สำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์สำรวจการใช้งานคอมพิวเตอทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับงานมากสุด การแบ่งระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์ อาจแบ่งได้เป็นหลายประเภท แต่โดยส่วนใหญ่มักแบ่งตามประเภทของผู้ใช้ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้๑) ระดับผู้ใช้ทั่วไปและผู้ใช้มือใหม่ Show
ผู้ใช้ทั่วไปเป็นผู้ใช้สำหรับงานด้านเอกสาร รายงาน และเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโปรแกรมสำเร็จรูป เช่นMicrosoft Office เพื่อจัดทำเอกสาร รายงานเพื่อนำเสนอ หรืออาจใช้โปรแกรม Photoshop แต่งภาพเล็กน้อย เป็นต้น ส่วนผู้ใช้มือใหม่เป็นผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัสคอมพิวเตอร์มาก่อนแนะนำให้ซื้อแบบมียี่ห้อ จะดีกว่า เพราะจะไม่ต้องกังวลเวลาที่เครื่องมีปัญหา ผู้ใช้ระดับนี้อาจใช้แบบลองผิดลองถูกบ้าง อาจทำให้เครื่องเกิดปัญหาบ่อยครั้ง จึงไม่ต้องเลือกคอมพิวเตอร์ราคาแพง ๒) ระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิก (graphic user) งานด้านกราฟิก เช่น งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโฆษณาต้องใช้ฮาร์ดแวร์และโปรแกรมต่างๆที่มีคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์สูงพอควร บางครั้งต้องใช้โปรแกรมพร้อมกันหลายตัว เช่น Photoshop ,Illustrator, CorelDraw เป็นต้น ซึ่งราคาจะอยู่ในระดับกลางถึงสูง ผู้ใช้จึงควรประกอบคอมพิวเตอร์ใช้เอง เพราะทำให้รับความรู้มากขึ้น สามารถกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องได้ตามลักษณะของเครื่องได้ตามลักษณะเฉพาะของงานด้านกราฟิก และใช้โปรแกรมต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓) ระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิกขั้นสูง (advanced graphic user) แสดงผลในรูปแบบสามมิติ หรือ 3D animation จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการคำนวณระดับสูง เช่น การสร้างภาพในรูปแบบสามมิติ โดยใช้โปรแกรม Auto CAD, 3D Studio Max เป็นต้น จึงควรประกอบคอมพิวเตอร์ขึ้นเองเช่นกัน ๔) ระดับผู้เล่นเกม (game user) เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยที่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถรองรับเกมที่มีภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว แต่ราคาอุปกรณ์ต่างๆไม่สูงมากจนเกินไป จึงควรประกอบคอมพิวเตอร์ใช้เอง จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่ชอบเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ควรเล่นเกมมากจนกลายเป็นคนติดเกม เพราะทำให้เสียการเรียนและยังสิ้นเปลืองค่ใช้จ่ายผู้ปกครองอีกด้วย วิธีกำหนดสเป็คเครื่อง♥ วิธีกำหนดสเป็คเครื่อง หลัง จากรู้ลักษณะการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราแล้วว่าจะอยู่ในระดับใด ต่อไปเป็นการกำหนดสเป็คเครื่องที่รองรับการทำงานประจำที่จะเกิดขึ้นกับ เครื่องพีซีนั้น ซึ่งแต่ละระดับจะมีรายละเอียดสเป็คของอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เหมาะสมแตกต่างกัน ไป โดยมีแนวทางในการเลือก ลักษณะการซื้อเครื่องพีซี computer หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ในที่นี้จะกล่าวถึง Computer PC หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ พีซี อะไรจะเป็นตัววัดความคุ้มค่าของ พีซี ได้ดีที่สุด เท่าที่เคยใช้ๆ ก็เห็นจะเป็นซอฟต์แวร์ทดสอบ หรือไม่ก็ราคาที่แพง บางคนก็มองแค่ภายนอกด้วยซ้ำว่าเครื่องนี้ดูสวยดี ใช้ซีพียูความเร็วสูงๆ แถมราคาสูงๆ ก็ซื้อเลย แต่ไม่ได้มองเจาะไปถึงการนำไปใช้งานของตัวเองเลยว่าจะนำไปใช้ได้เต็มประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน แต่ก็นี่แหละคนไทย ถ้าจะกล่าวถึง เครื่อง Computer ชุดที่ขายดีที่สุด ณ ปัจจุบัน ก็เห็นจะปฏิเสธ เครื่อง คอมพิวเตอร์ สำเร็จรูปที่จัดโดยรัฐบาล ในโครงการเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer) เอื้ออาทร ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะสามารถจุดกระแสให้ประชาชนหันมาใช้เครื่องComputer กันมากขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นการกระตุ้นตลาด เครื่อง คอมพิวเตอร์ ในบ้านเราด้วย ทำให้ผู้ผลิต เครื่อง Computerรายต่างๆ ขายดิบขายดีไปตามๆ กัน การเลือกซื้อ เครื่อง คอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้ทั่วๆไปก็จะมีอยู่ 2 แบบ สำหรับแบบแรกนั้นก็คงจะเดินไปจัดสเปคเครื่องตามร้านขาย อุปกรณ์ Computer กันเอง เปรียบเทียบราคาของแต่ละร้านหาร้านที่มีราคาถูกแล้วก็นำไปประกอบด้วยตนเอง หรือไม่ก็ให้ทางร้านที่เราซื้อ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ร้านใดร้านหนึ่งเป็น ผู้ประกอบเครื่องให้ ซึ่งบางทีร้านเขาอาจจะคิดค่าบริการในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย สำหรับการเลือกซื้อแบบแรกนั้นน่าจะเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความรู้ทางด้าน อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ อยู่บ้าง มาดูแบบที่สองกันบ้างครับ สำหรับการเลือกซื้อแบบที่สองนั้นน่าจะเหมาะกับผู้ใช้มือใหม่ หรือผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ในด้าน อุปกรณ์ Computer เลย ซึ่งผู้ใช้ ประเภทนี้มักจะให้ทางร้านเขาจัดสเปคให้เลย โดยจะกำหนดราคาเครื่องที ต้องการใช้ให้ทางร้านไป หรือผู้ใช้บางคนที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการเลือกซื้อ หรือต้องการ การรับประกันจากผู้ผลิตที่ดีๆ ก็อาจจะหันไปมอง เครื่อง Computer ที่เป็นคอมพิวเตอร์ แบรนด์เนมจากผู้ผลิตทั้งใน หรือต่างประเทศที่นำออกมาวางขายในตลาดบ้านเรากันมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันผู้ใช้จะสามารถซื้อ เครื่อง Computer ได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ชี้นิ้ว หรือแค่บอกความต้องการนำไปใช้งานของตนกับผู้ขาย เพื่อให้ผู้ขายจัดสเปคเครื่องให้ แล้วก็เหลือ เพียงแค่ขนเครื่องที่ซื้อมากลับไปบ้านเท่านั้นเอง ซึ่งบางทีผู้ซื้อก็อาจจะเสียเปรียบเพราะอุปกรณ์ที่ทางร้านเขาจัดให้นั้นอาจจะมีราคาที่ถูกกว่าเงินที่ท่านจ่าย หรืออาจจะติดตั้งอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพให้ เพื่อให้ทางร้านได้ กำไรเยอะๆ จากตรงส่วนนี้ ซึ่งสำหรับ เครื่อง คอมพิวเตอร์ สำเร็จรูปที่จัดโดยค่ายผู้ผลิตแบรนด์เนมต่างๆก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าเครื่องมีปัญหาผู้ซื้อก็สามารถส่งเคลมได้ทันที แต่สำหรับเครื่องที่ทางร้านจัดสเปคให้นั้น ซึ่งถึงแม้จะมีการรับประกัน Void จากทางร้านมาแล้ว แต่บางทีอุปกรณ์บางชิ้นก็อาจไม่ได้คุณภาพและทางผู้ผลิตก็ไม่รับประกันด้วย เช่น พวก อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ปลอมต่างๆ ดังนั้นก่อนที่จะซื้อ เครื่อง Computer คู่ใจซักเครื่อง เราลองมาดูหน้าที่การทำงานของอุปกรณ์แต่ละชิ้น รวมถึงวิธีการเลือกซื้อ แบบมี ประสิทธิภาพ ตัวอย่างการดูสสเปคเครื่องจากโบรชัวร์สินค้า การเลือกซื้อซีพียู สำหรับการเลือกซื้อ ซีพียู ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่สุดซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงเพราะซีพียูเป็นตัวที่จะกำหนดอุปกรณ์อื่นๆด้วย และเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ การที่เครื่องเราจะแรงและเร็วแล้ว ซีพียูเป็นตัวกำหนดหลักแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผมจึงขอให้กำหนด สเป็กการซื้อคอมพิวเตอร์ จากตัวซีพียูก่อนะครับ จะขอเรียงลำคับการพิจารณาการเลือกซื้อดั้งต่อไปนี้ 1.ความเร็วของ ซีพียู ความเร็วของซีพียู ซึ่งใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดนะครับ โดยมีหน่วยเป็น “เฮิรตซ์ (Hz)” ก็คือการที่ซีพียูทำงาน 1 ครั้งต่อ 1 วินาทีนั้นเอง แต่ในปัจจุบันซีพียูนั้นมีความเร็วมากอยู่ในระดับ “กิกะเฮิรตซ์ (GHz)” แล้ว เช่น 1 กิกะเฮิรตซ์ คือซีพียูทำงานได้ถึง 1 พันล้านครั้ง ต่อวินาที ยิ่งมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วเท่านั้น เช่น AMD Phenom 9650 2.3GHz 2.