การเริ่มทำสมาธิด้วยอิริยาบถนั่งคืออะไร

การนั่งสมาธิเป็นการฝึกปฏิบัติตนให้มีจิตที่ผ่องใส ลดความคิดฟุ้งซ่าน และทำให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน หลายคนอาจมองว่าการนั่งสมาธิมีความเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว สามารถนำการนั่งสมาธิมาปรับใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้มากมาย เพียงแต่อาจจะมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งแตกต่างกัน เมื่อเทียบกับการนั่งสมาธิวิปัสสนาในทางพุทธ

การนั่งสมาธิที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?

การนั่งสมาธิ ในมุมมองของตะวันตก มักใช้คำว่า "Concentration" และ "Meditation" ที่สื่อความหมายถึงการทำสมาธิให้จิตใจสงบ เพื่อเคลียร์หัวให้โล่ง จะได้มีสติจดจ่อมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน

โดยในปัจจุบัน ยังนิยมนำมาปรับใช้กับการเล่นโยคะ ซึ่งการกำหนดลมหายใจให้ร่างกายสัมพันธ์กับจิตใจก็ถือเป็นท่าโยคะ ที่ช่วยเสริมให้ปอด และกะบังลมแข็งแรง

ส่วนวัฒนธรรมตะวันออกก็มี "ชี่กง" และ "ไทชิ" ที่เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ และฝึกสร้างสมดุลให้ร่างกายผ่านลมหายใจเข้า-ออก

การเริ่มทำสมาธิด้วยอิริยาบถนั่งคืออะไร

สำหรับการนั่งสมาธิในทางพระพุทธศาสนา นอกจากต้องการความสงบ ทำให้มีสติและเกิดปัญญาแล้ว ยังมีจุดประสงค์ในด้านการวิปัสสนา เช่น อานาปานสติ ที่สอนให้พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก และตระหนักรู้ปัจจุบันขณะอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเมื่อฝึกนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ก็จะมีการแบ่งขั้นกรรมฐานต่างๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ จุดร่วมของการนั่งสมาธิก็คือ การทำจิตใจให้สงบ และจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น การตั้งใจทำงาน ก็ถือว่าเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน

การนั่งสมาธิมีกี่แบบ และท่านั่งพื้นฐานที่ควรรู้

การนั่งสมาธิมีหลายแบบ และหลายระดับ ซึ่งในแต่ละระดับก็อาจมีฐานต่างๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน ว่าต้องการเพียงความสงบในจิตใจ หรือต้องการฝึกปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นธรรม โดยการนั่งสมาธิในระดับ "ญาณ" ก็จะต้องมีผู้รู้มาคอยชี้แนะในการปฏิบัติ

แต่หากจะแบ่งการนั่งสมาธิแบบพื้นฐาน สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
1. ขณิกสมาธิ : การทำสมาธิแบบชั่วครู่ เป็นขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการสมาธิในการเรียน และทำงาน มีสติรู้ตัวตนว่ากำลังทำอะไรอยู่
2. อุปจารสมาธิ : การทำสมาธิในระยะเวลาที่นานขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังจะได้ฌาน และนิมิตต่างๆ ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา
3. อัปปนาสมาธิ : การทำสมาธิขั้นแน่วแน่ เข้าถึงฌาน สามารถข่มกิเลสได้ ถือว่าเป็นสมาธิขั้นสูงสุด

การเริ่มทำสมาธิด้วยอิริยาบถนั่งคืออะไร

ท่านั่งสมาธิแบบพื้นฐาน ผู้ปฏิบัติควรเลือกนั่งในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก โดยนั่งขัดสมาธิขาไขว้กันทับฝ่าเท้า มือวางซ้อนทับกัน หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหรือเงยหน้า หลับตา พร้อมๆ กับค่อยๆ กำหนดลมหายใจเข้าออก วิธีแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น เมื่อหายใจเข้าให้กำหนด "พุท" และหายใจออกให้กำหนด "โธ" เพื่อให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจ

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ

การนั่งสมาธินอกจากช่วยให้เรามีสมาธิ และสติในการปฏิบัติงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการลดความเครียด คลายความวิตก ฝึกความอดทนอดกลั้น ขจัดความคิดลบที่รบกวนจิตใจ และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น

