เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

เคยเป็นแบบสุ่ยหลินไหม? เรียนภาษาจีนใหม่ๆ เวลาเค้าชมเราว่าพูดเก่งน้า เราก็ได้แต่บิดผ้าไปมา เอ้ย ได้แต่ตอบรับว่า 谢谢! ในใจอ่ะอยากจะพูดยาวๆ แต่ก็นึกม่ะไม่ออก ได้แต่ 谢谢! น่ะสิ

แล้วจะทำไงดี??

จริงๆ แล้วภาษาจีนมีคำตอบรับคำชมตั้งหลายอย่างแน่ะค่าา นอกจาก 谢谢! ที่ครอบจักรวาลใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์แล้ว วันนี้มารู้จักคำตอบรับคำชม ฉบับคนถ่อมตัวอย่างเราไว้ใช้ดีกว่าเนาะ อุอิ อุอิ

โดยทั่วไปแล้ว เวลาคนจีนเห็นคนต่างชาติพูดภาษาจีนได้ดีเค้าก็จะให้กำลังใจเราด้วยการพูดทำนองว่า

你的汉语说得不错![Nǐ de hànyǔ shuō dé bùcuò!] = ภาษาจีนเธอเนี่ยไม่เลวเลยนะ (แปลว่าดีนะจ๊ะ ตรงจุดนี้)

เราจะตอบ 谢谢! [Xièxie!] ก็ได้ค่ะ แต่จะให้เหนือชั้นกว่านั้น ก็ต้องตอบแบบถ่อมตัวเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมจีนอ่ะนะคะ ว่าเค้านิยมตอบแนวนี้กัล จำประโยคพวกนี้เอาไปใช้ต่อได้เรย ถ้าใช้เป็นใช้ถูก คนชมเค้าจะยิ่งอึ้ง ทึ่ง (แต่ไม่เสียว) นะ กับความสามารถของเรา เย่!!

4 ประโยคตอบรับคำชมยอดฮิต ที่ใช้กันบ่อยๆ มีดังนี้ค่า^^

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

1. 没有没有 [méiyǒu méiyǒu]
ตรงนี้ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีๆ” หรอกนะ แต่แปลเป็นไทยว่า “ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้นหรอกค่า” ต่างหาก

2. 没有你那么说 [méiyǒu nǐ nàme shuō]
แปลได้ว่า “แหม!..ไม่ถึงขนาดที่เธอพูดหร้อก” ชั้นมันแค่เบๆ (สิค) เท่าน้าน

3. 哪里哪里 [nǎlǐ nǎlǐ]
แปลได้ว่า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกันเธอว์” (พูดเบิ้ล 2 ครั้งพอค่ะ 3 ครั้งยังไม่เคยได้ยินใครเค้าพูดกัน เดวจะสับสนกันไปใหญ่ อิ อิ)

4. 过奖了 [guòjiǎng le]
แปลได้ว่า “ชมเกินไปแล้ว” ออกจะเป็นทางการมากกว่าข้ออื่นสักกะติ๊ดด^^

ชอบอันไหน ใช้อันนั้นได้เลย ต่อไปเราจะได้มีคำตอบรับคำชมที่หลากหลาย ถ่อมตัว สมกับที่ได้รับคำชมว่าภาษาจีนดีจัง โอ๊ะ! โฮ่โฮ่ะ 你过奖了!(แหม..ก้อชมกันเกินปายย แต่สีหน้าดีใจมว๊ากก!!)