หน่วยความจำแคช(Cache) หน่วยความจำแคชก็เป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ เพราะแคชมีหน้าที่ในการจัดเก็บคำสั่งและข้อมูลที่ได้ใช้บ่อยๆ เพื่อส่งไปยังซีพียู ซึ่งแคชเองทำงานร่วมกับแรมเพื่อเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง 2 อุปกรณ์ ให้เชื่อมต่อกันเพราะฉะนั้นแล้วยิ่งมีแคชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเร็วเท่านั้นด้วย ในปัจจุบันเองได้มีการเพิ่มเทคโนโลยี Pre-Fetch ในบางรุ่นจะมี ที่มีแคชถึงระดับ L3 ทำหน้าที่ในการคอยอ่านข้อมูลจากแรมมายังแควตลอกเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น โดยความเร็วทั้ง 3 ระดับดังนี้ แคชระดับที่ 1 (L1) เป็นแคชขนาดเล็ก เป็นแคชที่มีขนาดเล็กที่สุด อยู่แค่ 32-128 KB เท่านั้น และอยู่ใกล้ชิดกับซีพียูมากที่สุด แคชระดับที่ 2 (L2) จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเพราะจะทำการเก็บข้อมูลจากแรมเป็นหลัก แคชระดับที่ 3 (L3) อยู่คั่นกลางระหว่างแรมกับแคช L2 โดยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งมีประมาณ 2-8 MB และจะอยู่ใกล้กับบัสเพื่อสามารถที่จะถ่ายโดยข้อมูลไปยังส่วนต่างๆได้ง่ายขึ้น 3.บัส(BUS) ถือได้ว่ามีความสำคัญเหมือนกัน เพราะ บัสคือ นำไฟฟ้าที่เป็นทางเดินของข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบัสในคอมพิวเตอร์คือบัสข้อมูล (Data bus) ซึ่งมีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hz) จะมีค่า FSB อย่างเช่น FSB 1066 เป็นต้น 4.ซีพียู จากค่ายต่างๆ สำหรับซีพียูนี้ก็มี 2 ค่าย ใหญ่ที่ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กันคือ Intel และ AMD Intel เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นผู้ผลิต ซีพียูรายแรกอีกด้วย สำหนับซีพียู ที่ Intel ผลิตนั้นก็มีหลาย รุ่นออกมาให้เลือก และต่างมีเทคโนโลยีที่ต่างกัน ผมจะขอยกตัวอย่าง ซีพียูที่ทาง Intel ผลิตดังนี้คือ 1.CELERON-D เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่าง โดยจะออกแบบให้ใช้กับการทำงานพื้นฐานต่างๆ และมีราคาที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก ใช้โปรแกรมทางด้านพื้นฐานเป็นพอ ทั้ง ดูหนังฟังเพลง หรือแค่เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์เฟรชบาง สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ 2. CELERON-Duo Core สำหรับ CELERON-Duo Core นี้ได้พัฒนามาจาก CELERON-D รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนมาผลิตจากที่เป็น ซิงเกอร์คอร์มาเป็น ดูอัลคอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานดีขึ้น 3.INTEL Duo Core เป็นซีพียูที่มีความเร็วมากกว่า CELERON ตอบสนองการใช้งานได้มากกว่า โดยได้พัฒนาจาก ซีพียูรุ่น Pentiumนั้นเอง โครงสร้างก็เป็นแบบ Duo Core คือมีลักษณะเป็น 2 หัว 4.INTEL CORE 2 DUO เป็นซีพียูที่พัฒนามาจาก INTEL Duo Core โดยจะมีเลข 2 ก็หมายถึง พัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 นั่นเองครับ โดยจะมีการเพิ่ม L 2 เพิ่มขึ้นจาก Duo Core มีอยู่ 2MB มาเป็น 3MB และมีความเร็วบัสเพิ่มขึ้นด้วย 5.INTEL CORE 2 QUAD เป็นซีพียูที่ได้มีการพัฒนาจาก INTEL CORE 2 DUO โดยการนำ INTEL CORE 2 DUO มารวมกันเป็น เป็น 1ตัวได้ทั้งหมดถึง 4 หัวเลย และยังช่วยการใช้พลังงานที่ลดลงกว่า เดิมอีกด้วย 6. CORE 2 QUAD Extreme เป็นการนำเอา INTEL CORE 2 DUO มารวมตัวกันโดยเป็นการแยกการทำงานโดยอิสระ และมีการแบ่งการทำงาน ของ L2 เป็น 2 ส่วน ซึ่งเป็น ซีพียูทีมีราคมสูงมาก 7.Intel Core i7 เป็นซีพียูที่ ใหม่ล่าสุดที่เริ่มขายแล้ว ซึ่งยังมีราคาที่สูงอยู่ และถือได้ว่าเป็น ซีพียูที่มีความเร็วสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีการเพิ่ม แคชระดับ L3 ที่นำมาใช้ถึง 4-8 MB และมีการลองรับ Dual Channel DDR3 เป็นครั้งแรก ซึ่งจะต้องทำงานกับแรม 3 แผงขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราต้องใช้แรม 3 แผงเป็นอย่างต่ำ AMD