โดยชาวจีนนำมาบรรเลงรวมอยู่ในวงเครื่องสายจีน และประกอบการแสดงงิ้วบ้าง บรรเลงในงานเทศกาล และงานรื่นเริงต่าง ๆ บ้าง คำว่า ขิม มาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน ซึ่งมาจากอักษรจีน 琴 ซึ่งในภาษาจีนกลางอ่านว่า ฉิน นักดนตรีไทยนำขิมมาบรรเลงในสมัยต้นรัชกาลที่ 6 โดยแก้ไขบางอย่าง คือเปลี่ยนสายลวดทองเหลืองให้มีขนาดโตขึ้น เทียบเสียงเรียงลำดับ ไปตลอดจน ถึงสายต่ำสุด เสียงคู่แปดมือซ้ายกับมือขวามีระดับเกือบตรงกัน เปลี่ยนไม้ตีให้ใหญ่และก้านแข็งขิ้น หย่องที่หนุนสาย มีความหนา กว่าของเดิมเพื่อให้เกิดความสมดุล และมีความประสงค์ให้เสียงดังมากขึ้น และไม่ให้เสียงที่ออกมาแกร่งกร้าวเกินไปให้ทาบสักหลาดหรือหนังตรงปลายไม้ตี ส่วนที่กระทบกับสาย ทำให้เสียงเกิดความนุ่มนวล และได้รับความนิยม บรรเลงร่วมอยู่ในวงเครื่องสายผสมจนถึงปัจจุบัน ประเภทของขิม
1.ขิมผีเสื้อ เป็นแบบที่พบได้ทั่วไปรูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งซีกมีหยักโดยรอบ มักมีลิ้นชักใส่ค้อนปรับเสียง และมีช่องให้เสียงออกสองช่องที่หน้าขิม มีตุ๊กตาขิมแปะไว้ เมื่อนำฝาขิมมาประกอบเรียงกับไม้ขิม และลิ้นชักที่ว่านั่น จะได้รูปร่างคล้ายผีเสื้อ ถ้าเป็นแบบเก่ามีการเขียนลายแบบจีนที่ฝาขิมเป็นรูปแปดเทพของจีน จะเรียกขิมโป๊ยเซียน
2.ขิมคางหมู เป็นขิมที่การลดทอนรายละเอียดที่เป็นหยักโดยรอบของขิมผีเสื้อให้กลายเป็นไม้เรียบๆสัณฐานโดยรวมเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูจึงเรียกขิมคางหมู เจาะช่องให้เสียงออกด้านข้างเป็นแนวยาว 3.ขิมแผ่น เป็นขิมที่ใช้แถบโลหะขนาดต่างกันแปะวางบนหน้าขิมแทนตำแหน่งเสียงบนขิมใช้ไม้เป็นพลาสติกหัวกลมแข็ง เหมาะสำหรับฝึกเล่นในเบื้องต้นให้รู้จักเสียง ตีให้ตายยังไงก็ไม่มีปัญหาสายขาด
4.ขิมกระเป๋า เรียกขิมที่ยึดตัวขิมไว้กับกระเป๋าอย่างแน่นหนาถือหิ้วไปมาได้ 5.ขิมหลอด โครงสร้างคล้ายขิมแผ่นแต่เปลี่ยนจากแถบโลหะ เป็นหลอดโลหะกลวงเทียบเสียงแล้วติดวางบนหน้าขิม ใช้ไม้ขิมธรรมดาตีได้ วิธีจับไม้ขิม วิธีตีสายขิม ในภาพเป็นการแสดงการตวัดปลายไม้ขิมลงไปกระทบกับสายขิมทั้ง 3 สายให้ได้แนวระนาบ เดียวกันแล้วจึงยกปลายไม้ขึ้นอย่างรวดเร็วตามแนวแถบลูกศรสีขาว คำว่า “แนวระนาบเดียวกัน” หมายถึงการที่แนวสันของปลายไม้ขิม (ตำแหน่งที่เลข 1 ชี้) ตกลงไปกระทบกับสายขิม 3 เส้น พร้อมๆกันพอดีทุกๆครั้งที่ตีสายขิมไม่ว่าจะเป็นมือซ้ายหรือมือขวาก็ตามต้องตีให้ได้แบบนี้ทุก ครั้งไป เริ่มฝึกตีสายขิม ต่อไปจะเป็นการฝึกตีสายขิมทั้ง 21 ตำแหน่งเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยและชำนาญ ขอให้สังเกตดู แผนผังการเรียงเสียงของสายขิมดังภาพต่อไปนี้ครับ แต่ละแถวจะใช้ตัวเลข 1 ถึง 7 