่มีท่าทีจบลงง่าย ๆ เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือ นายแผน พยานที่อ้างว่าเห็นหมวดจรูญเก็บหวย ได้เดินทางเข้าร้องเรียนกับหน่วยงานต่าง ๆ หลายแห่ง ให้ตรวจสอบ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม โดยอ้างว่าถูกข่มขู่ทั้งที่เป็นพยาน

ทั้งนี้ล่าสุด นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไลฟ์ในเพจเฟซบุ๊กของชมรมฯ เปิดเผยเบื้องหลังของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ โดยระบุว่า มีคนมีสีคนหนึ่งกำลังทุ่มหมดหน้าตักให้กับเรื่องนี้ นอกจากคนมีสีแล้วยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีก 2 คน คนหนึ่งเป็น นักกฎหมาย อีกคนเป็น ผู้หญิง ที่อยู่เบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวร้องเรียน เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายตำรวจที่ทำคดีนี้ ทั้งที่ตำรวจทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

โดยส่วนกรณี นายแผน ร้องเรียนต่ออุปนายกสภาทนายความฯ ฝ่ายกิจการพิเศษ เพื่อขอความเป็นธรรมและให้ตรวจสอบพฤติกรรมนายษิทรา ทนายความ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล นั้น ด้านนายปรีชา ณ เชียงใหม่ ทนายความอิสระ อธิบายถึงเรื่องมรรยาททนายความในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าวเมื่อวานนี้ (16 มี.ค.61) โดยระบุว่า มรรยาททนายความไม่เพียงแต่ควบคุมในเรื่องของการว่าความในศาล แต่ยังครอบคลุมในเรื่องการเคารพต่อตัวลูกความ และไม่ใส่ความคู่กรณี การที่ทนายษิทราพาลูกความไปให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน นั้น สามารถทำได้ แต่ต้องระมัดระวังคำพูด รวมถึงต้องเคารพประชาชนที่มีคดีและเป็นคู่กรณีที่พิพาทกัน ที่สำคัญต้องห้ามนำตัวเองไปเป็นคู่ขัดแย้ง

ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

ทนายความอิสระ กล่าวต่อว่า ส่วนการแต่งกาย การสวมใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เดินทางไปที่ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การว่าความในศาล ไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่สิ่งที่เข้าข่ายมีความผิดตามมรรยาททนายความ ข้อ 17 คือ ห้ามประกาศโฆษณาชื่อ คุณวุฒิ ตำแหน่ง ถิ่นที่อยู่ หรือสำนักงาน อันเป็นการเชิญชวนให้มีผู้มาติดต่อว่าความ หรือ แก้ต่างให้ แม้จะเป็นการว่าความให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และทำเพื่อคนยากจนก็ตาม โดยคดีนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ควรมาสู้กันผ่านสื่อฯ แต่ควรต่อสู้กันตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย และเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้วทุกอย่างน่าจะจบ

ขณะที่ นายษิทรา โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ ระบุว่า วันจันทร์ที่ 19 มี.ค. นี้ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปสภาทนายความ เพื่อชี้แจงข้อร้องเรียนดังกล่าว และยื่นหนังสือถึงนายกสภาทนายความ เพื่อให้ปลดบุคคลที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสื่อมเสียแก่สภาทนายความออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารของสภาทนายความ

อัปเดตข่าวเศรษฐกิจ และการลงทุน ได้ที่ @PPTVOnline

รายการโหนกระแสวันที่ 12 ก.ย. โดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.30-14.10 น. ทางช่อง 28 ได้เปิดใจสัมภาษณ์ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดชีวิตในทุกซอกทุกมุมที่คนทั่วไปไม่เคยรู้มาก่อน จากวิศวกรธรรมดา มารับหน้าที่ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้อย่างไร ใครเป็นแบ็กให้ พร้อมเปิดใจชีวิตที่ไม่กลัวตาย

มีชื่อเล่นมั้ย?
อัจฉริยะ : “ชื่อยุทธครับ ตอนนี้อายุ 51 มีลูก 4 คนเมีย 2 (หัวเราะ) อยู่ด้วยกันที่บ้าน ไม่ต้องสร้างภาพ”