เป็นผู้ผลิตที่นอกเหนือจาก Intel ที่เข้ามาแย่งตลาดกัน โดยจะมีราคาที่ถูกกว่าเมือเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพ โดยจะมีซีพียูของด้วย AMD ดั้งนี้ 1. SEMPRON Sempron เป็นซีพียูที่อยู่ในตลาดระดับล่างของ AMD เป็นซีพียูที่มาราคาถูกและตอบสนองการใช้งานด้านพื้นฐานต่างๆได้ดี 2. AMD 940 X2 เป็นซีพียู ที่มีความเร็วมากกว่า Sempron ขึ้นมาอีกหน่อย เพรำหรับคนที่ใช้งานพื้นฐานทั่วไปและก็เล่นกราฟิกบาง เป็นหรือเกมส์บ้างพอสมควร ที่ราคาไม่แพง รองรับ HyperTransport 3. PHENOM X3 เค้าบอกว่า 3 หัวดีกว่า 2 หัว ก็เลยได้มีการผลิต 3 หัวออกมาจำหน่วยกัน โดยพัฒนามาจากCPU AMD 940 X2 เพิ่มมาอีก 1หัว 4. PHENOM X4 สำหรับตัวนี้มีการเพิ่มมาอีก 1 หัวเพื่อเพิ่มไประสิทธิภาพในการทำงานแต่ราคานั้นสูงอยู่แต่ถ้าใครต้องการก็สามารถที่จะซื้อมาได้เลยครับ HyperTransport เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างอิสระ ระหว่าง คอร์ต่าง ๆ และหน่วยความจำภายในเครื่อง ซึ่งสามารถ ปรับความกว้างของการรับ/ส่งของของข้อมูล เป็นระบบบัสที่พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า FBS ตัวอย่างเทคโนโลยีของค่ายต่างๆ
ตารางของแตกต่างส่วนต่างๆ ของCPU Intel
ตารางของแตกต่างส่วนต่างๆ ของCPU AMD
5.งบประมาณ ในสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของใครบางคน คืองบประมาณนั้นล่ะครับ บางคนอาจจะเป็นอันดับแรกเลยก็ว่าได้ครับ ในปัจจุบันราคาต่ำมากจนแทบบอกได้ว่า ไม่ถึงพันก็มีแต่ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่จะได้รับด้วย เดี๋ยวนี้ซีพียูราคาถูกๆ ก็สามารถทำงานได้หลายอย่างแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อราคาแพงๆ เลือกซื้อเมนบอร์ด
การเลือกซื้อแรม(RAM) สำหรับแรมผมได้กล่าวไว้แล้วว่ามีหน้าอะไรบ้าง สำหรับแรมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกันเพราะฉะนั้นแล้วเราควรเลือกให้ถูกวิธีด้วย สำหรับขึ้นตอนการเลือกซื้อแรม มีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1.ประเภทของแรม แน่นอนครับสำหรับประเภทของแรมนั้น ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง 2 มีความเร็วที่แต่ต่างกัน 1.1 DDR 2 สำหรับ DDR 2 นั้นมีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIz ใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V 1.2 DDR3 เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ถึง 1,600-2,000 MHz เลยทีเดียวครับ แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่ แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่ เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด
2.หน่วยความจำ แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ 3.ความเร็ว ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ เมนบอร์ดรองรับ และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง 4.ก็การเลือกยี่ห้อ การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้ รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอครับ การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีการเลือกซื้อให้เหาะสมกับความต้องการของเรา ในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ได้มีราคาต่อความจุถูกมาก และมีความเร็วที่แตกต่างกัน จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1.ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ (สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อภายนอกจะขอกล่าวในลำดันถัดไป) – แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้ เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ – แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบSATA
2.ขนาดของความจุ ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน ไม่รู้จักเต็มสักที แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง 3.ความเร็วรอบ ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์ คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (rpm) ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm 4.บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์ บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์ ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว 5.ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น มารู้จักเทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid) ฮาร์ดดิสก์แบบนั้นคือเป็นเทคโนโลยีที่นำหน่วยความจำมาเป็นแฟลช มาทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์โดยลักษณะจะเหมือนการทำงานของแฟลชไดร์ โดยหน่วยความจำที่นำมาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มที่จะช่วยโหลดไฟล์ที่ใช้งานบ่อยๆ หรือเก็บมาไว้ใช้ชั่วคราว ก็ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความรวดเร็วของของมูล การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล
ลักการเลือกซื้อจอภาพ จอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่รับสัญญาณจากการ์ดแสดงผล มาแสงเป็นภาพบน จอภาพ แบ่งเป็น 3 ประเภท 1.จอภาพ CRT คือ จอภาพที่รับสัญญาณภาพแบบอะนะล็อก พัฒนามาจากหลอดภาพโทรทัศน์ด้วยการใช้หลอดภาพในการแสดงผลเช่นเดียวกันคะ จอซีอาร์ที จะทำงานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ซึ่งมีสารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอยู่ที่ผิว เมื่อถูกแสงอิเล็กตรอนมากระทบ สารเหล่านี้เจะกิดการเรืองแสงขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นภาพนั่นเอง 2. จอภาพ LCD จอภาพ LCD คือ จอแสดงผลแบบ (Digital ) ที่ใช้วัตถุที่เป็นผลึกเหลว (liquid crystal) แทนการใช้หลอดภาพในจอซีอาร์ที และใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ในการผลิตแสงสว่าง จึงทำให้จอภาพแอลซีดีใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าจอแบบซีอาร์ทีประมาณหนึ่งในสามโดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น 3. จอภาพ LED จอภาพ LED ใช้หลอดแอลอีดีมาเรียงกันบนพาแนลแล้วทำให้เกิดภาพด้วยการติด ดับของหลอดแอลอีดีซึ่งก็ได้ภาพที่ตาเรามองออกมา ซึ่งในเหล่านี้มันยังมีราคาสูงมากๆ ความเหมาะสมกับการใช้งาน 1. งานเอกสาร หรือ ในสำนักงาน ควรเลือกจอภาพ ขนาด 17-19 นิ้วเพื่อถนอมสายตา 2. งานกราฟฟิก ควรเลือกจอภาพ ขนาด 19-21 นิ้ว 3. งานออกแบบที่ต้องแสดงผลเป็น 3 มิติ ควรเลือกจอภาพ ขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว 4. ใช้งานทั่วไป 14-15 นิ้ว หลักการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์ 1. ควรเลือกจอภาพขนาด 15 นิ้วขึ้นไปเป็นอย่างน้อย เพราะปัจจุบันจอภาพ 15 นิ้ว มีราคาสูงกว่าจอภาพขนาด 14 นิ้วเล็กน้อยเท่านั้น 2. ควรเลือกจอภาพที่มีค่าระยะด็อตพิชต์ต่ำๆ เพราะจะทำให้ภาพออกมาคมชัด 3. เลือกจอภาพที่สามารถเลือกความละเอียดได้หลายโหมด 4. ควรเลือกแบบจอแบน เพราะจอแบนจะมีคุณสมบัติในการหักเหของแสงสะท้อนที่ตกกระทบบนจอภาพออกไปในทิศทางที่หลบออกจากสายตาผู้ใช้ 5. ตรวจดูปุ่มรับการควบคุมจอภาพต่างๆ ว่าสามารถปรับอะไรได้บ้าง ใช้งานง่ายและสะดวกหรือไม่ 6. จอภาพที่นิยมใช้ ได้แก่ ADI, CTX, LG, MAG, Panasonic, Philips, SONY, Sumsung, Viewsonic เป็นต้น ารเลือกซื้อไดรฟ์สำหรับอ่านซีดี/ดีวีดี (อ่าน 5519/ตอบ 0) ไดรฟ์สำหรับอ่าน/เขียนซีดี ไดรฟ์สำหรับอ่าน/เขียนซีดีและดีวีดีประกอบด้วย ไดรฟ์ CD-ROM, ไดรฟ์ CD-RW, ไดรฟ์ DVD-ROM, ไดร์ฟ์Combo, ไดร์ฟ์DVD+/-RW มีข้อแตกต่างดังนี้ 1.ไดรฟ์ CD-ROM เป็นไดรฟ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีได้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปได้ ซึ่งความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีนับกันเป็น x โดย 1x เทียบเท่ากับความเร็วในการเล่นแผ่น CD Audio ซึ่งเท่ากับ 150 KB/s โดยปัจจุบันไดรฟ์ชนิดนี้ที่มีขายตามท้องตลาด ส่วนใฆญ่จะมีความเร็วอยู่ที่ 52x แต่ไดรฟ์ชนิดนี้ไม่สามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นดีวีดีได้ 2.