การบริโภค – การกระจาย การแบ่งสรรการบริโภค (Consumption) การบริโภค หมายถึง การใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการ
การกระจาย การแบ่งสรร (Distribution) การกระจาย คือ การจำหน่ายจ่ายแจกสินค้าและบริการซึ่งเป็นผลผลิตไปยังผู้บริโภค ตลอดจนการแบ่งสรรผลตอบแทนไปยังผู้มีส่วนร่วมในการผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
การบริโภคการบริโภค หมายถึง การใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ การบริโภคไม่ได้หมายความถึงการรับประทานอาหารอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่เพียงอย่างเดียว การใช้สินค้าอื่นๆ และการใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือการบริโภคด้วยเช่นกัน เช่น การไปพบแพทย์เมื่อยามเจ็บป่วย การพักโรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง การประกันภัย เป็นต้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การกระทำทั้งหลายอันทำให้สินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่งสิ้นเปลืองไปเพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ถือเป็นการบริโภคทั้งสิ้น แบ่งตามลักษณะของสินค้าสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ หลักในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการใดๆต้องคำนึงถึงความพึงพอใจสูงสุดที่ผู้บริโภคจะได้รับความพึงพอ ใจ
ที่ผู้บริโภคจะได้รับ ได้แก่ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริโภค 1. อาหารที่มีในท้องถิ่น หากท้องถิ่นใดมีอาหารบริบูรณ์ คนในท้องถิ่นนั้นย่อมมีโอกาสจะได้ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
ผู้บริโภค คือ บุคคลที่ซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการหรือความจำเป็ของตนเองตลอดจนบุคคลในครัวเรือน ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการบริโภค โดยปกติแล้วการบริโภคของคนเราทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพของสินค้าและบริการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1.รายได้ของผู้บริโภค ในที่นี้หมายถึง รายได้สุทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายได้เมื่อหักภาษีออกแล้วรายได้ของผู้บริโภคนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดการใช้จ่ายสำหรับการบริภค ตามปกติ ถ้าเรามีรายได้น้อยก็จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการมาบริโภคได้น้อย เมื่อมีรายได้เพิ่มขั้นเราก็ใช้จ่ายเงินเพิ่อการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย แต่จะเพิ่มในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเงินออมมากกว่าเดิม 2.นิสัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค คนเรามีนิสัยการใช้เงินแตกต่างกัน คนที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย พอใจหรืออยากได้สิ่งใดก็รีบซื้อทันทีโดยไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นและรายได้ของตนเอง และเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้คนประเภทนี้จะมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในอานาคต
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (Corruption Expedition / C) 1.สินค้าประเภทถาวร (Durable goods) ได้แก่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ 2.สินค้าประเภทไม่ถาวร (Nondurable goods) ได้แก่ ค่าใช้จ่าย ในการบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภค อาหาร 3.บริการ (Services) ได้แก่ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งบริการต่าง ๆ เช่น การชมภาพยนต์ ดังนั้น C (เพิ่มขึ้น) > AD(เพิ่มขึ้น) > I (เพิ่มขึ้น) > จ้างงาน (เพิ่มขึ้น) > Y (เพิ่มขึ้น) ปัจจัยที่กำหนดการบริโภคมวลรวมและการออมมวลรวม 1.รายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income / DI / Yd) 3.อุปนิสัยของผู้บริโภค (h) นิสัยเป็นคนมัธยัสถ์ > C (ลดลง) นิสัยเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย > C (เพิ่มขึ้น) สังคมใดรู้สึกว่าการประหยัดมัธยัสถ์เป็นสิ่งที่ดี S (เพิ่มขึ้น) C (ลดลง)5.