แทนเสียงโน้ตโดยกำหนดสัญญลักษณ์ประจำแต่ละแถวดังนี้คือ พยายามให้ไม้ขิมขนานกันเหมือนรางรถไฟ ในภาพหมายเลข 1 เมื่อผู้ฝึกเริ่มตีสายขิมมักจะวางไม้ขิมในแนวขนานกันและตีลงไปตามแนว ขิม 7 หย่อง ชนิดกระเป๋าแข็ง ชื่อเรียกส่วนต่างๆของขิมแบบ “กระเป๋า” 1 ตัวขิม 2 ขอบฝาขิม 3 ไม้ตีขิม 4 ฝาขิม 5 หมุดยึดสายขิม 6 สลักกุญแจบนฝาขิม 7 สลักกุญแจบนตัวขิม 8 กระบอกเทียบเสียง 9 ช่องเสียง 10 หูหิ้ว 11 หย่องหนุนสายขิม 12 สายขิม 13 หย่องบังคับเสียง ขิมชนิดนี้มีลักษณะแตกต่างไปจากขิม 7 หย่องแบบขิมโป๊ยเซียนคือ นอกจากมีหย่องสำหรับ หนุนสายขิมแถวละ 7 หย่องเหมือนกับขิมโป๊ยเซียนแล้ว ลักษณะอื่นๆจะแตกต่างออกไปมากที เดียว ประการแรกตัวขิมและฝาขิมทำเป็นรูปคล้ายกับกระเป๋าเดินทางคือทำด้วยวัสดุแข็งทนต่อ การขีดข่วน ช่างดนตรีไทยได้ประดิษฐ์ให้เหมาะในการนำติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆโดยทำ “หูหิ้ว” ไว้เหมือนกับกระเป๋าเดินทาง หมุดยึดสายขิมก็ทำเป็น “หมุดเกลียว” ใช้กระบอกที่มีก้าน สำหรับหมุนหมุดเพื่อเทียบเสียงแทนการใช้ฆ้อนตอก ส่วนที่ด้านในของฝาขิมทำเป็นแถบยางยืด ไว้สำหรับเสียบไม้ตีขิม ตรงขอบฝาขิมติดกุญแจไว้สำหรับล็อคฝาขิมให้ติดกับตัวขิมและมีลูก กุญแจสำหรับไขเปิดออกได้ พื้นใต้ตัวขิมติดปุ่มยางเล็กๆไว้ 4 มุมเพื่อกันครูดกับพื้น ลักษณะภาย นอกนั้นบางร้านทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูซึ่งมีขอบกลมมน บางร้านก็ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทั้งนี้แล้วแต่รสนิยมของช่างผู้ผลิตแต่ละร้าน ขิม 7 หย่องดังที่กล่าวมานี้นิยมเรียกว่า”ขิมประเป๋า” ซึ่งคิดและออกแบบประดิษฐ์ขึ้นโดยช่างดนตรีของไทย ขิมไม้รุ่นใหม่ ขิมไม้รุ่นใหม่เป็นขิม 7 หย่องที่มีรูปลักษณะเหมือนขิมโป๊ยเซียนแต่ใช้หมุดยึดสายขิมเป็น แบบเกลียวและใช้กระบอกที่มีก้านสำหรับหมุนเทียบเสียงนั้นก็มีการผลิตออกมาจำหน่ายเช่นกัน แต่ไม่นิยมวาดลวดลายลงบนฝาขิมเหมือนขิมโป๊ยเซียน ฝาขิมและตัวขิมจะทำเป็นลายไม้ลงเงา เรียบๆเท่านั้น ขิมพวกนี้ จะมี “กระเป๋าอ่อน” ซึ่งทำด้วยผ้าใบหรือพลาสติกที่เข้ารูปกับตัวขิมมา ห่อหุ้มไว้เพื่อป้องกันการเสียดสีกระทบกระแทกกับของแข็งจนเป็นรอยขีดข่วน ที่กระเป๋าจะมี ซิปสำหรับรูดปิดเปิดเพื่อให้ใส่ขิมทั้งตัวได้สะดวกและมีช่องสำหรับใช้เก็บอุปกรณ์ต่างๆของขิม เช่น สายขิม แปรงสำหรับปัดฝุ่น กระบอกเทียบเสียง และ เหล็กแหลมที่ใช้ในการเขี่ยแคะสายขิม เวลาที่จะเปลี่ยนสายขิมเป็นต้น บางร้านยังให้กระเป๋าเล็กๆ สำหรับใส่ของกระจุกกระจิกมาด้วย นับว่าเป็นการคิดค้นปรับปรุงและพัฒนาทางด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการบรรเลงขิมที่ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว ขิมแผ่น (ขิมทอง ขิมเหล็ก ขิมอะลูมิเนียม) ชื่อเรียกส่วนต่างๆของ “ขิมแผ่น” 1 – ตัวขิม 2 – ฝาขิม 3 – ไม้ตีขิม 4 – หูหิ้ว 5 – สลักกุญแจ 6 – กุญแจ 7 – ที่เหน็บไม้ 8 – แผ่นโลหะ ยังมีขิมอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะการเรียงเสียงคล้ายกับขิม 7 หย่อง แต่ใช้แผ่นโลหะแทน สายขิมทำให้เสียงแตกต่างออกไปจากขิมสายคือ เสียงจะคล้ายกับเสียงฆ้องวงที่ใช้บรรเลงในวง ปี่พาทย์ ไม้ตีขิมก็ทำรูปร่างเปลี่ยนไปคือส่วนหัวทำด้วยลูกยางกลมๆเพื่อให้เสียงดังนุ่มนวลยิ่งขึ้น แต่เดิมคงจะเริ่มทำด้วยโลหะเช่นเหล็กหรือทองเหลืองก่อน จึงเรียกกันว่า “ขิมเหล็ก” หรือ “ขิม ทอง” (ย่อมาจากคำว่าทองเหลือง) ต่อมาเมื่อมีการใช้อะลูมิเนียมทำก็เรียกกันว่า “ขิมอะลูมิเนียม” เมื่อเรียกกันหลายชื่อเช่นนี้จึงเกิดชื่อรวมขึ้นคือ “ขิมแผ่น” ซึ่งหมายถึงขิมที่ใช้แผ่นโลหะแทนสาย ขิมนั่นเอง ขิมแผ่นนี้มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายกับขิมกระเป๋าคือมีวัสดุเปลือกแข็งหุ้มอยู่ทั้งที่ตัวขิม และฝาขิม มีกุญแจซึ่งผู้ใช้สามารถล็อคได้ มีที่สำหรับเหน็บไม้ขิม แต่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับเทียบ เสียงขิม เพราะเสียงจะไม่เพื้ยนเนื่องจากเป็นแผ่นโลหะที่กลึงจนได้น้ำหนักเสียงมาพอดีแล้ว ข้อ แตกต่างจากขิมสายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือแผ่นโลหะที่นำมาเรียงแทนสายขิมนั้นจะมีแถวละ 8 แผ่นและเรียงเสมอกันทุกแถวไม่ได้เรียงสลับเหลื่อมกันเหมือนขิมสายเวลาบรรเลงก็บรรเลง เฉพาะทำนองหลัก จึงเรียกได้ว่าเป็น “ฆ้องของวงเครื่องสาย” ขิมแยกส่วน ขิมชนิดนี้เป็นขิม 7 หย่องชนิดอีกหนึ่ง แต่เป็นขิมลูกผสมระหว่างขิมกระเป๋าและขิมไม้ สามารถถอดแยกออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆคือ ตัวขิม ฝาขิมด้านบน และ ฝาขิมด้านล่าง ดังภาพ ต่อไปนี้ ชื่อเรียกส่วนต่างๆของขิมแยกส่วน 1 ตัวขิม 2 ฝาขิมด้านล่าง 3 ฝาขิมด้านบน 4 หูหิ้ว 5 สลักกุญแจด้านบน 6 สลักกุญแจด้านล่าง 7 ขาตั้งสำหรับวางตัวขิม ทำด้วยแผ่นไม้ สามารถถอดเก็บพับได้ ในภาพจะเห็นว่าตัวขิมนั้นแยกเป็นอิสระออกจากฝาขิมและสามารถเก็บไว้ภายในฝาขิมด้านบน และฝาขิมด้านล่างคล้ายๆกับตัวหอยซ่อนอยู่ในเปลือกหอย เวลาจะบรรเลงก็นำตัวขิมออกมาวาง ไว้บนขาตั้งซึ่งผู้ผลิตทำมาให้เป็นพิเศษหรือจะวางซ้อนไว้บนผาขิมก็ได้ ขาตั้งนี้ถอดแยกออกได้ เป็น 3 ชิ้น ดังในภาพหมายเลข 7 ซึ่งสามารถถอดและประกอบเข้าเป็นขาตั้งสำหรับรองรับตัวขิม ไว้ขาตั้งนี้จะเอนลาดลงมาหาตัวผู้บรรเลงทำให้สามารถตีขิมได้สะดวกยิ่งขึ้นและสามารถถอดพับหรือวางตามแบนไว้ภายในฝาขิมได้เพราะใช้วิธีเกาะเกี่ยวกันด้วยบานพับโลหะเล็กๆที่สวมล็อค