ภรรยาสองท่านยอมรับได้?
อัจฉริยะ : “ก็อยู่ด้วยกัน”

เรียนจบที่ไหนมา?
อัจฉริยะ : “จบวิศวกรโยธา สาขาอุตสาหกรรมศาสตรบัณฑิต ที่เอเชียอาคเนย์ ปี 2532”

จบมาแล้วทำอะไร?
อัจฉริยะ : “ก็เป็นวิศวกรโรงงาน ต่อมาไปทำธุรกิจรับเหมา จนปี 2551 เราไปเจอตำรวจ ซึ่งเราทำธุรกิจกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ ที่ปทุมธานี แล้วมีตำรวจมายัดข้อหาผม ซึ่งผมเองหลังจากที่เราโดนหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา เราไม่มีความรู้เลย เราเป็นแค่นักธุรกิจ”

ยัดข้อหาอะไร?
อัจฉริยะ : “ร่วมกับบุคคลและทำให้เสียทรัพย์”

ทำไมโดนข้อหานั้น?
อัจฉริยะ : “เขาอ้างว่าผมไปต่อท่อน้ำทิ้ง จริงๆ เรามีสิทธิทำได้ตามกฎหมาย เพราะเราทำสัญญาระหว่างนิติบุคคลกับนิติบุคคล เราไม่ได้มีการส่งมอบอาคารให้เขา สิ่งหนึ่งที่เขาแจ้งว่าเราบุกรุก เราบุกรุกในเวลากลางวัน ผมเองได้รับการส่งมอบพื้นที่ให้กับเจ้าของอาคารและทำสัญญาว่าจ้างกัน เราก็ถามเขาว่าผมจะผิดได้ยังไง เขาส่งมอบให้ผมไปก่อสร้าง แล้วเวลากลางวัน ผมมีสิทธิตามกฎหมายอยู่แล้ว เขาบอกผมว่าให้ไปว่าที่ศาล ผมยกหูถามพนักงานสอบสวนเลยนะ สภ.ปทุมธานี เขาบอกผมเลยว่าให้ไปสู้คดีในศาลแล้วกัน เขายังไม่ได้สอบปากคำผมเลย ผมถามว่าเสียทรัพย์นี่เสียยังไง เขาบอกว่าไปต่อท่อน้ำทิ้งทำให้เขาเสียหาย ผมก็บอกว่าผมยังไม่ได้ส่งมอบอาคาร”

แค่เข้าไปทำ?
อัจฉริยะ : “ใช่ ผมบอกว่าสิทธิเป็นของผมหมด ผมยังไม่ได้ส่งมอบอาคาร จะทุบ จะทิ้ง จะทำยังไงก็ได้เขาพูดอย่างเดียวเลยว่าให้ไปต่อสู้ในศาล ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้กฎหมายเลย พอเราไม่รู้เราก็กลัว เพราะเราไม่เคยมีคดี ในระหว่างนั้น เราก็ไปจ้างทนายความมา พูดง่ายๆ ทนายความพูดอะไรเราก็เชื่อเพราะเราไม่รู้กฎหมาย 5 หมื่นครับคนแรก ค่าจ้าง เก็บเลยนะ เขาบอกไม่ต้องเป็นห่วง คดีพลิก สบายๆ พอวันรุ่งขึ้นผมไปรับทราบข้อกล่าวหา ทนายความไปทะเลาะกับตำรวจ ผมบอกขนาดไม่ทะเลาะเขายังจะให้ผมไปสู้ในศาลเลย พี่มาทะเลาะกับเขา ผมก็แย่สิ เขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องจ้างผม ส่วนเงินถือว่าทำงานแล้ว ไม่คืน เขาก็ไปเลย ตอนนั้นผมก็งงแล้ว ผมบอกพนักงานสอบสวนว่างั้นเอาไว้ก่อน ยังไม่รับทราบข้อกล่าวหาตอนนี้ เดี๋ยวไปหาทนายก่อน ผมก็กลับไปบ้านได้ 2-3 วัน ก็ไปเจอทนายความอีกคน หนักหน่อย โดน 7.5 หมื่น ไอ้นี่แสบเลย รับสองทาง เอาข้อมูลผมไปให้ฝั่งตรงข้ามด้วย เพราะมันเป็นการต่อสู้กันในคดีอาญา ผมก็จับได้เพราะผมเห็นเขานั่งกินข้าวกัน ผมก็ขอคืนตังค์ เขาก็ไม่ให้คืน”

ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

มีอีกเหรอ?
อัจฉริยะ : “มี (หัวเราะ) กว่าจะต่อสู้คดี ผมเสียเวลาในการเดินทาง เสียเวลาต่อสู้ 3 ปี ทนายทั้งหมด 6 คน โดนหลอกกินตังค์ไป ผมสู้สามปี จนปิดบริษัท ต้องจ่ายเงินชดเชย ธุรกิจพังพินาศหมด หลังตำรวจยัดข้อหาผม ผมกลัวติดคุก บอกเลย ช่วงนั้นเราเหนื่อยมาก เราถูกโกงไป 10 กว่าล้าน เราเจอแต่คนมีอิทธิพล จนกระทั่งตอนเราลำบาก แม้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนฝูงที่เคยช่วยเหลือ เขากดสายทิ้งหมดเลย เพราะเขากลัวเรายืมตังค์ จนกระทั่งไม่มีจะกิน ลูกผมคนเล็ก รถไอติมผ่านมาหน้าบ้านอยากกิน แต่ไม่มีตังค์ให้ลูกกิน ผมต้องไปผสมปูนเพื่อแลกเงินสดเอามาซื้อข้าวให้ลูกกิน เราไม่มีตังค์เลย เราสู้จนหมดตัว เพราะอย่าลืมว่าเราชนะ เราก็ไปฟ้องเขากลับด้วย ช่วงสามปีนั้นก็เริ่มศึกษากฎหมาย ไปศาลทุกวันไปศึกษาคดี เป็นเวลา 3 ปี”

ปีไหน?
อัจฉริยะ : “ปี 54-55 ผมมานั่งบนถนน ผมตัดสินใจแล้ว เพราะตอนนั้นผมไม่มีตังค์แล้ว วันพรุ่งนี้ต้องตาย ไม่มีตังค์กินข้าวแล้ว”

พี่พาลูกสาวไปนั่งกลางถนนเรียกร้องความเป็นธรรม?
อัจฉริยะ : “เพราะพนักงานสอบสวนแกล้งผม ไม่ให้ผมทำงานได้ เอาประวัติผมไปใส่เป็นอาชญากร เขาไม่ลบ แกล้งผม 2 ปีจนผมไม่สามารถทำมาหากินได้ ไปสมัครที่ไหนเขาไม่รับผม ผมก็เลยไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมัยปี 54 ผมไปยืน เอาลูกกับภรรยาท้อง 6 เดือน ผมไปยืนตรงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยง ไม่ได้กินข้าวเพราะไม่มีตังค์ จนกระทั่งมีคนเห็น เอาลูก-แฟนผมไปทานข้าว ผมนั่งบ่ายโมงจนกระทั่งตำรวจมาอุ้มผมเข้าไปข้างใน”

ถูกแจ้งข้อกล่าวหามั้ย?
อัจฉริยะ : “ไม่แจ้ง ผมไปออกรายการ FM100.5 ของพี่สุวิทย์ บุตรพริ้ง มีคนบริจาคให้ผม 4 หมื่น ตร.เขาก็แกล้งผมอีก ไม่ยอมลบ ผมไปนั่งแบบนี้สองครั้ง จนเขายอมลบให้ จนมีพี่สมศักดิ์ เจ้าของโรงงาน เขาเอาเงินสดมาให้แสนนึง แล้วมีเจ้าของโรงงานที่เคยทำธุรกิจกับผม ให้เงินสดผม 3 แสน ผมได้เงินมาทั้งหมดจะ 5 แสน จนกระทั่งผมเอาเงินทั้งหมดไปจ่ายหนี้ ไปจ่ายค่าเทอม มีเงินอยู่ส่วนนึง ตอนลำบากมีแม่ยายกับแม่ผมช่วย พอกลับมา ก็ไม่รู้จะทำอะไร มีผู้ใหญ่ในระดับประเทศเขาเห็นผมก็เรียกผมไป แต่ก่อนหน้านั้นผมไปทำงานบริษัทแค่ 3 เดือน ผมเป็นวิศวกรแล้วเขาให้ผมไปโกงเหล็กโกงปูน ผมทำไม่ได้ ไม่ใช่นิสัยผม ให้ผมไปเอาเหล็กไม่เต็ม เอาคอนกรีต ผมก็ออกอีก ระหว่างหางานใหม่ ผู้ใหญ่ในประเทศเรียกผมไปพบ”