การคาดคะเนของผู้บริโภค (e) Y e (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ปัจจุบัน และ S (ลดลง) P e (ลดลง) > C (ลดลง) ปัจจุบัน และ S (เพิ่มขึ้น) 6. สินทรัพย์ของผู้บริโภค (A) ) ปัจจุบัน และ S (ลดลง) Asset มีสภาพคล่องมาก > ฐานะการเงินมั่นคง > C (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) Asset มีสภาพคล่องน้อย > เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยาก > C (ลดลง) *** Asset มีสภาพคล่องมาก ได้แก่ ใบหุ้น, เงินสด, เงินฝากประจำ *** สินค้าคงทนถาวร (Fixed Asset : FA) เช่น รถยนต์, ทีวี เป็นต้น - อาจซื้อ FA (ลดลง) ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากมีใช้อยู่แล้ว - อาจซื้อ FA สินค้าและบริการที่ใช้ทดแทนกัน (Substitute goods) ลดลงก็ได้ เช่น การซื้อ T.V / การชมภาพยนต์ - อาจจำให้รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ ที่ใช้ประกอบกัน เพิ่มขึ้น เช่น การซื้อรถยนต์ > น้ำมัน (เพิ่มขึ้น) ค้าอัดฉีด (เพิ่มขึ้น) ค่าซ่อมแซม (เพิ่มขึ้น) แต่ทำให้ S (ลดลง) 7 สินเชื่อเพื่อการบริโภคและอัตราดอกเบี้ย (cr, I) # ผ่อนต่ำ ดาวน์ต่ำ และ i ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) Q เป็นการเพิ่มอำนาจ ซื้อ แก่ผู้มีรายได้ต่ำ # i (กู้) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) ; i (ฝาก) สูง > C (ลดลง) i (กู้) สูง > C (ลดลง) ; i (ฝาก) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) 8.การกระจายรายได้ในสังคม (d ) d ทั่วหน้าทุกคน > C (เพิ่มขึ้น) 9 จำนวนประชากรและโครงสร้างอายุของประชากร (Pop) Pop (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ถ้า Pop วัยเรียน (เพิ่มขึ้น) > C เครื่องเขียนชุดนักเรียน (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) อุปนิสัย ของ Pop ก็ต่างกันเช่น คนกลางคนนิยมออม คนแก่ และเด็ก ชอบมีนิสัย ในการใช้จ่าย \ ถ้าประเทศไหนมีคนกลางคนมาก > S (เพิ่มขึ้น) และ C (ลดลง) ดังนั้น สรุป C = f (Yd , t, h, So, e, A, Cr, I, d, Pop…) ฟังก์ชั่นการบริโภค (Consumption Function) C = a + bY C = f (Yd) เราใช้คำว่า ฟังก์ชัน (function) เพราะว่าการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคผันแปรไปตามระดับรายได้หลังจากหักภาษีแล้ว แสดงว่าเมื่อ C (ลดลง) Yd (เพิ่ม) ® C (เพิ่ม) ; Yd (ลด) ®C (ลด) C = ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค a = การใช้จ่ายบริโภคขณะที่รายได้เท่ากับศูนย์ เป็นอัตโนมัติ ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ (มนุษย์เกิดความต้องการบริโภค แม้ขณะยังมิได้มี Y หรือ S = 0) b = ความโน้มเอียงที่จะใช้จ่ายอุปโภค บริโภค เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย (Marginal Propensity to Consume / MPC) Y =รายได้ประชาชาติ (National Income) ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค และความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายของการบริโภค 1 ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะใช้จ่ายอุปโภคบริโภค (Average Propensity to Consume / APC) หมายถึง แนวโน้มที่ประชาชนจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจากเงินได้ที่มีอยู่ ในแต่ละระดับ APC = C Yd 2 ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภค (Marginal Propensity to Consume / MPC) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับการใช้จ่ายบริโภค เมื่อคนเรามีรายได้เปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วยแล้ว การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค บริโภค จะเปลี่ยนแปลงสักเท่าใด ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงของการใช้จ่ายในการบริโภคกับการเปลี่ยนแปลงของรายได้ เนื่องจาก MPC = b = slope ของเส้นการบริโภค ดังนั้น b ก็คือ ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภคด้วย ** การออม (The Saving)** เนื่องจาก การออม (Saving) เป็นส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของ Pop เมื่อมี Yd จำนวนหนึ่ง **ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการออม** 1. รายได้ที่เป็นตัวเงิน (Yd) > Yd = Y – ty ถ้า t (ลดลง) > S (เพิ่ม) 2. การคาดคะเนของผู้บริโภค Y e (ลด) >S (เพิ่ม) 3. ค่านิยมทางสังคม ผู้บริโภคนิยมวัตถุ > C (เพิ่ม) > S (ลดลง) **ฟังก์ชั่นการออม (The Saving Function)** โดย –a คือ การออมในอดีตที่ถูกใช้ในการบริโภค เมื่อรายได้ที่อยู่ในมือบุคคล = 0 ความสัมพันธ์ระหว่าง S และ Yd ก็ เช่นเดียวกับ C นั้นคือ S a Yd **ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะออมทรัพย์ (The Average Propensity to save) เป็นอัตราส่วนระหว่างเงินออมกับรายได้ |