เข้าหากันได้ ขิมแยกส่วนนี้แข็งแรงมากเนื่องจากกรอบตัวขิมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แม้ตัวจะมีขนาด เท่าขิม 7 หย่องโดยทั่วไป แต่มีน้ำหนักมากกว่าจนเห็นได้ชัดรูปร่างของตัวขิมก็มีลักษณะที่ “เข้า รูป” กับฝาขิม เพื่อให้สามารถวางขิมไว้ภายในฝาได้อย่างสนิทแนบเนียน ภายในฝาขิมทั้งด้าน บนและด้านล่างบุไว้ด้วยสักหลาดและมีขอบกันชนบุสักหลาดไว้สำหรับกันตัวขิมกระแทกกับฝา ขิมด้วย นอกจากลักษณะพิเศษดังที่ได้กล่าวมาแล้วส่วนอื่นๆก็มีลักษณะเหมือนขิมไม้ 7 หย่อง ทั่วไปแต่เสียงของขิมแบบนี้จะ “แน่น” กว่าขิมไม้แบบอื่นๆ ขิม 9 หย่อง ขิม 9 หย่องนี้เป็น”วิวัฒนาการ”ในการผลิตขิมที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งของช่างดนตรีไทยทีเดียว เพราะตัวขิมจะมีลักษณะเด่นๆที่เปลี่ยนไปจากขิม 7 หย่องอย่างเห็นได้ชัด ดังในภาพต่อไปนี้ ชื่อเรียกส่วนต่างๆของขิม 9 หย่อง 1 ตัวขิม 2 หย่องขิมมี 9 อัน 3 หมุดยึดสายเป็นเกลียว 4 ช่องเสียงอยู่ข้างใต้ตัวขิม 5 ไม้ขิม 6 หน้าขิมด้านบนเรียบ ตัวขิมจะมีขนาดใหญ่กว่าขิมธรรมดาทั่วไป พิ้นผิวด้านบนมีลักษณะโค้งลาดเล็กน้อยและไม่ได้ทำ “ช่องเสียง” ไว้เป็นรูกลมๆขิมแบบ 7 หย่องแต่ได้ทำเป็นร่องยาวไว้ที่ข้างใต้ตัวขิมแทน (ดูภาพ หมายเลข 4) ทำให้ภาพตัวขิมด้านบนดูแปลกออกไปจากเดิม นอกจากการย้ายตำแหน่งของ “รูช่องเสียง” แล้ว ขิม 9 หย่องยังได้เพิ่มจำนวนหย่องรองรับ รายขิมด้านบนขึ้นไปอีก 2 อันรวมเป็น 9 อัน ด้วยเหตุผลดังนี้คือ เนื่องจากขิมชนิดนี้ใช้สายลวด เหล็กเสตนเลส-สตีล แทน สายทองเหลือง สายเสตนเลส-สตีลนั้นมีความเหนียวคงทนมากกว่า สายทองเหลืองหากต้องการให้เสียงขิมกังวานดีจะต้องขึงให้มีความตึงมากๆแต่ถ้าช่วงยาวของ ขิมมีขนาดเท่าเดิมเช่นเดียวกับขิม 7 หย่องแล้วจะไม่สามารถขึงให้ตึงมากๆได้เพราะระดับเสียง จะสูงเกินไป คือจะสูงกว่าระดับเสียงเพียงออ ซึ่งนิยมใช้บรรเลงกันในวงเครื่องสายของไทย ดัง นั้นผู้ผลิตขิมจึงได้เพิ่มความยาวของตัวขิมออกไปอีกเพื่อให้สามารถเพิ่มความตึงของสายขิมได้ มากขึ้นโดยไม่ทำให้ระดับเสียงสูงขึ้นแต่เมื่อเพิ่มช่วงยาวแล้วหากไม่เพิ่มทางช่วงกว้างให้สัมพันธ์ กัน ตัวขิมจะแลดูเรียวยาวผิดส่วนไป จึงต้องเพิ่มทางส่วนกว้างออกไปอีกทำให้จำนวนหย่องเพิ่ม ขึ้นอีก 2 หย่อง กลายเป็นขิม 9 หย่องไป ถ้าหากจะใช้จำนวน 7 หย่องเหมือนเดิมโดยขยายช่วง ห่างระหว่างหย่องแต่ละอันออกไปก็จะทำให้ตำแหน่งการตีสายขิมแต่ละตำแหน่งกว้างมากเกิน ไปจะไม่สะดวกสำหรับผู้บรรเลงเพราะต้องเคลื่อนไหวมือเป็นระยะทางมากขึ้นทั้งในแนวนอน และในแนวดิ่ง การจัดวางระยะตำแหน่งสายขิมในแนวดิ่งให้เหมือนกับขิม 7 หย่องจึงสะดวก กว่าเพราะผู้บรรเลงจะเคลื่อนไหวมือยาวมากกว่าเดิมเฉพาะทางด้านแนวนอนเท่านั้น