น้ํามันเครื่องสังเคราะห์แท้ คืออะไร

น้ำมันเครื่อง สิ่งที่คนขับรถทุกคนควรทำความเข้าใจไว้เพื่อการบำรุงรักษารถยนต์ได้อย่างถูกต้อง น้ำมันเครื่องมีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร เปลี่ยนน้ำมันเครื่องรุ่นไหนดี ลองมาดูวิธีเช็กเกรดน้ำมันเครื่องแบบง่าย ๆ กัน

น้ํามันเครื่องสังเคราะห์แท้ คืออะไร

หนึ่งในค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์บ่อยที่ต้องควักเงินจ่ายกันบ่อยที่สุดคือ การเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง เพราะเมื่อใช้รถถึงเวลาหรือถึงระยะทางที่กำหนดคุณภาพของน้ำมันเครื่องจะเริ่มเสื่อม การหล่อลื่น หล่อเย็นภายในเครื่องแย่ลง เครื่องอาจจะทำงานไม่ราบรื่น และหากไม่ได้ใส่ใจดูแลให้ถูกต้อง ความเสียหายก็อาจจะกลายเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสน

ขณะที่คำถามเกิดขึ้นสำหรับทุกคนก็คือ น้ำมันเครื่องรุ่นไหนดี หรือ น้ำมันเครื่องยี่ห้อไหนดี ฉะนั้นก่อนอื่นเลยคงต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องกัน ว่าน้ำมันเครื่องมีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร

1. น้ำมันเครื่องมีกี่ประเภท

น้ํามันเครื่องสังเคราะห์แท้ คืออะไร

สำหรับน้ำมันเครื่องที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดและตามศูนย์บริการนั้น โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปดังนี้

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.
     
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.
     
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.
     

แน่นอนว่าการเลือกใช้งานน้ำมันเครื่องแบบไหน ย่อมขึ้นอยู่กับงบประมาณและอาจจะดูถึงลักษณะการขับขี่ของแต่ละคน  เพราะน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาราคาย่อมถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ขณะที่น้ำมันเครื่องของแต่ละแบรนด์ ยังอาจจะมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกันไปตามข้อมูลที่ระบุด้วย

2. การอ่านค่าของน้ำมันเครื่อง

น้ํามันเครื่องสังเคราะห์แท้ คืออะไร

จากรูปตัวอย่างจะเห็นค่า "SM 10W-30" ซึ่งขอจำแนกดังนี้

"SM" คือค่า API (American Petroleum Institute Standard) กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก

มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย "S" เช่น API SM หรือ API SL ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะขึ้นต้นด้วย "C" เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดยเช็กรายละเอียดได้ที่ (ยิ่งปีเก่าเท่าไรมาตรฐานก็ต่ำลง)

API SN มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน ให้มาตรฐานประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น ป้องกันเทอร์โบชาร์จเจอร์ เข้ากับระบบควบคุมการปล่อยไอเสีย และเครื่องยนต์ที่ทำเพื่อรองรับน้ำมัน E85 ประกาศใช้เดือนตุลาคม ในปี 2010
API SM ประกาศใช้เมื่อปี 2010
API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004
API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001

CK-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อปี 2017
CJ-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2010
CI-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2002
CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998

"10W-30" คือค่ามาตรฐานจาก SAE (The Society of Automotive Engineer) ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยค่าชุดเลขตัวแรก "10W" ค่าการทนความเย็นของน้ำมันเครื่อง ดังนี้

W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

ชุดเลขตัวที่สอง "30" บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มาก โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 20-40

ทริกที่หลายคนเลือกเปลี่ยนน้ำมันเครื่องคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล เครื่องยนต์ใหม่ก็มักไปเริ่มกันที่ "40" และปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องฟิตขึ้น.. 