สุ่ยหลิน^^

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดที่ไม่มีงานให้กังวลคือช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่ไม่อยากให้ใครมาแย่งไปแม้แต่นาทีเดียวเลย เพราะว่าจะกลั้นใจฮึบและทำงานจนเหนื่อยเพื่อรอวันศุกร์นี่มันช่างเหนื่อยยากเหลือเกิน แล้วยิ่งวันธรรมดาที่ต้องวนลูปเช้าตื่นไปทำงาน รถติด ทำงานจนไม่มีเวลากินข้าว เลิกงานก็ต้องทนกับฝนตกรถติด กว่าจะถึงบ้านก็เวลาเข้านอนพอดี เป็นแบบนี้วนไป 5 วันเต็ม จะเอาเวลาที่ไหนไปทำอะไรอยากทำ สุดท้ายก็ได้แต่นอนอืด ดูซีรีส์ เวลาก็หมดไปอีกแล้ว ดังนั้นช่วงเวลาวันหยุดจึงมีค่ามากสำหรับคนรักงานอย่างเรา แต่สุดท้ายก็จบด้วยนอนตื่นสาย เล่นมือถือจนหมดวันอยู่ดี จนลืม Self-care time ช่วงเวลาที่กลับมาดูแลตัวเอง 

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

ถ้าไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วกระหายงานอาร์ท อยากเสพความสงบและงานศิลปะ บอกเลยว่าที่แรกที่เราอยากให้ทุกคนพุ่งตัวไปด่วนๆ ก็คือที่ ชุมชนบ้านข้างวัด เป็นแหล่งของงานฝีมือ ของทำมือ และที่ถ่ายรูปน่ารักๆ เงียบ สงบ และสบายใจที่สุด ที่แค่เห็นก็แฮปปี้แล้ว พอเดินเข้ามาก็สะดุดร้านที่ทางเข้าก่อนเลย เป็นร้านขายหนังสือมือสองและสมุดทำมือเล็กๆ ที่เงียบและสงบมาก เหมือนโดนต้องมนตร์และมีอะไรบอกเราว่าให้เข้าไปดูเดี๋ยวนี้ ร้านนี้ชื่อว่า Note a Book