นอกจากตำแน่งของ “รูช่องเสียง” ที่เปลี่ยนไป จำนวน “หย่อง” ที่เพิ่มขึ้น และใช้สายลวด “เสตนเลส-สตีล” แทนสายลวด “ทองเหลือง” แล้ว ส่วนประกอบอื่นๆของขิมแบบนี้ก็คล้ายกับ ขิม 7 หย่องโดยทั่วไปแต่คุณภาพของเสียงนั้นดีกว่าขิมที่ใช้สายลวดทองเหลืองและยังสามารถ บรรเลงในระดับเสียง “เพียงออ” ได้ด้วย เสียงของขิม 9 หย่องนี้จะมีความคมชัดและมีความ นิ่มนวลมากกว่าขิม 7 หย่อง แต่ความดังจะด้อยกว่าเล็กน้อย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเลือกไม้ ตีขิมที่เหมาะสม การที่มีตำแหน่งการตีสายขิมเพิ่มขึ้นอีกแถวละ 2 ตำแหน่งทั้ง 3 แถว ทำให้ผู้ บรรเลงสามารถใช้เสียงได้มากขึ้น การบรรเลงขิมจึงมีความสะดวกและมีความไพเราะน่าฟังมาก ขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังสามารถเทียบให้เข้ากับระดับเสียงของดนตรีสากลได้ด้วยเพราะเมื่อมีสาย เพิ่มขึ้นก็สามารถจัดเสียงบางเสียงเป็น “ครึ่งเสียง” ไว้ในระหว่างเสียงเต็ม ทำให้สามารถ บรรเลงเพลงสากลได้ดีสิ่งที่แปลกออกไปอีกประการหนึ่งของขิม 9 หย่องคือ หย่องบังคับเสียง นั้นนอกจากสันด้านบนจะทำเป็นท่อนโลหะกลมมนสวยงามแล้ว ยังทำเป็นเชิงยื่นเข้ามาทางด้าน ในตัวขิมด้วย “เชิง” หรือส่วนยื่นที่ว่านี้ใช้ประโยชน์ในการปรับเทียบเสียงขิมได้หลากหลายยิ่ง ขึ้น โดยใช้เป็นที่สำหรับสอดท่อนโลหะกลมๆหนุนเข้าไปคั่นอยู่ใต้สายขิมทำให้สามารถปรับเทียบ เสียงขิมได้มากขึ้นโดยไม่ต้องหมุนที่หมุดเทียบเสียง การเทียบเสียงขิมแบบนี้จะใช้ในกรณีที่ต้อง การเพิ่มระดับเสียงของสายขิมตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งให้มีระดับเสียงสูงขึ้นโดยไม่ทำให้ระดับ เสียงของสายขิมด้านฝั่งตรงกันข้ามเปลี่ยนแปลงไป (เรื่องนี้จะได้อธิบายโดยละเอียดต่อไปในบท ที่ว่าด้วยวิธีการปรับเทียบเสียงสายขิม) สรุปรวมความแล้ว ขิม 9 หย่อง เป็นขิมที่ช่างดนตรีของไทยได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นจนมี ลักษณะแตกต่างออกไปจากขิมโป๊ยเซียนมาก ทั้งยังให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า นับว่าเป็นวิวัฒนาการ ทางด้านการผลิตขิมที่สำคัญก้าวหนึ่งในวงการดนตรีของไทย ขิม 11 หย่อง ถัดจากขิม 9 หย่องก็มีการพัฒนาการผลิตขิมเป็นแบบชนิด 11 หย่องซึ่งมีลักษณะทั่วไปเหมือน กับขิมชนิด 9 หย่องทุกประการแต่มีจำนวนหย่องเพิ่มขึ้นเป็น 11 หย่อง ขิมแบบนี้สามารถปรับ เทียบสายขิมให้สามารถบรรเลงได้คล้ายกับขิม 2 ตัวในเวลาเดียวกัน คือทางด้านบนจะมีระบบ เสียงเหมือนกับ ขิม 7 หย่อง 1 ตัว ส่วนด้านล่างก็จะมีระบบเสียงเหมือนกับขิม 7 หย่องอีก 1 ตัว ทำให้มีช่วงเสียงลึกมากกว่าขิม 9 หย่องและ 7 หย่อง แต่วิธีการบรรเลงก็ซับซ้อนตามไปด้วย