เคยได้รับความไม่เป็นธรรม จนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม?
อัจฉริยะ : “ตอนที่มานั่งบนถนนเริ่มรู้กฎหมายแล้ว สามปีเข้าไปเรียนรู้ เราเห็นชาวบ้านคนยากจนเวลาไปโรงพักถูกใส่กุญแจมืออยู่ในห้องขัง ตร.กว่าจะมาสอบสวนก็แล้วแต่อารมณ์ คนรวยมาก็มีน้ำชากิน มาถึงเซ็นชื่อแล้วกลับไป มีทนายความมาดูแลอย่างดี เราเห็นในศาล คนยากจนมีแต่ทนายอาสา และส่วนมากให้รับสารภาพ ติดคุกเป็นแพะเต็มไปหมดเลย ผู้ใหญ่ในประเทศติดต่อเรามาอยากให้ไปทำงาน เราก็ไม่แน่ใจว่าเราทำได้ เขาบอกว่าเขาเชื่อว่าเราทำได้ ขอแค่เรารับปากเท่านั้นเอง ผมก็มาปรึกษาอ.สุมิตรกับอีกคนนึง ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี ผมก็เอาชื่อชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมนี่แหละ ผู้ใหญ่บอกว่าดี มันตรงกับคอนเซ็ปต์พอดี แล้วผมก็ทำครั้งแรก ผมเอาเงินที่เหลือจากที่เขาบริจาคมาตั้งเป็นกองทุน 2 แสน คดีแรกคือคดียาบ้า 7 พันเม็ด ตอนนั้นเราไปช่วยเขาเพราะเขาทำบัตรประชาชนหาย”

เขาโดนยังไง?
อัจฉริยะ : “บัตรหายแล้วมีคนเอาไปใช้ เอาไปส่งยาบ้า 7 พันเม็ดที่จันทบุรี ตอนนั้นเขาไม่มีเงิน เราก็ไม่มีเงิน”

เขาติดคุก พี่ไปช่วยเขาออกมาได้?
อัจฉริยะ : “ก็ช่วยกันหมดแหละ เขาก็ไม่มีเงินกินข้าว ก็ให้เงินเขาไปส่วนนึง ก็ช่วยกัน จนไปกองปราบ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์เขา วันรุ่งขึ้น ขึ้นหนังสือพิมพ์ไทยรัฐหน้า 1 ตอนนั้นปลื้มมาก เป็นเคสแรก เขาก็มีชีวิตที่คนรู้จักทั้งประเทศ และกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี”

พี่มีการไปร้องกระทรวงยุติธรรมให้มีเงินเยียวยา?
อัจฉริยะ : “3 แสนกว่าบาท”

หลังจากคดีเมื่อกี้ มีการสัมภาษณ์กันไป ผมเดินไปส่งคุณอัจฉริยะลงลิฟต์ รู้จักกันวันแรก ผมก็ถามว่าทำไมพี่กล้าทำ พี่ไม่กลัวเหรอ พี่บอกว่าพี่หนุ่มอีกสองวันจะมีเรื่องใหญ่ ผมไม่รู้ว่าผมจะตายหรือเปล่า?
อัจฉริยะ : “เป็นคดีที่เขาหลอกดาวน์รถยนต์ชาวบ้านไปหลายร้อยคัน ไม่มีใครจับได้”

ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

ทำไมคิดว่าต้องตาย?
อัจฉริยะ : “วันที่ผมตัดสินใจ ผมถามครอบครัวแล้ว ทุกคนโอเค ถ้ามีอะไรก็จะยอมรับเพราะงานที่รับทำงานเป็นงานเสี่ยงต่อชีวิต เพราะเราต้องเจอทั้งมิจฉาชีพและเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอยู่แล้ว ผมก็ยินดีถวายพ่อเลย บอกว่าผมยินดีถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน ยินดีรับใช้บ้านเมือง เป็นที่พึ่งเพื่อคนยากจน เพราะผมเชื่อว่าเขาไม่มีที่พึ่ง เพราะตอนนั้นหน่วยงานของรัฐ ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ พอเราทำ มันก็มีหลายคดีที่เราประทับใจ อย่างคดีที่นครพนม เป็นอบต.เก็บขยะ ถูกจับในเรือนจำ มียาบ้า เขาถูกคุมขัง ไม่ได้ทำผิด ผู้ใหญ่ออกมาแถลงผลงาน เราใช้เวลาประมาณ 25 วัน เราสามารถจับขบวนการเอายาเสพติดเข้าเรือนจำ ทั้งคนซื้อโทรศัพท์มือถือ เอายาบ้าไปซ่อน ทั้งคนสั่งยาในเรือนจำ ยกแก๊งจนช่วยเหลือสามคนนี้พ้นผิด ทันวันสุดท้ายพอดี ทันก่อนที่อัยการจะสั่งฟ้องศาล นี่เป็นคดีที่เราภูมิใจเพราะเราจับได้ทั้งขบวนการ”

มีคดีที่หนักใจ?
อัจฉริยะ : “ก็มีคดีครูจอมทรัพย์คดีเดียว”

เคยทำคดีคุณพ่อเจสซี่ วาร์ด?
อัจฉริยะ : “ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนอยู่เบื้องหลัง วันที่ผมวางแผนให้เขาไปนั่งหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เขาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครอบครัวเจสซี่ วาร์ด ครอบครัวเขาโดนฉ้อโกงเรื่องบ้าน ไม่มีใครรู้ ว่าผมทำให้ครอบครัวได้รับความเป็นธรรม ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่เลย ตอนนี้โตแล้ว คดีที่หนักใจที่สุดคือคดีครูจอมทรัพย์ เราลงพื้นที่ไป เราได้หลักฐานสำคัญมาว่าครูจอมทรัพย์ไม่ใช่แพะ เป็นแกะ แต่เราโดนกระแสสังคม”

โดนด่าเละเทะ?
อัจฉริยะ : “ตอนนั้นคนไม่มีเหตุผลเลย ใช้อารมณ์อย่างเดียว โห ผมโพสต์ไม่ได้เลยนะ แค่หนึ่งนาที หมื่นคอมเมนต์ สารพัดสัตว์ เจ็บปวดมั้ย(หัวเราะ) พูดง่ายๆ ไม่กล้าโพสต์ สองล้านกว่าคอมเมนต์ บอกได้เลยว่าเราคิดในใจสิ่งที่เราทำมา 4-5 ปี ช่วยเหลือไม่รู้กี่พันคน คนที่เราช่วยยังมาด่าเราเลย”

กังวลใจมั้ย เหตุการณ์ครั้งนั้นอาจพลิกชีวิต อาจไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด?
อัจฉริยะ : “ไม่ ที่เราตัดสินใจเพราะอยากให้สังคมรู้จักการตรวจสอบ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่าคิดว่าคนที่เป็นครู และพูดด้วยน้ำตา พูดให้คนสงสาร แล้วคนหลงเชื่อทั้งประเทศ ทั้งที่หลักฐานอื่นมีมากมาย ผมอยากบอกตรงนี้แหละ แต่เราบอกไม่ได้ ต้องทน 10 เดือน ถ้าไม่ใช่ครอบครัวให้กำลังใจ เราอยู่ไม่ได้หรอก เราเดินไปไหนมีแต่คนด่าเรา ทุกเรื่องที่เราทำ เรามีเหตุผล เรามีคณะกรรมการชมรมเป็นคนดูแล พูดตรงๆ มีทนาย 12 คน ผมไม่ใช่ทนาย ผมเป็นวิศวกร แต่ผมมีทนาย 12 คน มีคุณหมอ ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ทุกหน่วยงานอยู่กับผมหมด แต่เป็นจิตอาสาทำงานเพื่อประชาชนที่อยู่เบื้องหลัง ตำรวจก็อยู่กับผมหมด ในการทำงานของเรา เป็นจิตอาสาในการช่วยเหลือประชาชนจริงๆ”

