การวิจัยในชั้นเรียน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Classroom Research คือกระบวนการหาความรู้หรือวิธีการใหม่ ๆ รวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนเอง หรือเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน ผลการวิจัยใช้ได้เฉพาะกลุ่มที่ทำการศึกษา บางทีเราเรียกว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) หรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ Show
จุดประสงค์ทั่วไปของการทำวิจัย
2. การกำหนดขอบเขตของปัญหา เมื่อได้ปัญหาที่จะทำการวิจัยแน่นอนแล้วควรจะกำหนดขอบเขตของ ปัญหาให้ชัดแจ้ง เนื่องจากการกำหนดปัญหาที่แน่นอนช่วยผู้วิจัยได้ดังนี้ 3. การศึกษาเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการศึกษาสาระความรู้ แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นในตำรา หนังสือ วารสาร รายงานการวิจัยและเอกสาร อื่น ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้วิจัยในข้อต่อไปนี้ 4. การกำหนดสมมุติฐาน หมายถึง การเขียนข้อความที่เป็นข้อคาดหวังเกี่ยวกับความ แตกต่างที่อาจเป็นไปได้ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งสมมุติฐานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจริงเสมอไป 5. การเขียนเค้าโครงการวิจัย การเขียนเค้าโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นหนึ่ง เนื่องจากเค้าโครงการวิจัยนั้นจะเป็นแบบแผนในการดำเนินงานวิจัย อย่างมี ระบบ ควร จะ ประกอบด้วย 6. การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ก่อนที่จะดำเนินการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องทราบว่า จะใช้เครื่องมืออะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือนั้นมีหรือยัง ถ้ายังไม่มีต้องดำเนินการสร้างและนำเครื่องมือนั้นไป ทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลเองเสมอไป กรณีที่ทราบว่ามีเครื่องมือที่สร้างขึ้นอย่างเป็นมาตรฐานเหมาะสมกับการที่จะนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ก็อาจยืมเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ได้ถ้าสงสัยในเรื่องคุณภาพของเครื่องมือ เนื่องจากสร้างไว้นานแล้วก็อาจนำมาทดลองใช้และวิเคราะห์หาคุณภาพใหม่อีกครั้งหนึ่งเมื่อพบว่ามีคุณภาพเข้าเกณฑฺ์ก็นำมาใช้เก็บรวบ รวมข้อมูลได้ (การวิจัยบางเรื่องอาจไม่ใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลที่เป็นแบบแผนก็จะตัดขั้นตอนนี้ออกไป) 7. ขั้นดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะต้องทราบว่าในการทำการวิจัยนั้นสามารถจะรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ประชากรทั้งหมด หรือ สุ่มตัวอย่าง ซึ่งในการสุ่มตัวอย่างนั้นก็ต้องทราบว่าจะต้องสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการใดที่จะให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของ กลุ่มประชากร ข้อมูลที่ผู้วิจัยจะทำการรวบรวมนั้นมาจากไหน ปฐมภูมิ (Primary Source) หรือทุติยภูมิ (Secondary Source) 8. การจัดกระทำข้อมูล (Data Processing) การจัดกระทำข้อมูลเป็นวิธีการดำเนินการอย่างมีระบบตามลำดับขั้น กับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย การจัดกระทำข้อมูลประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 9. การสรุปผลการวิจัยและเขียนรายงาน ลำดับขั้นของการวิจัยอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งลำดับขั้นในการวิจัยที่สำคัญ ๆ (Major step) นั้น มีดังต่อไปนี้ 1. เลือกหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย (Selecting a topic of research) เพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตหรือขอบข่ายของงาน 2. ศึกษาค้นคว้ารวบรวมความรู้พื้นฐาน และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย (Review literature and related research) เพื่อให้ผู้วิจัยมองเห็นวิวัฒนาการของความรู้หรือทฤษฎีนั้น ๆ ว่ามีพัฒนาการมาอย่างไร ใครเป็นคนต้นคิด มีใครตรวจสอบวิจัยมาบ้างแล้ว มีตัวแปรใดบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แบบแผนการวิจัยทั่ว ๆ ไปเป็นเช่นใด ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นปัญหาแจ่มชัดขึ้น 3. ให้คำจำกัดความหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย (Formulating research problem) ในขั้นนี้ผู้วิจัยจะต้องเขียนบรรยายถึงความเป็นมาของปัญหาที่จะวิจัย ทฤษฎีพื้นฐาน ความมุ่งหมายของการวิจัย ความสำคัญของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ข้อตกลงเบื้องต้น คำนิยามศัพท์เฉพาะ วิธีดำเนินการ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งเอกสารการวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. สร้างสมมติฐาน (Formulating research hypothesis) การสร้างสมมติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาที่จะทำการวิจัยว่า ควรจะเป็นไปในลักษณะใด โดยอาศัยหลักของเหตุผลซึ่งอาจได้มาจากประสบการณ์หรือเอกสารงานวิจัยที่ค้นคว้ามาอนุมาน (Deductive) ว่าปัญหานั้นควรจะตอบได้เช่นไร คำตอบที่ได้จากการเดาหรือคาดคะเนนี้เรียกว่า สมมติฐาน ในขั้นนี้ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาด้วยว่าปัญหาและสมมติฐานในการวิจัยมีความสอดคล้องกัน และสมเหตุสมผลพอที่จะตรวจสอบได้หรือไม่ด้วย 5. พิจารณาแหล่งที่มาของข้อมูล (Source of data) คือผู้วิจัยจะต้องระลึกอยู่เสมอว่ากำลังทำวิจัยเรื่องอะไร ข้อมูลที่จะทำการวิจัยคืออะไร อยู่ที่ไหน กลุ่มตัวอย่างเป็นใคร จะได้มาอย่างไร และเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีใด เป็นต้น 6. สร้างเครื่องมือที่จะใช้ในการวิจัย (Formulating research instrument) คือการเตรียมอุปกรณ์ในการที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลให้พร้อมก่อนที่จะทำการวิจัย โดยพิจารณาจากรูปแบบของการวิจัยและความต้องการประเภทของข้อมูลเป็นสำคัญ เพื่อที่ผู้วิจัยจะได้กำหนดและเลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับงานวิจัยได้มากที่สุด งานในขั้นนี้ผู้วิจัยควรจะได้มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือว่ามีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งเราเรียกลักษณะการทำงานอย่างนี้ว่า Pilot study คือทดลองใช้กับกลุ่มย่อย ๆ เพื่อหาข้อบกพร่องและฝึกการแก้ปัญหาร และเป็นการประเมินงานวิจัยเบื้องต้นว่าจะมีคุณค่า คุ้มกับเวลา ค่าใช้จ่าย กำลังกายและกำลังสมองที่จะทำต่อไปหรือไม่ 7. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting data) คือการนำเอาเครื่องมือไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างจริง ๆ ในการวิจัย ถ้าเป็นการวิจัยแบบทดลองก็เริ่มลงมือทดลองนั่นเอง 8. การจัดกระทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล (Scrutinizing data and Analysis of data) เป็นการเลือกสรรข้อมูล จัดประเภทข้อมูลหรือจัดหมวดหมู่ของข้อมูล เพื่อให้สะดวกต่อการที่จะนำไปวิเคราะห์ในอันที่จะนำไปตรวจสอบสมมติฐานตลอดจนพิจารณาเลือกใช้สถิติที่จะวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูล เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลแล้วก็คิดหาวิธีการนำเสนอค่าสถิติที่ได้ว่าควรจัดเสนอแบบใดจึงจะเหมาะสม และมีความหมายมากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการเขียนรายงานการวิจัย 9. ตีความผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุป (Interpretation of data) ในทางปฏิบัติมีวิธีตีความหรือให้ความหมายข้อมูลอยู่ 2 วิธี ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้มีผู้นิยมใช้พอ ๆ กัน คือวิธีหนึ่งจะอธิบายเฉพาะผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเท่านั้น ไม่นำข้อคิดเห็นส่วนตัวหรือทฤษฎีหรือผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องมาประกอบข้อสรุป กล่าวคือให้ตัวเลขหรือผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้นเป็นสิ่งแสดงข้อเท็จจริง ผู้อ่านจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ส่วนอีกวิธีหนึ่งจะอธิบายผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสอดแทรกความคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่อ้างอิงมาจากทฤษฎีและผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องมาประกอบเข้ากับผลของการวิเคราะห์ที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ โดยเชื่อว่าจะช่วยให้การตีความผลการวิเคราะห์ข้อมูลมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น 10. การเขียนรายงานการวิจัยและการจัดพิมพ์ (Research report and publishing) เป็นการรายงานข้อเท็จจริงที่ค้นพบเพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ผู้วิจัยจะต้องเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และรัดกุม แล้วตรวจดูความถูกต้องอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะจัดพิมพ์ต่อไป
2. การกำหนดขอบเขตของปัญหา เมื่อได้ปัญหาที่จะทำการวิจัยแน่นอนแล้วควรจะกำหนดขอบเขตของ ปัญหาให้ชัดแจ้ง เนื่องจากการกำหนดปัญหาที่แน่นอนช่วยผู้วิจัยได้ดังนี้ 3. การศึกษาเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการศึกษาสาระความรู้ แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นในตำรา หนังสือ วารสาร รายงานการวิจัยและเอกสาร อื่น ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้วิจัยในข้อต่อไปนี้ 4. การกำหนดสมมุติฐาน หมายถึง การเขียนข้อความที่เป็นข้อคาดหวังเกี่ยวกับความ แตกต่างที่อาจเป็นไปได้ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งสมมุติฐานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจริงเสมอไป 5. การเขียนเค้าโครงการวิจัย การเขียนเค้าโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นหนึ่ง เนื่องจากเค้าโครงการวิจัยนั้นจะเป็นแบบแผนในการดำเนินงานวิจัย อย่างมี ระบบ ควร จะ ประกอบด้วย 6. การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ก่อนที่จะดำเนินการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องทราบว่า จะใช้เครื่องมืออะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือนั้นมีหรือยัง ถ้ายังไม่มีต้องดำเนินการสร้างและนำเครื่องมือนั้นไป ทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลเองเสมอไป กรณีที่ทราบว่ามีเครื่องมือที่สร้างขึ้นอย่างเป็นมาตรฐานเหมาะสมกับการที่จะนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ก็อาจยืมเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ได้ถ้าสงสัยในเรื่องคุณภาพของเครื่องมือ เนื่องจากสร้างไว้นานแล้วก็อาจนำมาทดลองใช้และวิเคราะห์หาคุณภาพใหม่อีกครั้งหนึ่งเมื่อพบว่ามีคุณภาพเข้าเกณฑ ์ก็นำมาใ ้เก็บรวบ รวมข้อมูลได้ (การวิจัยบางเรื่องอาจไม่ใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลที่เป็นแบบแผนก็จะตัดขั้นตอนนี้ออกไป) 7. ขั้นดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะต้องทราบว่าในการทำการวิจัยนั้นสามารถจะรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ประชากรทั้งหมด หรือ สุ่มตัวอย่าง ซึ่งในการสุ่มตัวอย่างนั้นก็ต้องทราบว่าจะต้องสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการใดที่จะให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของ กลุ่มประชากร ข้อมูลที่ผู้วิจัยจะทำการรวบรวมนั้นมาจากไหน ปฐมภูมิ (Primary Source) หรือทุติยภูมิ (Secondary Source) 8. การจัดกระทำข้อมูล (Data Processing) การจัดกระทำข้อมูลเป็นวิธีการดำเนินการอย่างมีระบบตามลำดับขั้น กับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย การจัดกระทำข้อมูลประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 9. การสรุปผลการวิจัยและเขียนรายงาน สำหรับการที่จะทำให้ผู้มีอาชีพครูเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและเป็นวิชาชีพชั้นสูงนั้น ครูจะต้องมีกระบวนการพัฒนาอาชีพตนเอง อย่างมีระบบ รอบคอบ รัดกุม ละเอียดถี่ถ้วน อาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วน อาศัยหลักวิชาในการพัฒนาและศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางรอบด้าน ให้ได้ความรู้ใหม่ในการบรรยายสภาพการณ์ต่าง ๆ หรือได้นวัตกรรมใหม่ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและพัฒนางานในหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล นั่นคือ คุณภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และคุณภาพของผู้เรียน นั่นเอง ซึ่งกระบวนการนี้เราจะเรียกว่า “การวิจัย” และเป็นการวิจัยที่มุ่งพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือพัฒนาพฤติกรรมของผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรหรือสังคมคาดหวัง ซึ่งอาจจะดำเนินการโดยครูหรือคณะครู หรือดำเนินการร่วมกับผู้เรียนก็ได้ การวิจัยนี้เราจะเรียกว่า “การวิจัยในชั้นเรียน” นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีการตรากฎหมายการศึกษาของชาติขึ้น ส่งผลให้มีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ขึ้น และเพื่ออนุวัติให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ เพื่อยกมาตรฐานวิทยฐานะและจรรยาวิชาชีพครู พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้กำหนดให้ครูใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ (มตารา 24 (5)) ให้ครูทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา (มาตรา 30) ให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (มาตรา 67) และยังกำหนดให้ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ต้องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู อีกด้วย ด้วยเหตุผลทางกฎหมายและสภาพการณ์ของสังคม เศรษฐกิจ วิทยาการและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญการจะทำให้ครูเป็นผู้ที่ได้ชื่อเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและเป็นวิชาชีพชั้นสูง ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอย่างภาคภูมิ จึงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการใช้การวิจัยโดยเฉพาะการวิจัยในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่การเป็นผู้ได้ประกอบวิชาชีพครู ในการวิจัยโดยทั่วไปสามารถจำแนกประเภทตามเกณฑ์ของการจำแนก หลายเกณฑ์ ขอยกตัวอย่างบางเกณฑ์ดังนี้ 1. จำแนกตามประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย ได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ และการวิจัยประยุกต์ 2. จำแนกตามระเบียบวิธีการวิจัย ได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยเชิงพรรณนาหรือบรรยาย การวิจัยเชิงทดลอง และการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ 3. จำแนกตามสาขาวิชา ได้ 3 ประเภท คือ การวิจัยทางสังคมศาสตร์ การวิจัยทางมนุษยศาสตร์ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 4. จำแนกตามข้อมูลที่ใช้ ได้ 2 ประเทภ คือ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ในการวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ อาจจะไม่สามารถแยกประเภทได้อย่างเด็ดขาดอาจจะจัดอยู่ได้ในบางประเภทหรือหลายประเภทในขณะเดียวกัน เช่น ในการวิจัยเรื่องหนึ่งอาจจะเป็นการวิจัยเพื่อพรรณนาหรือบรรยาย ปัญหา และแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหาและทดลองนวัตกรรมการแก้ปัญหา การวิจัยนี้จึงเป็นทั้งการวิจัยเชิงพรรณนาหรือบรรยายและการวิจัยเชิงทดลอง หรือการวิจัยบางเรื่องอาจจะต้องใช้ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ หรือการวิจัยบางเรื่องอาจจะเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาหลายสาขาหรือเรียกว่า “สหวิทยาการ” (Interdisciplinary) เป็นต้น เช่นเดียวกัน ในการวิจัยในชั้นเรียนก็อาจยึดเกณฑ์การจำแนกเช่นเดียวกันกับการวิจัยทั่วไป ก็ได้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยในชั้นเรียนมีลักษณะเฉพาะอาจจะจำแนกตามเกณฑ์เฉพาะเพิ่มขึ้นได้ดังนี้ 1. จำแนกตามลักษณะความเข้มของกระบวนการวิจัย ได้ 3 ประเภท คือ 1.1 การวิจัยหน้าเดียว ซึ่งเป็นการวิจัยที่สามารถเขียนรายงานเพียงหน้าเดียวหรือหลายหน้าแต่ไม่มากนัก และการเขียนจะเขียนเพียงบอกปัญหาและวิธีแก้ปัญหาและผลการแก้ปัญหาอย่างย่อพอเข้าใจคล้ายกับบทคัดย่อของการวิจัยอื่น 1.2 การวิจัยอย่างง่าย เป็นการวิจัยที่ค่อนข้างมีกระบวนการที่ครบถ้วนแต่การเขียนรายงานการวิจัยบางหัวข้ออาจขาดความสมบูรณ์บ้างเช่น เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.3 การวิจัยที่สมบูรณ์ เป็นการวิจัยที่อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ดำเนินการตามกระบวนการที่ครบถ้วน เขียนรายงานการวิจัยอย่างสมบูรณ์ 2. จำแนกตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของการวิจัย ได้ 2 ประภท คือ 2.1 การวิจัยเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา เช่น การวิจัยเพื่อวิเคราะห์ผู้เรียนหรือวินิจฉัยผู้เรียน การวิจัยเพื่อประเมินคุณภาพการศึกษา การวิจัยเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการเรียนรู้ เป็นต้น 2.2 การวิจัยเพื่อประยุกต์ทฤษฎีในการแก้ปัญหาและพัฒนา เช่น การวิจัยเพื่อสร้างสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อสร้างเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อปรับแก้พฤติกรรมบางอย่างของผู้เรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะหรือพฤติกรรมของผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศ เป็นต้น จากที่ทราบประเภทของการวิจัยดังกล่าวแล้ว การวิจัยที่นิยมหรือควรส่งเสริมให้ครูทำการวิจัยในชั้นเรียน ควรจะเป็นการวิจัยที่มุ่งที่จะศึกษาผู้เรียนโดยเฉพาะปัญหาการเรียนรู้ และนำไปสู่การแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา ทดลองแก้ปัญหาและศึกษาผลการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นงานในหน้าที่ของครู และเป็นการวิจัยที่มีความสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักวิชา ในบทความนี้ จึงจะนำเสนอกระบวนและขั้นตอนการวิจัยในชั้นเรียนที่เป็นการวิจัยเชิงทดลองและเป็นการวิจัยที่สมบูรณ์ กระบวนและขั้นตอนการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยโดยทั่วไปประยุกต์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นตอน คือ สังเกตปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล เช่นเดียวกัน การวิจัยในชั้นเรียน ที่เป็นการวิจัยเชิงทดลองและเป็นการวิจัยที่สมบูรณ์ก็ได้ประยุกต์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นี้เช่นกัน และมีขั้นตอน ดังนี้ คือ 1. กำหนดประเด็นปัญหาการวิจัย 2. แสวงหาหรือกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา และตั้งสมมติฐาน 3. วางแผนการทดลองแก้ปัญหาและเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1 ออกแบบการวิจัย 3.2 กำหนดประชากรและเลือกกลุ่มตัวอย่าง 3.3 สร้างเครื่องมือในการวิจัย 4. วิเคราะห์ข้อมูล แปรผลการวิเคราะห์ข้อมูล 5. สรุปผล 1.1 กำหนดขอบเขตที่จะศึกษาพัฒนาหรือแก้ปัญหา โดยที่ครูจะต้องกำหนดขอบเขตให้สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของตน เช่น กำหนดวิชา กำหนดเนื้อหาวิชา บทเรียนหรือหน่วยเรียน ระดับชั้น ที่ตนเองรับผิดชอบในการเรียนการสอน หากครูได้รับผิดชอบทุกวิชา (โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา) ก็ต้องกำหนดว่าจะพัฒนาวิชาอะไร ควรเป็นวิชาที่มีปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุดหรือเป็นวิชาที่สอดคล้องกับความถนัดหรือชำนาญของผู้วิจัยและตรงกับวิชาเอกที่ครูผู้วิจัยสำเร็จมา 1.2 กำหนดจุดพัฒนาหรือแก้ปัญหา ในขั้นนี้ครูผู้วิจัยจะพิจารณา ว่าการทำหน้าที่ของตนเองนั้นมีปัญหาหรือไม่จุดใด เพื่อกำหนดว่าจะทำการแก้ปัญหาวิชานี้ตลอดปีหรือตลอดภาคเรียน หรือเป็นบางบทเรียนหรือบางหน่วยเรียน หรือจะเลือกพัฒนาเป็นรายทักษะหรือสมรรถภาพ เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ทักษะการพูดและฟังภาษาอังกฤษ หรือค่านิยมบางประการ เป็นต้น ครูผู้วิจัยจะต้องทำการวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งสามารถทำได้โดยง่ายคือ เปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงกับสภาพที่คาดหวัง หรือพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำในเนื้อหาใด บทใดหรือทักษะใด ครูผู้วิจัยอาจนำเอาผลการประเมินรายจุดประสงค์ การเรียนรู้มาวิเคราะห์ว่าจุดประสงค์ใดที่ผู้เรียนได้คะแนนเฉลี่ยต่ำ หรือครูผู้วิจัยจะใช้เครื่องมือประเมินผลประเภทแบบทดสอบวินิจฉัย โดยเฉพาะก็ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถหาจุดพัฒนาโดยการสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนของครูผู้วิจัยเอง ถ้าพบว่า พฤติกรรมของผู้เรียนยังขาดคุณลักษณะที่ดีด้านใด ก็สามารถกำหนดจุดพัฒนาได้ เราอาจจะเริ่มพิจารณาที่ผลผลิตและผลกระทบก่อน จากสภาพที่เป็นจริงของคุณภาพผู้เรียนแตกต่างจากสภาพที่คาดหวังหรือไม่ หากแตกต่างจึงพิจารณาว่ากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และปัจจัยในการเรียนรู้ตามสภาพที่เป็นจริงอยู่นั้นเป็นไปตามที่คาดหวังหรือยัง หากยังแตกต่างกัน การแก้ปัญหาก็คือ จัดให้มีปัจจัยหรือกระบวนการที่เป็นที่คาดหวัง เพราะเหตุว่า หากมีแก้ปัญหาที่ปัจจัย ก็จะส่งผลมายังกระบวนการ และส่งผลต่อผลผลิตและผลกระทบในที่สุด ในขั้นตอนนี้จะทำให้ทราบว่าสาเหตุของปัญหาของผลผลิตหรือผลกระทบ นั่นเอง ดังแผนภูมิที่แสดงข้างล่าง นี้ สภาพที่เป็นจริง (ปัจจุบัน) ............สภาพที่คาดหวัง (เป้าหมายที่กำหนด) ปัจจัยการเรียนรู้.................................... ปัจจัยการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้............................กระบวนการเรียนรู้ ผลผลิต(คุณภาพผู้เรียน)..........................ผลผลิต(คุณภาพผู้เรียน) ผลกระทบ..........................................ผลกระทบ ปัญหา แผนภูมิ แสดงการวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ขั้นตอนที่ 2 แสวงหาหรือกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา และตั้งสมมติฐาน จากขั้นตอนที่ 1 ทำให้ทราบว่ามีปัญหาอยู่ที่จุดใด ในขั้นนี้เป็นขั้นตอนที่ครูผู้วิจัยจะต้องแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา และตั้งสมมติฐานว่า แนวทางการแก้ปัญหานี้จะทำให้ปัญหาหมดไป เช่น นักเรียนที่เรียนตามแนวทางที่ครูผู้วิจัยสร้างขึ้นจะมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นหรือสูงกว่าการเรียนรู้โดยวิธีปกติ เป็นต้น สำหรับการแสวงหาแนวทางครูผู้วิจัยจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งตีพิมพ์เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ดังนี้ 1) ตำรา เช่น ตำราเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีหรือหลักการต่าง ๆ ตำราเกี่ยวกับหลักการสอน จิตวิทยาการเรียนรู้ การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในการเรียนการสอน พฤติกรรมการสอนวิชานั้น ๆ การประเมินผลการเรียนทั่วไป หรือการประเมินผลในรายวิชานั้น ๆ การใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ เป็นต้น 2) เอกสารเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั่วไป เช่น บทความ หรือคอลัมน์ในนิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์หรือสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ที่นำเสนอแนวคิด ทฤษฎี หลักการหรือวิธีปฏิบัติที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำวิจัย 3) รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือบทคัดย่อการวิจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เมื่อศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว จะทำให้ครูผู้วิจัยเข้าใจแนวคิด ทฤษฎีหรือหลักการ เห็นแบบอย่างการแก้ปัญหาและสามารถเลือกแนวทางการแก้ปัญหา หรือกำหนดนวัตกรรมที่จะใช้แก้ปัญหา ในการดำเนินการในขั้นตอนนี้ครูผู้วิจัยจะต้องทำการรวบรวม แล้วนำมาเรียบเรียงและสรุปจากการศึกษาค้นคว้าในรายงานการวิจัยด้วย สำหรับนวัตกรรมที่นิยมนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับผู้เรียนในการแก้ปัญหา การเรียนรู้ ที่ครูผู้วิจัยสามารถเลือกใช้ มี 2 ประเภท คือ 1) ประเภทผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์ แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.1) สิ่งพิมพ์ ได้แก่ เอกสาร บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน แบบฝึก เกม/นิทาน/การ์ตูน เป็นต้น 1.2) โสตทัศนูปกรณ์ ได้แก่ ภาพยนตร์ สไลด์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เทปเพลง เทปเสียงเนื้อหา วีดีทัศน์ เป็นต้น 2) ประเภทรูปแบบ/เทคนิค ได้แก่ แผนการสอน การเรียนแบบศูนย์การเรียน การสอนโดยใช้โครงงาน การสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบการแก้ปัญหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนสำคัญที่สุด (child center) รูปแบบการสอนอื่น ๆ ที่ผู้วิจัยคิดขึ้นเอง เป็นต้น ขั้นตอนที่ 3 วางแผนการทดลองแก้ปัญหาและเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อกำหนดแนวทางหรือนวัตกรรมการแก้ปัญหาแล้ว ครูผู้วิจัยจะดำเนินการ ดังต่อไปนี้ 3.1 ออกแบบการวิจัย เป็นขั้นตอนในการกำหนดวิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่านวัตกรรมที่กำหนดขึ้นนั้น ใช้ได้ผลหรือไม่ หรือแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ครูผู้วิจัยสามารถเลือกแบบการวิจัยอย่างง่าย จากตัวอย่างแบบการวิจัยต่อไปนี้ จากรายละเอียดและแผนภูมิการวิจัยแต่ละแบบ โดยมีสัญลักษณ์ในแบบการวิจัย ดังนี้ E แทน กลุ่มทดลอง C แทน กลุ่มควบคุม O1 แทน การประเมินก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ O2 แทน การประเมินก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ X แทน การทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ ~X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีอื่นที่ไม่ใช้นวัตกรรม แบบการวิจัยที่ 1 แบบ One shot case study E....... X.................O1 แบบนี้จะเป็นแบบทดลองใช้นวัตกรรมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วประเมินหลังเรียน แล้วนำผลไปเทียบกับเกณฑ์ที่วางไว้ ซึ่งผู้วิจัยสามารถกำหนดเกณฑ์ขึ้นมาเองได้ แบบนี้เหมาะสำหรับการดำเนินการวิจัยที่มีนักเรียนเพียงกลุ่มเดียว และเนื้อหาที่ใช้เป็นจุดพัฒนาหรือแก้ปัญหา เป็นเรื่องใหม่สำหรับนักเรียนจึงไม่จำเป็นต้องประเมินก่อนเรียนรู้ แบบการวิจัยที่ 2 แบบ One group pretest-posttest E........O1...............X................O2 เป็นแบบประเมินผลก่อนแล้วจึงทดลองใช้นวัตกรรมสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และประเมินผลหลังเรียนอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้เครื่องมือในการประเมินเดิมหรือคู่ขนานกัน (เครื่องมือที่วัดคุณลักษณะเดียวกัน ระดับความยากง่ายเท่ากัน แต่แตกต่างกันบ้าง) ก็ได้ แล้วทำการเปรียบเทียบคะแนนการประเมินผลก่อนและหลังการทดลองใช้นวัตกรรม แบบนี้จะมีความเหมาะสมกับวิจัยที่ใช้เนื้อหาการเรียนรู้ที่นักเรียนอาจเรียนรู้มาแล้ว และจะเหมาะสมอย่างยิ่งในการทดลองสอนซ่อมเสริม แบบการวิจัยที่ 3 แบบ Static-group comparison หรือ control group posttest only E..........X...............O2 C.........~X...............O2 เป็นแบบการวิจัยที่มีนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีอื่นหรือวิธีปกติ และมีนักเรียนกลุ่มทดลองใช้นวัตกรรมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และทำการประเมินผลหลังจากเรียนทั้งสองกลุ่ม นำผลการประเมินมาเปรียบเทียบกัน แบบนี้จะมีความเหมาะสมเมื่อครูผู้วิจัยสามารถจัดการเรียนรู้ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม โดยที่จะต้องทำหรือเชื่อว่านักเรียนทั้งสองกลุ่มมีระดับสติปัญหาหรือทักษะเท่ากัน เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบและเกิดความเชื่อถือได้ในคำตอบของการวิจัยมากยิ่งขึ้น และเป็นเนื้อหาใหม่หรือเรื่องใหม่ที่นักเรียนไม่เคยเรียนรู้มาก่อนจึงไม่จำเป็นต้องประเมินก่อน แบบการวิจัยที่ 4 แบบ control group pretest-posttest E...............O1............ X...............O2 C...............O1............ X...............O2 เป็นแบบการวิจัยที่มีนักเรียนกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองเช่นเดียวกับแบบที่ 3 แต่ต่างกันตรงที่แบบนี้จะมีการประเมินก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และมีการเปรียบเทียบผลการประเมินก่อนของทั้งสองกลุ่ม มีการเปรียบเทียบผลการประเมินก่อนและหลังเรียนในแต่ละกลุ่ม และเปรียบเทียบผลการประเมินหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของทั้งสองกลุ่มด้วย แบบนี้จะมีความเหมาะสมเมื่อครูผู้วิจัยสามารถจัดการเรียนรู้ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม โดยที่จะต้องทำหรือเชื่อว่านักเรียนทั้งสองกลุ่มมีระดับสติปัญหาหรือทักษะพื้นฐานเท่ากัน เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบและเกิดความเชื่อถือได้ใน คำตอบของการวิจัยมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับแบบที่ 3 แต่เป็นเนื้อหาเดิมหรือเรื่องเดิมหรือเรื่องที่ นักเรียนอาจมีการเรียนรู้มาเองแล้ว จึงต้องประเมินผลก่อน และยังเป็นการเปรียบเทียบเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพื้นฐานของนักเรียนทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันก่อนการทดลอง อีกด้วย 3.2 กำหนดประชากรและเลือกกลุ่มตัวอย่าง ในการดำเนินการวิจัย ครูผู้วิจัยจะต้องกำหนดว่าจะต้องใช้นักเรียนกี่คนในการทดลอง ซึ่งครูผู้วิจัยสามารถกำหนดเองได้จากสภาพห้องเรียนที่เป็นจริง เช่น 5 – 50 คน จากสภาพการจัดและแบบของการวิจัยที่กำหนด โดยเฉพาะถ้ารับผิดชอบจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพียงห้องเดียว ในการดำเนินการวิจัยครูผู้วิจัยสามารถใช้ประชากร(หมายถึงนักเรียนทั้งหมดเท่าที่มี)ได้เลย ซึ่งลักษณะนี้จะเรียกว่า ได้ทำการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) แต่ถ้าหากครูผู้วิจัยรับผิดชอบการเรียนการสอนมากกว่า 1 ห้อง สามารถศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับขนาดของห้องเรียนปกติ จำนวนประมาณ 30 คนก็ได้ โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ครูผู้วิจัยอาจเลือกกลุ่มตัวอย่างตามกรณีตัวอย่าง ดังนี้ กรณีที่ 1 ครูผู้วิจัยรับผิดชอบการเรียนการสอนนักเรียน 1 ห้อง จำนวนประมาณ 30 คน และเลือกแบบการวิจัยเป็นแบบที่ 1 หรือแบบที่ 2 สามารถใช้นักเรียนทุกคนในการดำเนินการทดลองใช้นวัตกรรม ถ้าอย่างนี้เรียกว่าดำเนินการวิจัยโดยศึกษาจากประชากร แต่อาจจะเรียกว่ากลุ่มตัวอย่างก็ได้ หากผู้วิจัยต้องการสรุปผลการวิจัยอ้างอิงไปสู่นักเรียนที่อื่นด้วยหรือเรียกว่ามีความเที่ยงตรงภายนอก (External validity) ด้วย กรณีที่ 2 ครูผู้วิจัยรับผิดชอบการเรียนการสอนนักเรียน 3 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน และเลือกใช้นักเรียนห้องใดห้องหนึ่งหรือสุ่มนักเรียนมาเป็นกลุ่มทดลองจากทั้ง 3 ห้อง จำนวน 30 คนในการวิจัยแบบที่ 1 และแบบที่ 2 อย่างนี้เรียกว่า ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 30 คน จากประชากรทั้ง 90 คน กรณีที่ 3 ครูผู้วิจัยรับผิดชอบการเรียนการสอนนักเรียน 2 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน และเลือกแบบการวิจัยเป็นแบบที่ 3 หรือแบบที่ 4 สามารถใช้นักเรียนห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุมและอีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองหรือสุ่มตัวอย่างมาเป็นกลุ่มควบคุม 30 คน กลุ่มทดลอง 30 คน จาก นักเรียนทั้ง 2 ห้อง ถ้าอย่างนี้เรียกว่าดำเนินการวิจัยโดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 60 คน จากประชากร 60 คน กรณีที่ 4 ครูผู้วิจัยรับผิดชอบการเรียนการสอนนักเรียน 3 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน สามารถสุ่มใช้นักเรียนห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุม 30 คน และอีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน ถ้าอย่างนี้เรียกว่าดำเนินการวิจัยโดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 60 คน จากประชากร 90 คน 3.3 สร้างเครื่องมือในการวิจัย เครื่องมือในการวิจัยในชั้นเรียน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลองหรือเป็นนวัตกรรม และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังมีรายละเอียด ดังนี้ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลองหรือเป็นนวัตกรรม เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสำเร็จรูป หนังสืออ่านประกอบ ชุดการเรียนรู้สื่อประสม เป็นต้น ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้อาจมีส่วนประกอบอื่นอีก เช่น แผนการสอน ใบงาน แบบฝึก ใบความรู้ สื่อหรืออุปกรณ์อื่น ๆ เป็นต้น การสร้างเครื่องมือประเภทนี้จะมีขั้นตอนเพื่อให้เกิดคุณภาพของเครื่องมือ ดัง ตัวอย่างขั้นตอนการสร้างนวัตกรรม ชุดการสอน ต่อไปนี้ ตัวอย่างขั้นตอนการสร้างนวัตกรรม ขั้นตอนการสร้างชุดการสอน 1. ขั้นตอนการสร้างชุดการสอน 1.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู เอกสารหลักสูตรอื่น ๆ 1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ เทคนิคและวิธีสร้างชุดการสอน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.3 วิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์การเรียน แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยหรือคาบเรียน 1.4 เขียนแผนการสอน หรือออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 1.5 สร้างชุดการสอน โดยให้มีส่วนประกอบครบถ้วนตามความเหมาะสม 2. ขั้นพัฒนาชุดการสอน 2.1 ทดลองใช้ 2.1.1 นำชุดการเรียนการสอนไปทดลองสอน 1:1 (ครู:นักเรียน) ใช้แบบบันทึกการทดลองใช้นวัตกรรม โดยจะบันทึกพฤติกรรมการเรียนการสอนต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 2.1.2 นำชุดการเรียนการสอนไปทดลองสอน 1:10 (กลุ่มเล็ก) ใช้แบบบันทึกการ ทดลองใช้นวัตกรรม โดยจะบันทึกพฤติกรรมการเรียนการสอนต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไข 2.1.3 นำชุดการเรียนการสอนไปทดลองสอน 1:100 (ภาคสนาม) จะใช้แบบบันทึก คะแนนจากการทดลองใช้นวัตกรรม โดยจะบันทึกคะแนนจากการประเมินระหว่างเรียนและหลังเรียน เพื่อนำมาหาค่า E1/E2 2.2 นำชุดการสอน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ โดยที่ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 3-5 คน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านเนื้อหา หลักสูตร การสอน เทคโนโลยีการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา การวิจัย วัดผลและประเมินผล พิจารณา โดยอาจใช้แบบประเมิน แล้วจึงปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ 2.3 นำชุดการสอน ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบบทดลอง 2.4 เปรียบเทียบผลการเรียน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เจตคติต่อการเรียน เป็นต้น 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ เป็นต้น โดยที่เครื่องมือเหล่านี้ต้องอาศัยการสร้างตามหลักวิชา มีขั้นตอนสร้างให้เกิดคุณภาพ ของเครื่องมือ ก่อนนำไปใช้ดังนี้ ตัวอย่างการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตัวอย่างการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบ 1. ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบที่ดี และวิธีวิเคราะห์หลักสูตร 2. ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู เอกสารหลักสูตรอื่น ๆ 3. สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร แล้วนำตารางวิเคราะห์ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์พิจารณา 4. สร้างแบบทดสอบ มากกว่าต้องการจริงประมาณ ร้อยละ 20-50 เช่น ต้องการ 100 ข้อ จะสร้างประมาณ 120-150 ข้อ 5. นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ตรวจสอบความตรง เชิงเนื้อหาและโครงสร้าง (Content and Construct Validity) โดยที่ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 3-5 คน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านเนื้อหา หลักสูตร การสอน การวิจัย วัดผลและประเมินผล ในขั้นตอนนี้จะใช้แบบประเมินความสอดคล้องของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ด้วย 6. ปรับปรุงแก้ไขตามข้อแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ 7. นำไปแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง และได้เรียนเนื้อหาในแบบทดสอบนี้แล้ว 8. นำกระดาษคำตอบมาวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพ ด้านความเที่ยง (Reliability) ความยากและอำนาจจำแนก (อาจทำไปทดลองสอบซ้ำอีก 2-3 ครั้ง และวิเคราะห์ซ้ำอีกก็ได้) 9. คัดเลือกข้อสอบที่เข้าเกณฑ์ คือ ความยาก .20 ถึง .80 ค่าอำนาจจำแนก .20 ถึง 1.00 และให้ได้ข้อสอบครบถ้วนตามต้องการ และคุณภาพด้านความเที่ยง มีค่าตั้งแต่ .70 ขึ้นไปถือว่าใช้ได้ 10. พิมพ์ข้อสอบฉบับจริง ขั้นตอนที่ 4 และขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล แปลผล และสรุปผลการวิจัย ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัยและสรุปผลการวิจัย ตามแบบการวิจัยที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น ตามสูตรและใช้สัญลักษณ์ในสูตร ดังนี้ แทน ค่าสถิติทดสอบจากการกระจายแบบที X แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนของนักเรียน S แทน ค่าส่วนเบี่ยวเบนมาตรฐาน D แทน ค่าความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน n แทน จำนวนนักเรียน df แทน ค่าชั้นแห่งความอิสระ แบบการวิจัยที่ 1 เราจะสรุปผลว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้วิจัยสร้างขึ้นทำให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ เกณฑ์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ เราสามารถนำเอาค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาทดสอบกับเกณฑ์หรือเป้าหมาย โดยใช้สูตรการทดสอบทีแบบ t-test one sample group ดังนี้ โดยที่ เมื่อคำนวณได้ค่า t ตามสูตรข้างบนนี้แล้ว ให้นำไปเปรียบเทียบกับค่า t วิกฤติในตารางซึ่งสามารถหาดูได้ในตำราเกี่ยวกับการวิจัยทั่วไป โดยวิธีดูตารางให้ใช้ค่า df ประกอบ และกำหนด นัยสำคัญทางสติถิ หรือความมั่นใจในการสรุปผลการวิจัย เช่น ถ้ามีนักเรียน 30 คน df=30-1=29 กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หรือมั่นใจร้อยละ 95 ค่า t วิกฤติเท่ากับ 1.699 เกณฑ์การเปรียบเทียบคือ ค่า t จากการคำนวณจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ค่า t วิกฤติในกรณีตัวอย่างนี้ ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 1.699 ส่วนการสรุป หากค่า t คำนวณมากกว่าหรือเท่ากับค่า t วิกฤติ เราจะสรุปได้ตามตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่างการสรุปผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ด้วยนวัตกรรมสูงกว่าหรือสูงกว่าร้อยละ 70 (เป้าหมายที่กำหนด ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แบบการวิจัยที่ 2 เราจะสรุปผลว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้วิจัยสร้างขึ้นทำให้นักเรียนมีคุณลักษณะเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนหรือไม่ เราสามารถนำเอาค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาทดสอบความแตกต่างกัน โดยใช้สูตรการทดสอบทีแบบ t-test dependent sample group ดังนี้ โดยที่ เมื่อคำนวณได้ค่า t ตามสูตรข้างบนนี้แล้ว ให้นำไปเปรียบเทียบกับค่า t วิกฤติ เช่นเดียวกับแบบการวิจัยที่ 1 แต่จะต่างที่การสรุป หากค่า t คำนวณมากกว่าหรือเท่ากับค่า t วิกฤติ เราจะสรุปได้ตามตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่างการสรุปผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยนวัตกรรมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แบบการวิจัยที่ 3 เราจะสรุปผลว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้วิจัยสร้างขึ้นทำให้นักเรียนมีคุณลักษณะมากกว่านักเรียนที่เรียนตามปกติ เราสามารถนำเอาค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของทั้งสองกลุ่มมาทดสอบความแตกต่างกัน โดยสามารถเลือกใช้สูตร การทดสอบทีแบบ t-test independent sample group ซึ่งมี 2 สูตร ดังต่อไปนี้ สูตรที่ 1 กรณีสมมติว่าค่าความแปรปรวนของทั้งสองกลุ่มเท่ากัน โดยที่ หรือ สูตรที่ 2 กรณีสมมติว่าค่าความแปรปรวนทั้งสองกลุ่มไม่เท่ากัน โดยที่ เมื่อคำนวณได้ค่า t ตามสูตรข้างบนนี้แล้ว ให้นำไปเปรียบเทียบกับค่า t วิกฤติในตารางซึ่งสามารถหาดูได้ในตำราเกี่ยวกับการวิจัยทั่วไป โดยวิธีดูตารางให้ใช้ค่า df ประกอบ และกำหนด นัยสำคัญทางสติถิ หรือความมั่นใจในการสรุปผลการวิจัย เช่น ถ้ามีนักเรียนกลุ่มละ 30 คน ค่า df = 30+30-2 = 58 หรือมีค่าประมาณ 58 จากสูตรที่ 2 กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หรือมั่นใจร้อยละ 95 ค่า t วิกฤติเท่ากับ 1.29 เกณฑ์การเปรียบเทียบคือ ค่า t จากการคำนวณจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ค่า t วิกฤติในกรณีตัวอย่างนี้ ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 1.29 ส่วนการสรุป หากค่า t คำนวณมากกว่าหรือเท่ากับค่า t วิกฤติ เราจะสรุปได้ตามตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่างการสรุปผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ด้วยนวัตกรรมสูงกว่านักเรียนที่เรียนตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แบบการวิจัยที่ 4 เราจะสรุปผลว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้วิจัยสร้างขึ้นทำให้นักเรียนมีคุณลักษณะมากกว่านักเรียนที่เรียนตามปกติ เราสามารถนำเอาค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินหลัง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ของทั้งสองกลุ่มมาทดสอบความแตกต่างกันเช่นเดียวกับแบบที่ 3 และ ยังสามารถนำเอาค่าเฉลี่ยของคะแนนการประเมินก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของทั้งสองกลุ่มมาทดสอบความแตกต่างกัน เพื่อยืนยันว่าก่อนเรียนนักเรียนมีความรู้พื้นฐานไม่แตกต่างกัน โดยใช้สูตรการทดสอบทีแบบ t-test independent sample group เช่นเดียวกับแบบที่ 3 นอกจากยังสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของการประเมินก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในทั้งสองกลุ่มได้ โดยใช้ สูตรการทดสอบที แบบ t-test dependent sample group เช่นเดียวกับแบบที่ 2 ในการสรุปผลการวิจัยเราสามารถทำได้ตามแบบการวิจัยที่ 2 และ 3 แล้วแต่กรณี การเขียนรายงานการวิจัย จากขั้นตอนการวิจัยดังกล่าวมาข้างต้น ครูผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงานการวิจัย ซึ่งมีส่วนประกอบ และรายละเอียดจะนำเสนอในโอกาสหน้าต่อไป ดังนี้ ส่วนประกอบตอนต้น ปก บทที่ 1 บทนำ ภูมิหลัง จุดมุ่งหมายของการวิจัย สมมติฐานการวิจัย ความสำคัญของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ บทที่ 2 เอกสารและรายงานการวิจัย เอกสารที่เกี่ยวข้อง รายงานการวิจัย บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ประชากร กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีดำเนินการทดลอง วิธีวิเคราะห์ข้อมูล สูตรสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปลการวิจัย อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ ส่วนประกอบตอนท้าย บรรณานุกรม ภาคผนวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒ/ผู้ชำนาญการ บทสรุป การที่ครูจะเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูซึ่งถือว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงนั้น จำเป็นจะต้องมีการพัฒนางานในหน้าที่ของตนให้มีความก้าวหน้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือคุณลักษณะของผู้เรียนหรือเรียกว่า ผลผลิตของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยที่ครูจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ ละเอียดถี่ถ้วน อาศัยหลักวิชาการ ซึ่งกระบวนการนี้ก็คือ “การวิจัยในชั้นเรียน” ซึ่งครูสามารถเริ่มที่การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของตน แล้วศึกษาค้นคว้าและแสวงหาวิธีการหรือเครื่องมือใหม่ที่คิดว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือเรียกว่า “นวัตกรรม” ทดลองใช้นวัตกรรมนี้ แล้วศึกษาผลการใช้นวัตกรรมว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ และเขียนรายงานการวิจัยออกมาเป็นรูปเล่ม และนี่ก็คือ แนวทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพที่จะนำครูไปสู่ครูชั้นวิชาชีพชั้นสูง.... ขั้นตอนแรกของการวิจัยในชั้นเรียนคือข้อใด1. การศึกษาสภาพปัญหาที่ต้องการศึกษา (Focusing Your Inquiry) เป็นขั้นตอนแรกของการวิจัยที่ ครูควรทําความเข้าใจและศึกษาถึงสภาพของปัญหาที่ต้องการศึกษาว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีความ เกี่ยวข้องกับเรื่อง (ตัวแปร) ใดบ้าง วิธีการอาจใช้การประชุมระหว่างครูร่วมกันที่พบปัญหาคล้ายๆกัน โดย สภาพปัญหาต้องมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ ...
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมีขั้นตอนอย่างไร1. การระบุปัญหาการวิจัย 2. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยทีเกียวข้อง (หรือใช้ความรู้จากแหล่งอื นๆ) 3. การวางแผนการวิจัย 4. การพัฒนานวัตกรรม และสร้างเครื องมือ ที ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การดําเนินการและเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูลและนําเสนอ 7. การสะท้อนผลการวิจัยสู่การปรับปรุงและพัฒนา
วิจัยในชั้นเรียน 5 บท มีอะไรบ้างในการเขียนรายงานการวิจัยมักนิยมแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 บท ด้วยกันคือ บทที่ 1 บทนํา บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุปผล การอภิปราย และข้อเสนอแนะ
การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง ข้อใดการวิจัยในชั้นเรียน คือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใช้ทันทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของตนเอง ให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงาน (สุวิมล ว่องวานิช 2543: ...
|