ถ้าผู้บรรเลงขิมไม่มีความสามารถเพียงพอแล้วจะรู้สึกไม่สะดวกเวลาบรรเลง ขิม 11 หย่อง (เสียงทุ้ม) ยังมีขิม 11 หย่องอีกรุ่นหนึ่งที่ผู้ผลิตออกแบบมาให้มีเสียงทุ้มกังวานเป็นพิเศษโดยได้เปลี่ยน ผังโครงสร้างภายในตัวขิมเสียใหม่และใช้สายลวดเสตนเลสสตีลที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษทำให้ เสียงขิมดังกังวานลึกมากขึ้นจนน่าจะเรียกว่า “ขิมอู้” เช่นเดียวกับที่เรียก”ขลุ่ยอู้” ขิมแบบนี้มีวิธี การบรรเลงแตกต่างไปจากวิธีการบรรเลงขิมแบบอื่นโดยเน้นการบรรเลงในลักษณะเช่นเดียวกับ “ฆ้องวงใหญ่” คือดำเนินทำนองห่างๆไม่รวดเร็วเหมือนกับการบรรเลงขิมตามธรรมดาทั่วไป ตามที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นรูปแบบของขิมชนิดต่างๆที่ช่างดนตรีไทยได้ผลิตขึ้นโดยใช้ จินตนาการและความสามารถของตนเองเป็นวิวัฒนาการในด้านการผลิตเครื่องดนตรีของไทยที่ น่าสนใจยิ่งเพราะได้เพิ่ม “คุณภาพ” ของเสียงดนตรีให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะได้รับแบบ อย่างของขิมมาจากชาติอื่นก็จริงแต่เราก็ได้นำมาประดิษฐ์คิดค้นจนเป็นแบบฉบับของไทยเราเอง ทั้งยังมีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น เมื่อเครื่องดนตรีมีคุณภาพเป็นมาตรฐานแล้ว ดนตรีไทยก็ไพเราะน่า ฟังมากขึ้นเช่นเดียวกัน ขิมโป๊ยเซียน 1) หน้าขิม 2) ฝาขิม 3)ลิ้นชัก 4) ฆ้อนขิม 5) ไม้ขิม 6)หย่องขิม 7)หมุดยึดสาย 8) ช่องเสียง 9) สายขิม 10) หย่องบังคับเสียง 11) ห่วงลิ้นชัก 12) หมุดเทียบเสียง หมายเลข 1 “ตัวขิม” ตัวขิมทำด้วยไม้มีลักษณะกลวงอยู่ภายในส่วนที่เป็นกรอบโครงร่างทำด้วยไม้เนื้อแข็งมีขอบ หยักโค้งกลมมนคล้ายปีกผีเสื้อ พื้นด้านล่างและด้านบนทำด้วยแผ่นไม้บางๆเป็นไม้เนื้ออ่อนที่เนื้อ ไม้มีลักษณะ “พรุน” เพื่อให้เสียงก้องกังวานดีขึ้น ทั้ง 2 ฝั่งของตัวขิมเป็นบริเวณที่ตั้งของหมุด ยึดสายขิม หย่องหนุนสายขิม หย่องบังคับเสียง และเป็นที่เก็บลิ้นชักสำหรับใส่ฆ้อนเทียบเสียง ขิมด้วย หมายเลข 2 “ฝาขิม” ฝาขิมทำด้วยไม้มีขอบงุ้มลงมาโดยรอบ มีรูปร่างเข้ารูปกับตัวขิมเพื่อให้แลดูสวยงามเวลาที่ ปิดฝาขิม บางร้านนิยมทำ “แถบสำหรับเสียบไม้ขิม” ติดไว้ทางด้านในฝาขิมเพื่อใช้สำหรับเหน็บ ไม้ขิม ขิมโป๊ยเซียนหรือขิม 7 หย่องรุ่นเก่าๆนั้น มักจะนิยมวาดลวดลายสวยงามไว้บนฝาขิมด้าน นอกเช่น รูปเซียนแปดองค์ มังกรคู่ หรือ ลายเทพนม เป็นต้นฯ ส่วนขิม 7 หย่องรุ่นปัจจุบันไม่นิยม วาดภาพหรือลวดลายไว้บนฝาขิมแต่นิยมทำเป็นลายไม้ลงเงาเรียบๆหรือทำด้วยวัสดุแข็งเช่นเดียว กับที่ใช้ทำกระเป๋าเดินทาง ฝาขิมนั้นนอกจากจะมีไว้สำหรับปกปิดตัวขิมด้านบนแล้วยังใช้ประโยชน์ในการทำเป็น “กล่องเสียง” เพื่อขยายเสียงของขิมให้ดังก้องกังวานมากยิ่งขึ้นโดยใช้วางรองรับตัวขิมไว้ด้าน