ไดรฟ์ CD-RW เป็นไดรฟ์สำหรับอ่านและเขียนข้อมูลลงบนแผ่นซีดีชนิดพิเศษได้ ซึ่งก็คือ แผ่น CD-R และ CD-RW นั่นเอง และถ้าเป็นแผ่น CD-RW จะสามารถใช้ไดรฟ์ชนิดนี้ลบข้อมูลในแผ่นแล้วเขียนทับลงไปใหม่ได้ด้วย ซึ่งความเร็วของไดรฟ์ชนิดนี้จะบอกด้วยตัวเลข 3ชุดด้วยกัน เช่น 52x32x52x โดยตัวเลขชุดแรก (52x) เป็นความเร็วสูงสุดในการเขียนแผ่น CD-R ตัวเลขชุดที่ 2 (32x) เป็นความเร็วสูงสุดในการเขียนแผ่น CD-RW และตัวเลขชุดสุดท้าย (52x) เป็นความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูล โดยไดรฟ์ชนิดนี้ไม่สามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นดีวีดีได้ 3.ไดรฟ์ DVD-ROM ไดรฟ์ชนิดนี้จะคล้ายกับไดรฟ์ CD-ROM คือสามารถอ่านแผ่นได้อย่างเดียวไม่สามารถเขียนแผ่นได้ แต่นอกจากจะอ่านแผ่นซีดีได้แล้ว ยังสามารถอ่านแผ่นดีวีดีได้อีกด้วย ซึ่งความเร็วในการอ่านข้อมูลของไดรฟ์ชนิดนี้นับกันเป็น x เช่นเดียวกัน แต่ 1x ของไดรฟ์ชนิดนี้ไม่เหมือนกับ 1x ของไดรฟ์ CD-ROM เพราะความเร็ว 1x ของไดรฟ์ DVD-ROM เท่ากับ (1350 KB/s) ในกรณีที่อ่านข้อมูลจากแผ่นดีวีดีแต่ถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีธรรมดา จะสามารถอ่านข้อมูลได้ 600 KB/s ซึ่งนับว่าสูงกว่าไดรฟ์ CD-ROM มากที่เดียว โดยปัจจุบันไดรฟ์ชนิดนี้ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีความเร็วอยู่ที่ 16x หรือสามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นดีวีดีได้สุงสุด 21.6 MB/s และอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีธรรมดาได้สูงสุดถึง 9600 KB/s (9.6 MB/s) 4.ไดรฟ์ Comboเป็นไดร์ที่รวมคุณสมบัติของไดรฟ์ CD-RW กับไดรฟ์ DVD-ROM เข้าด้วยกัน ทำให้ไดรฟ์ชนิดนี้มีความสามารถเหมือนไดร์ CD-RW ทุกประการและยังสามารถอ่านแผ่นดีวีดีได้อีกด้วย โดยการบอกความเร็วของไดรฟ์ชนิดนี้ จะเอาความเร็วของไดรฟ์ CD-RW ขึ้นก่อน แล้วตามด้วยเครื่องหมายบวกและความเร็วของการอ่านแผ่นดีวีดี เช่น 52x32x52x + 16x คือ เขียนแผ่น CD-R ได้เร็วสุงสุด 52x เขียนแผ่น CD-RW ได้เร็วสุงสุด 32x อ่านแผ่น CD-ROM ได้เร็วสุงสุด 52x และสามารถอ่านแผ่น DVD-ROM ได้สุงสุดถึง 16x แต่ไดรฟ์ชนิดนี้ไม่สามารถเขียนแผ่น DVD ได้ 5.ไดรฟ์ DVD+/-RW ไดรฟ์ชนิดนี้มีความสามรถทั้งอ่านและเขียนแผ่นดีวีดีและยังสามารถอ่านและเขียนแผ่นซีดีได้อีกด้วย รวมถึงยังสามารถลบและเขียนซ้ำแผ่นดีวีดีชนิดพิเศษได้ด้วย ซึ่งก็คือ DVD-RW และ DVD+RW นั่นเองและเนี่องจากความสามารถในการอ่านและเขียนแผ่นได้หลายแบบมาก ดังนั้นโดยปกติการบอกความเร็วของไดรฟ์ชนิดนี้ ผู้ขายจึงมักระบุเป็นเลขชุดเดียว คือความเร็วสูงสุดในการเขียนแผ่นดีวีดี เช่น 16x แต่จริงๆ แล้วยังมีตัวเลขที่เป็นรายละเอียดอีกมาก เช่น ไดรฟ์ยี่ห้อ Lite-On รุ่น SHW – 16H5S มีรายละเอียดความเร็วดังนี้ 16x8x8x /16x6x4x / 16x +48x24x48x โดยตัวเลขชุดแรก (16x8x8x) หมายถึง ความเร็วในการเขียนแผ่น DVD+R DVD+RW และ DVD+R9 ตามลำดับ ส่วนตัวเลขชุดที่ 2 (16x6x4x) หมายถึง ความเร็วในการเขียนแผ่น DVD-R DVD-RW และ DVD-R9 ตามลำดับ ตัวเลขชุดที่ 3 (16x) หมายถึง ความเร็วในการอ่านแผ่นดีวีดี และตัวเลขชุดสุดท้าย (48x24x48x) ก็คือ ความเร็วในการเขียนแผ่น CD-R ความเร็วในการเขียนแผ่น CD-RW และความเร็วในการอ่านแผ่นซีดี ตามลำดับนั่นเอง สำหรับการเลือกซื้อไดรฟ์ต่างๆ เหล่านี้ จะต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ ดังนี้ 1.ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูล ยิ่งเนการเลือกซื้อไดรฟ์ DVD+/-RW จะต้องพิจารณาความเร็วในการอ่านและเขียนแผ่นแต่ละชนิดให้ดีด้วย 2.ขนาดบัฟเฟอร์ ซึ่งบัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำสำหรับพักข้อมูลระหว่างการอ่านและเขียนข้อมูล ยิ่งขนาดบัฟเฟอร์ใหญ่เท่าใดยิ่งทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลเร็วขึ้นเท่านั้น 3.รูปแบบการเชื่อมต่อ เพราะไดรฟ์เหล่านี้มีให้เลือกทั้งแบบ Internal(เชื่อมต่อภายใน) และแบบ External (เชื่อมต่อภายนอก) ซึ่งไดรฟ์แบบ External จะติดตั้งง่ายและเคลื่อนย้ายไปใช้กับเครื่องอื่นสะดวก แต่ราคาจะแพงกว่า (ข้อมูลจาก Easy Leaning รวมสุยอดทิป & ปัญหาคอมพ์ โดย ฝ่ายวิชาการ หลักในการเลือกซื้อ printer