3. การดูน้ำมันเครื่องสูตรพิเศษ

น้ํามันเครื่องสังเคราะห์แท้ คืออะไร

น้ำมันเครื่องหลายชนิดในตอนนี้มีการบอกว่าเหมาะสมกับประเภทการใช้งาน ตัวอย่างเช่น

  • For NGV, LPG & Gasoline - สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG
  • Heavy Duty - ใช้ได้ดีสำหรับรถที่บรรทุกของหนัก

สรุปแล้วทั้ง 3 ข้อนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะชี้ไปว่าน้ำมันเครื่องแบบไหนเหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ เลือกใช้ได้แน่นอน ที่เหลือก็คือการพิจารณาเรื่องของราคา และยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้น้ำมันเครื่องที่ตรงกับความต้องการและคุ้มค่ามากที่สุด

น้ำมันเครื่องประกอบไปด้วยน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานผสมกับสารปรับแต่งเพิ่มคุณภาพ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  1. “Mineral Oil” คือ น้ำมันเครื่องทั่วไปที่ผลิตจากน้ำมันแร่ซึ่งได้จากการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง ซึ่งใช้น้ำมันเกรดพื้นฐานทั่วไป (Base Oil Group1)
  2. “Semi-Synthetic” หรือ Synthetic Technology หรือ Synthetic Blend คือ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ (Base Oil Group2) เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
  3. “100%-Fully Synthetic” คือ น้ำมันเครื่องสูตรสังเคราะห์แท้ 100% ซึ่งผลิตจากน้ำมันพื้นฐานเกรดสูง (Base Oil Group3,4) ที่มีการกลั่นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง สังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าน้ำมันแร่พื้นฐานทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ความคงทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายและการใช้งานนานขึ้น มีอัตราการระเหยต่ำ ลดปัญหาการกินน้ำมันเครื่อง ป้องกันการจับตัวเป็นคราบเหนียวหรือตะกอนโคลน สามารถคงสภาพการเป็นน้ำมันหล่อลื่นได้ยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ทนความร้อนได้ดี คงค่าความหนืดได้ดีทุกช่วงอุณภูมิ เป็นต้น

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพื้นฐานประเภทใด การเลือกใช้งานนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาวะและพฤติกรรมในการขับขี่และในการใช้งานของรถยนต์ด้วย เนื่องจากน้ำมันเครื่องแต่ละประเภทนั้นมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายและอายุการใช้งานที่ไม่เท่ากัน โดยน้ำมันเครื่องสูตรสังเคราะห์100%จะมีระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายที่นานกว่าน้ำมันเครื่องเกรดอื่นๆทั่วไป

เนื่องจากน้ำมันเครื่องสูตรสังเคราะห์100% มีการเรียงตัวของโมเลกุลน้ำมันที่สม่ำเสมอ เรียงตัวเป็นระเบียบที่มากกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ซึ่งทำให้มีชั้นฟิล์มเคลือบที่แข็งแรงมากกว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ใช้งานได้ยาวนานกว่า มีการลื่นลื่นที่ดีกว่า ดัชนีความหนืดที่คงที่ได้ดีทุกช่วงอุณหภูมิการใช้งาน มีอัตราการระเหยต่ำ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้น้ำมันเครื่องสูตรสังเคราะห์100%มีราคาสูงกว่า น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาเป็นอย่างมาก

สำหรับน้ำมันเครื่องสูตรกึ่งสังเคราะห์จะมีคุณภาพและคุณสมบัติต่างๆอยู่ระหว่างกลางของน้ำมันเกรดธรรมดาและน้ำมันสูตรสังเคราะห์100%

น้ํามันเครื่องกึ่งสังเคราะห์กับสังเคราะห์แท้แตกต่างกันยังไง

1. น้ำมันเครื่องมีกี่ประเภท น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.

น้ํามันสังเคราะห์แท้ ดียังไง

คุณสมบัติเด่นของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ทันทีที่สตาร์ตรถ น้ำมันเครื่องจะไหลไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ได้รวดเร็วกว่า แม้รถยนต์จะอยู่ในภาวะอุณหภูมิต่ำ อากาศหนาวเย็น ซึ่งต่างจากนำมันเครื่องธรรมดา น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้มีประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์กับธรรมดาต่างกันอย่างไร

น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม (Base Oil) อายุการใช้งานประมาณ 3,000-5,000 กม. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดา (Base Oil) + น้ำมันชนิดสังเคราะห์ ในอัตราส่วนประมาณ 10-15% อายุการใช้งานประมาณ 5,000-10,000 กม.

น้ํามันเครื่องสังเคราะห์ ดีไหม

ข้อดี – ข้อเสีย น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ช่วยหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้ดีที่สุดทั้งในอุณหภูมิต่ำและอุณหภูมิสูง มีอัตราการระเหยต่ำ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เหมือนใหม่ ป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี ปกป้องเครื่องยนต์ได้ทันทีที่สตาร์ท เนื่องจากมีฟิล์มยึดเกาะผิวโลหะ ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีกว่า