ล่างทำให้ตัวขิมสูงขึ้นและมีสภาพ “กลวง” อยู่ภายใน นอกจากนั้นฝาขิมยังหนุนให้ตัวขิมมีระดับ สูงขึ้นเวลานั่งบรรเลงจะถนัดกว่าเพราะมือของผู้บรรเลงไม่ต่ำลงไปจนชนกับหัวเข่า หมายเลข 3 “ลิ้นชัก” ขิมรุ่นเก่าเช่นขิมโป๊ยเซียนจะมีลิ้นชักไม้เล็กๆอยู่ตรงกลางตัวขิมด้านที่ผู้บรรเลงนั่งตี ลิ้นชักนี้ มีไว้สำหรับเก็บ “ฆ้อนเทียบเสียงขิม” ซึ่งทำด้วยทองเหลือง ตรงปลาย ลิ้นชักด้านนอกมี หมุด หรือ ห่วงโลหะเล็กๆ ติดไว้เพื่อให้สามารถใช้มือดึงลิ้นชักออกมาจากตัวขิมได้สะดวกขึ้น นอกจาก ใช้เก็บฆ้อนสำหรับเทียบเสียงขิมแล้ว ยังใช้ลิ้นชักนี้หนุนรองคั่นระหว่าง ตัวขิม และ ฝาขิม เพื่อ เพิ่มระดับความสูงของตัวขิมขึ้นไปอีกทั้งยังช่วยให้เสียงขิมโปร่งกังวานดีขึ้นด้วย แต่ปัจจุบันไม่ นิยมทำลิ้นชักแบบนี้แล้วเพราะมักจะเกิดปัญหาเนื่องจากฆ้อนทองเหลืองพลิกตัวขัดเหลี่ยมอยู่ข้าง ในลิ้นชักทำให้ไม่สามารถจะดึงลิ้นชักออกมาได้ ขิมรุ่นใหม่ๆจึงนิยมทำที่เก็บฆ้อนเทียบเสียงไว้ที่ ตำแหน่งอื่นภายนอกตัวขิม หมายเลข 4 “ฆ้อนเทียบเสียง” ฆ้อนเทียบเสียงขิมมักทำด้วยทองเหลือง ตรงด้ามสำหรับจับคว้านเป็นช่องสี่เหลี่ยมลึกเข้าไป เล็กน้อยขนาดพอดีที่จะใช้สวมลงไปบนหัวหมุดยึดสายขิมได้ เวลาที่ต้องการเทียบเสียงก็ใช้ด้าม ฆ้อนสวมลงไปบนหัวหมุดยึดสายขิมที่อยู่ทางด้านขวามือของผู้บรรเลงขิมแล้วบิดหมุนไปมาเพื่อ ปรับความตึงของสายขิมตามที่ต้องการ ที่ใช้ทองเหลืองทำฆ้อนก็เพราะจะได้มีน้ำหนักพอที่จะ ตอกย้ำหมุดให้แน่นติดกับเนื้อไม้ได้ดีนั่นเอง ขิมรุ่นเก่านั้นใช้หมุดยึดสายขิมแบบที่ตอกย้ำได้ เวลา ที่หมุดหลวมก็จะใช้ฆ้อนนี้ตอกย้ำหมุดให้แน่น สายขิมจะได้ไม่คลายตัวง่าย 1 — หัวฆ้อนเทียบเสียง 4 — หมุดสำหรับเทียบเสียง 2 — ก้านฆ้อนเทียบเสียง 5 — ปลายหมุดที่ฝังในเนื้อไม้ขิม 3 — ช่องที่ด้ามฆ้อน 6 — สายขิม หมายเลข 5 “ไม้ตีขิม” ไม้ตีขิมของจีนนั้นทำด้วยไม้ไผ่เหลาให้เรียวแบนจากด้ามจนถึงปลาย ตรงปลายไม้ทำเป็น สันแข็งไม่นิยมหุ้มวัสดุใดๆไว้ที่ส่วนปลายของไม้ขิม แต่ถ้าเป็นไม้ขิมของไทยจะนิยมบุสักหลาด หรือหนังไว้ตรงปลายไม้เพื่อให้เสียงนุ่มนวลขึ้น หากต้องการจะให้ไม้ขิมมีลักษณะโค้งงอให้ลน ตรงบริเวณที่ต้องการงอด้วยความร้อนจากเปลวไฟพร้อมกับใช้มือดัดให้โค้งทีละน้อย เมื่อพอใจ แล้วให้ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นสักพัก เมื่อไม้ขิมเย็นลงจะโค้งงอดังที่ต้องการ ไม้ตีขิมนี้จะใช้เป็น อุปกรณ์ในการเทียบเสียงขิมควบคู่กับฆ้อนทองเหลืองกล่าวคือเวลาเทียบเสียงผู้เทียบจะใช้มือ ขวาจับฆ้อนเทียบเสียงสวมลงไปบนหมุดยึดสายขิมเพื่อหมุนปรับความตึงของสายขิม ในเวลา เดียวกันก็จะใช้มือซ้ายจับด้ามไม้ขิมเขี่ยหรือกรีดสายขิมเพื่อฟังเสียงไปด้วย ไม้ขิมนั้นมีส่วน