เหตุการณ์ครูจอมทรัพย์พี่เคยบอกว่าไปศาลวันนั้นถ้าแพ้จะโดดตึก?
อัจฉริยะ : “ใช่ บอกเมียแล้วว่าถ้าวันนี้ศาลไปเชื่อกระแสสังคม ไม่ตัดสินตามพยานหลักฐาน วันนั้นที่เราไปฟังเราไม่ได้บอกก่อน ประโยคแรกที่ผมฟัง ผมรู้แล้วจอมทรัพย์แพ้แล้ว เพราะพยานหลักฐานเรื่องรถยนต์ ป้ายทะเบียนปลอม ศาลอ่านประโยคนี้ก็รู้แล้ว จอมทรัพย์แพ้ ต้องขอบคุณความยุติธรรมมีจริง ผมยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ผมเชื่อมั่นศาล เชื่อมั่นตำรวจ เชื่อมั่นอัยการ องค์การสามองค์กรนี้ยังเป็นเสาหลักของบ้านเมืองได้ ถ้าวันนี้ไม่มี 3 หน่วยงานนี้บ้านเมืองจะเป็นยังไง แต่ทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี”

ใคร อยู่ เบื้องหลัง อัจฉริยะ

การที่มาช่วยเหลือคน ต้องไปขึ้นศาล ถูกฟ้องเป็นร้อยคดี เอาตังค์มาจากไหน?
อัจฉริยะ : “ตัวผมเองมีเงินเดือน จากผู้ใหญ่ที่เขาให้ผมเป็นรายเดือน มีหลายคน”

พี่มีแบ๊กมั้ย?
อัจฉริยะ : “ผมมีแบ๊ก ถ้าไม่มีแบ๊ก เราทำไม่ได้หรอก สิ่งที่เราทำทุกวันนี้ เสี่ยงตายตลอด”

แบ๊กเป็นใคร ตำรวจหรือทหาร?
อัจฉริยะ : “บอกไม่ได้ บอกได้แค่ว่าใหญ่แล้วกัน ที่ใครทำอะไรไม่ได้ เงินเดือนก็มีคนรวยในประเทศที่เขาสงสารเรา เราทำงานเพื่อสังคม”

ได้เงินเดือนเท่าไหร่?
อัจฉริยะ : “ผมพอมีพอใช้ แต่บอกไม่ได้”

หลักแสนมั้ย?
อัจฉริยะ : “ไม่เกินแสน”

เรื่องค่าใช้จ่ายในชมรม?
อัจฉริยะ : “เงินแสนนึงนี่แหละ”

พี่เอามาวนในชมรมพี่เหรอ?
อัจฉริยะ : “เงินนี้เอามาไว้หมุนเวียนในชมรม อีกส่วนนึงเรามีสำนักงานกฎหมายที่ทำกันอยู่ อันนี้มีการรับงานจากคนรวย ซึ่งมีการหักเงิน 20 เปอร์เซ็นต์จากค่าว่าความ เอามาเข้าชมรมเพื่อเอาไว้ช่วยคนยากจน”

ชมรมมีสำนักงานกฎหมายแยกออกมา เพื่อรับงาน พอได้เงินจากค่าจ้างก็เอามาเวียนในชมรม?
อัจฉริยะ : “20 เปอร์เซ็นต์ อย่างปีนี้รับงานมาล้านนึงเราก็ได้สองแสนเอามาเข้าชมรม บวกกับเดือนละแสน เราเอามาหมุนเวียนในการทำงาน ที่เราจะได้อีกส่วนเวลาเราไปช่วยคดีเขาสำเร็จ