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

เห็นภาพวาดของเธอ เบ็นซ์-ธมกร บุตรศรี วาดเทพฮินดูที่น่ารักมากๆ แล้ว บอกเลยว่าอยากรู้จัก อยากให้เธอวาดภาพให้ ทำไมเบ็นซ์ถึงหลงใหลภาพวาดสายมูฮินดูขนาดนี้กันนะ ควันหลงค่ำคืนวันนวราตรี พวกเรายังคงอินอยู่กับแรงพลังศรัทธาขอพรเหล่าเทพฮินดู นาทีนี้ไม่มูไม่ได้ละ คงเพราะความบังเอิญไม่มีในโลก…คลีโอได้จังหวะโคจรมาพบอาร์ติสท์สาวสายมูที่หลงใหลการวาดภาพพระพิฆเนศ และพระแม่องค์ต่างๆ เบ็นซ์-ธมกร บุตรศรี (อายุ 36 ปี) กับอินเนอร์การสร้างศิลปะของเธอที่เกิดจากพลังความศรัทธาพระพิฆเนศตั้งแต่วัยเยาว์สมัยเรียนศิลปากร เบ็นซ์ตีความและนำเสนอออกมาได้น่ารักละมุนนีเป็นตัวเธอที่สุด คิวท์จนโด่งดังบนโลกไอจีจนมีแฟนคลับและศิษย์องค์พ่อองค์พระแม่ติดตามขอซื้อผลงานของเธอไปบูชาไว้ใกล้ตัว เบ็นซ์รักการวาดภาพแต่เด็ก “เพราะเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวที่ได้ปล่อยใจโล่งแล้วโอบกอดหัวใจตัวเอง” เมื่อเติบโตขึ้นเธอหักเหไปลองทำอาชีพดีไซน์เนอร์เครื่องประดับจิวเวลรี่สักพัก แต่หากใครเคยได้ยินลิขิตฮินดูที่ว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อถึงเวลาของมันแล้วเท่านั้น ถึงช่วงชีวิตหนึ่งเบ็นซ์มีเหตุให้หยุดพักอาชีพเดิมและเริ่มสนใจผลักดันการวาดภาพของตัวเองเป็นอาชีพหลัก เธอเริ่มมองจากสิ่งรอบตัวและตีความด้วยความคราฟท์สดใสอย่างที่เธอเป็น จนคืนวันหนึ่งจักรวาลกระตุกเส้นแรงดึงดูดให้เบ็นซ์เกิดความอินสไปร์วาดภาพองค์พระพิฆเนศในความคิดของเธอขึ้นมา จากวันนั้นอาชีพศิลปินของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยใจศรัทธาและอินเนอร์ที่อ่อนโยน เธอสร้างภาพของท่านด้วยความหวานไม่ดุดัน ความคิวท์ไม่แข็งกร้าว ชอบที่สุดคือความสดใสคิดบวกรอสายรุ้งหลังฝนในภาพแบบที่เราทุกคนทุกคนต่างหวังในทุกๆวัน เบ็นซ์ใช้เวลา2 ปีก่อนจะเริ่มมีลูกค้าและแฟนคลับผู้ติดตามงานสายมูของเธอ แรงขับความเชื่อความศรัทธาในองค์เทพนำพาให้เธอสร้างสรรค์อาร์ตทุกวัน ในความมูส่วนบุคคลนั้น เบ็นซ์เล่าว่าเธอเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของการสร้างศิลปะบูชาองค์เทพเสมอ ทุกครั้งก่อนจรดปลายปากกาเธอจะต้องอธิษฐานขอประทานพรให้วาดภาพองค์ท่านให้สำเร็จก่อนทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่เคยจบงานได้เลย มูขนลุก!! เบ็นซ์ยิ่งศึกษาตำราเทพฮินดูมากเท่าไหร่ยิ่งหลงใหล โดยเฉพาะพระพิฆเนศที่มีทั้งหมด32 ปางและพระแม่ประทานพรองค์ต่างๆ เธอปล่อยใจวาดภาพได้ฟีลแตกต่างกันจำนวนมาก แต่ละรูปมีเอกลักษณ์ไปตามเจ้าของ บางท่านเน้นเรื่องความสำเร็จหรือการเงิน ลูกค้าสาวๆหลายคนขอเน้นสมปรารถนาเรื่องความรัก โอม!! ภาพวาดของเบ็นซ์มักถูกนำไปวางตกแต่งห้องนอนหรือห้องทำงานเพื่อบูชา ฮีลใจ และขอพรถึงลิขิตชะตาชีวิตที่สว่างสดใส ในวันที่เราทุกคนต่างอธิษฐานขอพรเบื้องบนและจักรวาล เบ็นซ์คือสาวกอีกหนึ่งคนที่มีความฝันที่เธอจะเติบโตจากอาชีพอาร์ตติสท์ที่เธอรัก เบนซ์รอจังหวะจักรวาลจะเปิดพื้นที่ให้เธอแสดงผลงานของเธอเร็วๆนี้คลีโอขอเชียร์สาวๆที่ใจฟูเมื่อเห็นงานของเบ็นซ์มาฟอลงานและจับจองความมูสายคิวท์นี้แบบพวกเรา […]