ส่วนที่หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่า การนั่งสมาธิได้บุญอย่างไร? ชาวพุทธเชื่อว่าการนั่งสมาธิเป็นการสร้างอานิสงส์ เนื่องจากในขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ตัดละกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีจิตอกุศลไปชั่วขณะ เมื่อนั่งสมาธิเสร็จก็มักจะอุทิศส่วนกุศลไปให้บิดา-มารดา รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย จึงถือว่าเป็นพลังบุญประการหนึ่งที่ได้รับจากการนั่งสมาธิ

การเริ่มทำสมาธิด้วยอิริยาบถนั่งคืออะไร

สำหรับผู้ที่ฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิขั้นพื้นฐาน ก็สามารถนั่งแบบเริ่มต้นได้ง่ายๆ เพียงครั้งละ 5-10 นาที เพื่อให้จิตใจสงบ จดจ่อกับสมาธิในการเรียน และทำงาน หลังจากนั้นค่อยเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้นก็ได้ 

การทำสมาธิ ไม่ต้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถ้าต้องการความต่อเนื่องยาวนาน และให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีนั้น มีหลักการเบื้องต้นและขั้นตอนดังนี้

  1. บริโภคน้ำอาหารมิให้อิ่มไป หิวไป ถ่ายท้อง แปรงฟัน อาบน้ำ เช็ดตัว ให้เรียบร้อย เตรียมร่างกายให้สะอาด นุ่งชุดที่ไม่คับตัว ผ้าเบาๆ สบายๆ
  2. หามุมสงบ ไม่เสียงดัง ไม่อึกทึก ไม่มีการรบกวนจากภายนอกได้ง่าย มีอุณหภูมิพอดี ๆ ที่นั่งที่รู้สึกสบายกับเรา เช่น อายุมากเข่าไม่ดีอาจนั่งบนเก้าอี้ก็ได้
  3. นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หรือวางมือตามสะดวกที่อื่นๆ จะเป็นที่หน้าตักก็ได้ บนเข่าก็ได้ ถ้าบนเข่าอาจหงายหรือคว่ำมือก็ได้
  4. หลับตาเบาๆ ให้ขนตาชนกัน แต่อย่าเม้มตา
  5. ขยับท่าทางให้รู้สึกว่าสบาย สังเกตตัวเองว่ามีการเกร็งไหม ถ้ามีขยับผ่อนคลายความรู้สึกไม่ให้เกร็ง
  6. ทำใจให้โล่ง โปร่ง เบา สบาย ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ในใจ ละปริโพธ หรือความกังวลต่าง ๆ ชั่วคราว อาจตั้งกำหนดเวลาในใจ ว่าจะอุทิศให้เวลาระหว่างนี้แก่การภาวนา ทำใจให้มีความสุขเพราะแค่เราอยากมีความสุข จิตเราก็จะมีความสุขทันที ทำใจให้สนุกกับการปฏิบัติธรรม
  7. เมื่อสบายดีแล้ว ให้ภาวนาในใจ จะใช้ความรู้สึกจับกับลมหายใจ หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมก็ได้ จะใช้คำบริกรรมว่า ว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดว่า โธ ก็ได้ หรือจะใช้คำบริกรรมอื่นๆ เช่น นับ 1,2,3 .. ไปเรื่อยๆ เมื่อหายใจเข้าออกครั้งหนึ่ง หรือ นะมะ-พะธะ ก็ได้เช่นกัน (วิธีการเหล่านี้ เป็นวิธีการของโบราณจารย์)
  8. ในระหว่างการปฏิบัติธรรม อาจจะมีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ อย่าสนใจ ถ้าจิตวอกแวกจนสนใจเรื่องอื่น เมื่อได้สติ ให้เริ่มภาวนาใหม่
  9. อาจรู้สึกเมื่อย คัน ปวด ให้อดทน ถ้าทนไม่ไหวให้เปลี่ยนอิริยาบถแก้ เช่นเกาที่คัน แต่ให้ทำอย่างมีสติ เช่น ภาวนาว่า เมื่อยหนอๆ คันหนอๆ เกาหนอๆ ซึ่งถ้าจะลุกมาเดินจงกรมจนกว่าจะหายเวทนาก็ได้
  10. เมื่อใจเริ่มสงบดีแล้ว จิตกำลังผ่านขณิกสมาธิ กำลังย่างเข้าอุปจารสมาธิ อาจจะมีความรู้สึกแปลกๆ มีอาการต่างๆกันไปตามสภาวะจิต ของแต่ละคน เช่นตัวหมุน ตัวเบา สั่น ขนลุกและอื่นๆ ก็ให้วางเฉยไปตั้งใจภาวนาเรื่อยๆ
  11. เมื่อจิตเป็นสมาธิมากขึ้น คำภาวนาจะหายไป ให้กำหนดสภาวะที่รับรู้ได้เด่นชัดในจิต แล้วให้จิตไปจับไว้แทน เช่น ลมหายใจ
  12. เมื่อจิตมีสมาธิกล้าขึ้นจิตจะนิ่งสงบเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่น จิตจะกำหนดอะไรเป็นองค์ภาวนาไม่ได้ชั่วคราว เราอาจจะตกใจว่าไม่มีอะไรให้กำหนดได้อาจหลุดจากสมาธิ ให้พิจารณาว่า สภาวะที่กำหนดอะไรมิได้ เป็น ธรรมชาติ คือเป็นความจริงให้กำหนดความจริงนี้แทน
  13. เมื่อทรงอารมณ์ไว้ได้อุคคหนิมิตจะเกิดขึ้น เหมือนน้ำนิ่งจะเห็นก้นสระ จิตจะเห็นภาพสัญญาที่เก็บในภวังคจิต (จิตใต้สำนึก) คือ อารมณ์ภาวนาที่กำหนดไว้ชัดขึ้นในจิต
  14. เมื่อใจนิ่งได้ระดับนึง จะเริ่มเห็นความสว่างจากภายใน เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อันให้เกิดความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆ เช่น เห็นสิ่งลี้ลับ กายทิพย์ต่างๆ หรือมีภาพ ให้เห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ เช่นในอดีต หรือชาติที่แล้วมา หรือเหตุการณ์ในอนาคต ให้ทำใจเฉยๆอย่างเดียว หากมีข้อสงสัย หรือมีคำถาม มีสิ่งผิดปกติอะไรก็ช่าง ก็ให้บอกตัวเองว่า คิดไปเอง เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่านิมิตรนั้นจริงเท็จเพียงใด จงอย่าสนใจให้ทำสมาธิต่อไป เพราะแม้จะจริงก็จะทำให้เราล่าช้า ถ้าไม่จริงอาจทำเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ อาจเสียสติได้ ถ้าคุมจิตมิได้ก็ให้แผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวร
  15. เมื่อจิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิจะเห็นปฏิภาคนิมิตร แต่ถ้ากำหนดอานาปานสติ และวิปัสสนา จะเห็นขันธ์ 5 เกิดดับขึ้น ให้ระวังวิปัสสนูปกิเลส ถ้าผ่านไปได้ก็จะทำลายวิปลาสต่างๆ และบรรลุฌาน (ถ้าเน้นสมถกรรมฐาน) หรือญาน (ถ้าเน้นวิปัสสนา) ตามลำดับ

ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

อิริยาบถหลักในการทําสมาธิคืออะไร

อิริยาบถ คือ อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ในความควบคุมของใจ มี ๔ ประการ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน วิธีการอบรมจิตเกี่ยวกับอิริยาบถ เป็นดังนี้

ขั้นตอนการนั่งสมาธิมีอะไรบ้าง

ท่านั่งสมาธิแบบพื้นฐาน ผู้ปฏิบัติควรเลือกนั่งในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก โดยนั่งขัดสมาธิขาไขว้กันทับฝ่าเท้า มือวางซ้อนทับกัน หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหรือเงยหน้า หลับตา พร้อมๆ กับค่อยๆ กำหนดลมหายใจเข้าออก วิธีแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น เมื่อหายใจเข้าให้กำหนด "พุท" และหายใจออกให้กำหนด "โธ" เพื่อให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจ

การเดินสมาธิคืออะไร

การเดินสมาธิเป็นการฝึกปฏิบัติที่มีมายาวนานในพระพุทธศาสนา ด้วยเป็นหนทางการพัฒนาการเจริญสติ และปัจจุบันได้มีการบรรจุลงไปในโปรแกรมการฝึกเจริญสติที่ได้รับการฝึกฝนในหลายๆ หน่วยงาน ด้วยประโยชน์ในการลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า รวมถึงใช้ในการฝึกจิตวิทยาองค์กร ทั้งในโรงเรียนและเรือนจำ

บุคลิกลักษณะของคนที่มีสมาธิเป็นอย่างไร

สมาธิ คือการที่จิตตั้งมั่น สงบ แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ซัดส่าย ไม่หวั่นไหวกับ อารมณ์ภายนอกที่มากระทบ เป็นการกำหนดจิตแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น มีสมาธิ