ในยุคปัจจุบันนี้ แทบทุกบ้านมักจะมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตใช้กันเกือบหมดแล้ว ซึ่งช่วยให้เราสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นสิ่งจำเป็นคู่กันกับการใช้ pc หรือ notebook ก็คือการมี printer ไว้สำหรับพิมพ์งานต่างๆ ตามที่เราต้องการ แต่การที่จะเลือกซื้อเครื่อง printer ดีๆ สักเครื่องหนึ่ง อาจทำให้หลายๆ ท่านปวดหัวอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องยี่ห้อและรุ่นที่มากมายจนจำไม่ไหว หรือคุณสมบัติต่างๆ ที่ไม่รู้จะเลือกอย่างไร บทความนี้ก็จะขอแนะนำคุณผู้อ่านให้ทราบถึง ข้อคิดหรือหลักในการเลือกซื้อ printer จะได้เลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุดนั่นเองครับ ข้อคิดในการเลือกซื้อพริ้นเตอร์ (printer) ขออธิบายในแต่ละหัวข้อเลยครับ 1. เลือกชนิดของ printer ให้ถูกต้องตามประเภทของการใช้งาน ก่อนที่เราจะเลือกซื้อ ควรจะทราบเสียก่อนว่าต้องการนำไปใช้งานแบบใดเป็นหลักหรือต้องการฟังก์ชันใดๆ บ้าง เช่น นำไปพิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป, พิมพ์ภาพถ่าย, การพิมพ์พร้อมทำสำเนา หรือต้องการใช้งานที่หลากหลาย หรือพิมพ์งานที่ต้องการความคมชัดมากๆ ซี่งประเภทของ printer นั้นมีมากมายหลายแบบมาก (ส่วนรายละเอียดของชนิด printer แบบต่างๆ สามารถอ่านได้ในเนื้อหาบทความถัดไปครับ) 2. สำรวจงบประมาณที่ต้องการซื้อ ที่คุ้มค่ากับการใช้งาน หากคุณผู้อ่านมีงบประมาณที่จะซื้ออยู่แล้ว ก็สามารถคำนวณได้ว่าจะซื้อ printer รุ่นใดได้บ้าง และมีฟังก์ชันที่เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ซึ่งหากตัดฟังก์ชันบางอย่างหรือคุณสมบัติที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะทำให้สามารถลดงบประมาณในการซื้อลงได้ 3. เปรียบเทียบคุณสมบัติของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น เมื่อเลือกชนิดของ printer ได้ และทราบงบประมาณแล้ว เราก็ควรพิจารณาคุณสมบัติหรือ spec ต่างๆ ของ printer แต่ละรุ่น เพื่อเปรียบเทียบกันว่าควรจะซื้อรุ่นไหนดี โดยหัวข้อสำคัญที่เราควรจะทราบหลายๆ อย่างเช่น – ความละเอียด (Resolution) ว่า printer เครื่องนี้พิมพ์ได้ละเอียดแค่ไหน (หน่วยเป็น dpi) ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว printer ในปัจจุบันก็พิมพ์งานได้ละเอียดมากพออยู่แล้วครับ คุณภาพการพิมพ์มักจะขึ้นอยู่กับการปรับตั้งค่า และกระดาษที่ใช้มากกว่า – ขนาดของหยดหมึก หน่วยเป็น pl – ความเร็วในการพิมพ์ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกัน หากพิมพ์งานสีหรืองานขาว-ดำ, หากเราต้องการพิมพ์งานทีละมากๆ หรือใช้ในออฟฟิส ก็ควรใช้เครื่อง printer ที่มีความเร็วสูงขึ้น – ขนาดกระดาษที่รองรับ (เล็กสุด-ใหญ่สุด) พิมพ์กระดาษได้หนาแค่ไหน, พิมพ์ไร้ขอบได้หรือไม่, รองรับการพิมพ์ 2 ด้านหรือไม่, ถาดป้อนกระดาษป้อนได้สูงสุดแค่ไหน – หมึกพิมพ์ที่ใช้ ใช้หมึกพิมพ์แบบแยกสี หรือรวมเป็นตลับเดียว ซึ่งหากใช้หมึกพิมพ์แบบแยกเป็นแต่ละสีจะประหยัดกว่า เนื่องจากจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งตลับกรณีหมึกหมด และโดยปกติแล้ว หมึกพิมพ์ของ printer แต่ละรุ่น มักจะราคาไม่เท่ากัน (ไม่แนะนำให้ซื้อ printer ที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวครับ เพราะหมึกพิมพ์มักมีราคาแพง ทำให้ไม่คุ้มค่าในระยะยาว) – การเชื่อมต่อ, การสั่งพิมพ์ ซึ่ง printer รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นใช้เป็น wireless แล้ว และสามารถสั่งพิมพ์ได้ง่ายๆ จากกล้องหรือมือถือได้อีกด้วย – ฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น มี scan และถ่ายเอกสารในตัว, สามารถรับ-ส่ง แฟ็กซ์ได้ – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา เช่น