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง

ยังจำวันที่สิวเห่อจัด แสบตึงหลังล้างหน้าด้วยโฟมที่เคยใช้แล้วผิวยิ่งแห้งแบบสุดๆ ทรมานมากมาย หาทางออกไม่ได้จนต้องไปพบกับคุณหมอผิวหนัง คุณหมอแนะนำว่าลองล้างหน้าด้วย “เซตาฟิล” ดูสิ สายเนิร์ดคลั่งการดูแลผิวอย่างเราเลยไปหาข้อมูลเพิ่มในกลุ่มคนรักบิวตี้ซึ่งได้พูดถึงแบรนด์นี้เป็นเสียงเดียวกัน ต้านไม่ไหวจนต้องไปซื้อมาลอง แค่ใช้ครั้งแรกก็รู้เลยว่านี่คือแบรนด์ที่อ่อนโยนกับผิวอย่างจริงจัง เหมือนมีฟิล์มบางๆ เคลือบผิวอยู่ หลังจากที่เราเป็นแฟนของเซตาฟิลเข้าเต็มที่ไปแล้ว เราเลยได้ลองผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอีกหลายแบบของเซตาฟิลทั้งล้างหน้าสูตรอื่นๆ รวมทั้งมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวด้วย สาวๆ รู้มั้ยว่า “เซตาฟิล” สร้างขึ้นมาเพื่อผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ถึงวันนี้ไม่น่าเชื่อว่า “Cetaphil” จะเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่คนมีผิวบอบบางแพ้ง่ายระดับโลกมายาวนานถึง 75 ปี! ซึ่งเซตาฟิลเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากกัลเดอร์มา (Galderma) ผู้นำในวงการความงามอันดับต้นๆ ของโลก เซตาฟิลเริ่มต้นขึ้นมาในปี 1947 ที่เท็กซัส สหรัฐอเมริกา โดยเภสัชกรที่ต้องการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีผิวแพ้ง่ายด้วย “เซตาฟิล คลีนซิ่ง โลชั่น” หรือที่เรารู้จักในชื่อ “เซตาฟิล เจนเทิล สกิน คลีนเซอร์” ทุกวันนี้ ความปังทุกอย่างทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นหนึ่งในโปรดักท์ขายดีที่สุดในโลก และตามมาด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่ากี่ปี Cetaphil ยังต้องมีติดไว้ทุกบ้าน ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ติดใจเซตาฟิล เพราะตั้งแต่เป็นเด็กสาวที่คอยดูแลทำความสะอาด บำรุงและปกป้องตัวเอง พอมีวันที่ได้อยู่กับคนที่มีผิวบอบบางด้วยกันทั้งคุณพ่อคุณแม่ แฟน หรือลูกน้อย ทุกคนในครอบครัวก็สามารถใช้ตามได้อย่างมั่นใจ […]

สงสัยมาตลอดเวลาเราชมใคร หรือกับตัวเราเองที่ถูกชม แล้วแทนที่คนนั้นจะสบตา ขอบคุณ ยิ้ม กลับเจอการปฏิเสธตัวเองแนวว่า “ไม่หรอกค่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่เก่งมากหรอกค่ะ มีคนเก่งกว่านี้เยอะเลยค่ะ” ทั้งๆ ที่บางทีอาจเป็นแค่คำชมธรรมดาจากคนใกล้ชิด “โหวว วันนี้สดใสนะ” อะไรแบบนี้

ทำไมเราอึดอัดใจเมื่อได้รับคำชม?

มันมีเหตุผลกว้างๆ อยู่ไม่กี่ข้อ หนึ่งในนั้นก็คือเราอาจรู้สึกไม่มั่นใจ เมื่อคนเราไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ ก็จะรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับการได้รับคำชื่นชม หรือแม้แต่คำพูดดีๆ เท่านั้น จะรู้สึกไม่แน่ใจว่ามันเป็นความจริง ถ้าเลือกได้ขอให้ไม่มีใครมาสนใจเลยจะดีกว่า ไม่อยากให้ใครเห็นด้านดี เพราะเขาอาจจะมองเห็นด้านแย่ของเราด้วย 

ส่วนคนที่มั่นใจในตัวเองมากประมาณหนึ่ง ก็อาจจะรู้สึกเห็นด้วยนะ แต่จะยอมรับมันดีไหม เพราะอาจคิดว่าสังคมน่ะ ไม่ชอบคนมั่นหน้าเท่าไหร่หรอก พวกเขาอยากให้เราดูถ่อมตัวกับคนชมมากกว่า 

หรือเราชินกับการเด้งกลับทุกอย่างเป็นเรื่องลบ พอใครมาชมเราเลยเอ๊ะ! ขึ้นมาทันที นั่นคือเรากำลังมีกำแพง

และอีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ชินเวลามีคนชม เราอาจโตมากับครอบครัวที่ไม่ค่อยใช้คำชมต่อกัน หรือเคยมีเหมือนกันนะ เด็กที่ถูกพ่อแม่พูดตลอดให้ฟังตั้งแต่เล็กเวลาคนมาชม “อย่าไปชม เดี๋ยวมันเหลิง” 

เวลามีคนชมว่าเก่ง ตอบยังไง
COURTESY OF NETFLIX © 2020

คำชมคือคำให้กำลังใจเราได้เหมือนกัน

ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงก็ตาม จริงๆ การยอมรับคำชมนั้นจะทำให้ใจเราพองโต และรู้สึกมีกำลังใจกับตัวเองได้นะ เหมือนกับที่เราเองได้มอบคำชมให้คนอื่น แล้วเขาบอกเราว่ามีกำลังใจจัง เราก็มีคุณค่าพอที่จะได้รับสิ่งนั้นด้วยเหมือนกัน เราเลยอาจต้องเปลี่ยนแอตติจูดมาเป็นยินดีกับคำชม และถ้าไม่ชินจริงๆ ก็ต้องฝึก ไม่ตั้งกำแพงก่อน อ่อนโยนกับใจตัวเอง ยิ้มรับ ขอบคุณ และฝึกทำกลับไปที่คนอื่นๆ ด้วย 

ลองวิธีตามนี้จากเรานะ

1. หาจุดตรงกลาง รับคำชมแบบไม่น่าหมั่นไส้ 

ถ้าเราเขิน กลัวดูน่าหมั่นไส้ ไม่ชิน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่ได้รับคำชมแล้วเลือกที่จะถ่อมตัว หรือผลักคำพูดดีๆ เหล่านั้นให้ไกลออกไป พวกเขายอมรับและคนรอบตัวก็ไม่ได้รู้สึกขัดหูขัดตา หมั่นไส้ในความมั่นหน้าของพวกเขาด้วย รับคำชมอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เทคว่ามันเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ในชีวิต ยิ้มรับ กล่าวขอบคุณ และมองเห็นสิ่งดีในตัวคนอื่นเช่นกัน

2.อย่าลืมขอบคุณ

ยิ้มรับ และขอบคุณเป็นอาการที่น่ารัก และทำให้เราสดใสขึ้นได้แน่นอน ไม่ต้องอยู่กับคำชมนั้นนานก็ได้ถ้ารู้สึกอึดอัด ก็ค่อยๆ เปลี่ยนหัวข้อ หรือชมคู่สนทนากลับไป แต่อาจจะมีช่วงที่ปล่อยให้คนชมได้อธิบายสักหน่อยก็ได้ว่า ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้น(ถ้าเธออยากจะพูดน่ะนะ) แล้วเอาคำชมนั้นน่ะกลับมาสะท้อนกับตัวเองว่า เราพัฒนาต่อได้นะ เราทำได้ดีกว่านี้ได้ เป็นแรงใจให้ตัวเองดีด้วย

3.เขาชมในสิ่งที่เราเองทำเพราะก็คิดว่าดี

อย่างเช่น เขาชมชุดที่เราใส่ว่าสวย ก็ถูกแล้ว ถ้าไม่สวยเราก็คงไม่ใส่ (อันนี้ไม่ต้องพูด) อาจจะตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ ฉันเห็นชุดนี้ครั้งแรกแล้วรู้เลยว่ามันใช่” ไม่ต้องรู้สึกเขินอายในรสนิยมของเรา หรือทำผลงานได้ดีมาก ก็เป็นเพราะเราตั้งใจกับมันจริงๆ รับคำชมเท่าที่งานได้ถูกนำเสนอออกไป ส่วนที่อยากทำให้ดีขึ้น เราไม่พูด แต่ทำกับงานต่อไปแทน “ขอบคุณมากเลยค่ะ ฝากติดตามงานต่อไปด้วยนะคะ”

4.เปิดใจกว้างรับคำชมนั้น

การรับคำชมจากใจที่จริง เหมือนเราได้ฝึกเปิดใจตัวเองให้กว้างขึ้นด้วยนะ เรากำลังรับน้ำใจที่คนอื่นมองเห็นในตัวเรา และลดกำแพงตัวเองลง ถ้าเราไม่สงสัยว่าเขาจริงใจจริงหรือ หรือสงสัยว่าเราเป็นแบบนั้นหรือ นั่นคือเรากำลังให้ความสัมพันธ์อะไรบางอย่างของเรากับเขา เล็ดลอดเข้ามาแล้วล่ะ มิตรภาพอาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากเรื่องแบบนี้เลย

อ่านเรื่องราวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ทาง CleoThailand หรือ FB: @CleoThailand

651

CLEOSelfLove คนชม