บางยี่ห้อมีเทคโนโลยีของหมึกพิมพ์โดยเฉพาะซึ่งช่วยให้การพิมพ์ภาพสีมีความคมชัดและสดใสมากยิ่งขึ้น 4. พิจารณาผู้ขาย หรือตัวแทนขายที่น่าเชื่อถือ ปัจจุบันนี้มีช่องทางและวิธีการสั่งซื้อมากมาย ทั้งการไปเดินเลือกซื้ัอเอง ซื้อสินค้าผ่านทางโทรศัพท์ หรือที่ง่ายมากๆ ในปัจจุบัน สามารถแค่คลิกสั่งซื้อผ่านหน้าจอได้เลย ซึ่งการที่จะเลือกซื้อจากผู้ขายแต่ละวิธี ก็ขึั้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญคือควรเลือกผู้ขายที่น่าเชื่อถือ ให้ข้อมูลละเอียดและถูกต้อง รวมถึงมีช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัย โดยหากเป็นการสั่งสินค้าออนไลน์นั้นในปัจจุบันนี้ก็ถือว่ามีความสะดวกเป็นอย่างมาก เราสามารถสั่งซื้อผ่านหน้าจอคอมฯ และรอรับสินค้าที่บ้านในวันถัดไปได้เลย ซึ่งถือว่ามีความสะดวกมาก โดยในการสั่งซื้อออนไลน์นั้น สิ่งที่เราควรคำนึงถึงก็คือ ผู้ขายมีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีช่องทางการติดต่อได้จริง รวมทั้งจะต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจว่าจะไม่ถูกโกงอย่างแน่นอน 5. การรับประกันและการบริการหลังการขาย ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อและจ่ายเงินนั้น ควรตรวจสอบดูให้ดีว่า printer ที่เราซื้อมานั้นมีการรับประกันหรือไม่อย่างไรบ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังหากเกิดปัญหาขึ้น หรือมีการบริการอื่นๆ อีกหรือไม่ เช่น จัดส่งฟรีถึงบ้าน, สามารถออกใบกำกับภาษีให้สำหรับลูกค้าที่เป็นองค์กรหรือบริษัทด้วย, มีช่องทางการติดต่อกรณีมีปัญหาที่สะดวกสบาย เช่น มี call center หรือมีอีเมล์สำหรับรับแจ้งปัญหาต่างๆ ด้วยหลักการเลือกซื้อ printer ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คงพอจะทำให้คุณผู้อ่าน สามารถซื้อ printer ที่คุ้มค่าและเหมาะสมได้มากที่สุด ในบทความต่อไป ผมจะขออธิบายรายละเอียดของ printer ชนิดต่างๆ ให้ทราบกันครับ การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์พิจารณาจากสิ่งใดก่อนซื้ออันดับแรกที่เราควรให้ความสำคัญ ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ไม่ว่านำมาประกอบเองหรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเซตก็ตาม คือการเลือกซีพียูนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นและความเร็วของซีพียูตามระดับการใช้งานของเรา เพื่อเราจะได้ทราบรูปแบบอินเทอร์เฟส (Socket) สำหรับติดตั้งบนเมนบอร์ด เพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ดเพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ดที่ตรง ...
วิธีการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาอย่างไรสำหรับ วิธีเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ นั้น ควรมองจากการใช้งานของเราเป็นหลักครับ เพราะการใช้งานแต่ละประเภทนั้นจะแตกต่างการออกไป เช่น ใช้งานด้านเอกสารทั่วไป หรือทำงานด้านกราฟฟิกหนักๆ งานเขียนแบบต่างๆ ด้าน 2D ,3D ก็ควรเลือกสเปค PC ให้เหมาะสมแก่การใช้งานครับจะได้ไม่ต้องมาหงุดหงิด เวลาใช้งาน แต่การเลือกที่ดีควรรู้จักกับอุปกรณ์ ...
การใช้คอมพิวเตอร์ควรคำนึงถึงอะไรบ้างการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. งบประมาณในการจัดซื้อ 2. ประเภทของงานที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้ 3. สมรรถนะของเครื่อง. รุ่นและความเร็วในการประมวลผลของ CPU.. ชนิดและขนาดของหน่วยความจำ RAM.. ขนาดของหน่วยความจำแคช (Cache Lever 2). ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ (Hard disk). ข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อจอภาพอันดับแรกคืออะไร1. ขนาดจอภาพ ควรเลือกจอภาพขนาด 15 นิ้ว ขึ้นไป เพราะปัจจุบันจอภาพ 15 นิ้ว มีราคาสูงกว่าจอภาพขนาด 14 นิ้ว เล็กน้อยเท่านั้น งานเอกสาร หรือ ในสำนักงาน ควรเลือกจอภาพ ขนาด 17-19 นิ้ว ส่วนงานกราฟฟิกควรเลือกจอภาพ ขนาด 19-21 นิ้ว งานออกแบบที่ต้องแสดงผลเป็น 3 มิติ ควรเลือกจอภาพ ขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว ใช้งานทั่วไป 14-15 นิ้ว การ ...
|