สำคัญต่อเสียงขิมเป็นอย่างยิ่งเพราะเสียงขิม จะดังหรือเบา จะแหลมหรือเสียงทุ้ม ล้วนอยู่ที่ไม้ ขิมเป็นส่วนใหญ่ การเลือกใช้ไม้ขิมให้เหมาะกับเพลงที่บรรเลงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บรรเลงต้อง คำนึงถึงเช่นกัน หมายเลข 6 “หย่อง” หย่องขิมมี 2 ชนิดคือ “หย่องหนุนสายขิม” และ “หย่องบังคับเสียงขิม” หย่องหนุนสายขิม นั้นมี 2 ชิ้น แต่ละชิ้นมีลักษณะยาวแบนเป็นสันหนา ส่วนล่างนิยมฉลุเป็นลวดลายโปร่ง ส่วนบน มีลักษณะคล้ายกับ “ใบเสมา” มี 7 อันด้วยกัน ทำด้วยวัสดุแข็งเช่น กระดูกสัตว์หรืองาเพื่อให้ สามารถทนแรงกดจากสายขิมจำนวนมากได้ ถ้าหากไม่ใช้ กระดูกสัตว์ หรืองาก็ใช้ไม้เนื้อแข็ง หรือพลาสติกแทนได้แต่ต้องฝังแผ่นโลหะ เช่นทองเหลืองหรือลวดเหล็กไว้บนสันด้านบน เพื่อ ให้แข็งพอที่จะรับแรงกดจากสายขิมได้เป็นเวลานานๆ ขิมตัวหนึ่งจะใช้หย่องหนุนสายขิมจำนวน 2 แถว แถวทางด้านซ้ายมือของผู้บรรเลงทำให้เกิดเสียงที่สามารถบรรเลงได้ทั้ง 2 ฝั่งของตัว หย่อง ส่วนแถวทางด้านขวามือของผู้บรรเลงทำให้เกิดเสียงที่สามารถบรรเลงได้เฉพาะเพียง “ฝั่งซ้าย” ของหย่องเท่านั้น ตรงส่วนที่ถัดจากแนวที่ตั้งของหย่องที่มีรูปร่างคล้ายกับใบเสมาลงมามักจะนิยมฉลุเป็นลาย โปร่งเพื่อให้แลดูสวยงาม ถ้าเป็นขิมโป๊ยเซียนก็จะฉลุเป็นลายระเบียงแบบอาคารจีน บางทีก็เป็น ลายดอกไม้ ทั้งนี้สุดแท้แต่ช่างผู้ผลิตขิมจะเห็นสวยงาม หย่องหนุนสายขิมทั้ง 2 อันนี้ทำหน้าที่ ถ่ายทอดแรงสะเทือนจาก สายขิม ลงสู่พื้นไม้ด้านบนของตัวขิม ทำให้เกิดเสียงก้องกังวาน หย่อง จึงต้องทำด้วยไม้เนื้อแข็งที่ไม่มี “ตาไม้” หรือเนื้อไม้ที่จะบิดเบี้ยวได้โดยง่าย นักดนตรีไทยบาง คนเรียกหย่องว่า “นม” คือเรียกตามแบบ “นมจะเข้” เพราะเห็นว่าใบเสมามีลักษณะหยักขึ้นลง เป็นแนวยาวเช่นเดียวกับนมจะเข้ โดยความจริงแล้ว นมจะเข้ไม่ได้รองรับติดอยู่กับสายของจะเข้ คือไม่ได้ทำหน้าที่หนุนสายจะเข้ แต่ทำหน้าที่รองรับการกดของนิ้วมือขณะที่นักดนตรีดีดจะเข้ จึงไม่ได้เรียกว่าหย่อง การที่เราเรียกว่า “นมจะเข้” นั้น เพราะเดิมจะเข้ทำเป็นรูปตัวจระเข้ซึ่งเป็น สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง เราจึงเรียกชิ้นไม้เล็กๆที่เรียงรายอยู่บนตัวจะเข้ว่า “นม” ส่วนหย่อง ของจะเข้นั้นเป็นแผ่นไม้แบนหนาด้านบนเจาะเป็นช่องในลักษณะของ “ซุ้มประตู” ตั้งอยู่ตรงด้าน ซ้ายมือของผู้บรรเลงก่อนที่จะถึง “รางไหม” (ร่องสำหรับสอดสายจะเข้ลงไปในรูที่ก้านลูกบิด) ทำหน้าที่รองรับสายทั้ง 3 สายของจะเข้ไว้ก่อนที่จะไปถึงก้านลูกบิดของจะเข้ หย่องของ “หยางฉิน” (ขิมจีน) ในปัจจุบัน บางแบบทำหย่องแยกออกไปตัวๆอย่างอิสระคือ ไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันแต่ทำเป็นลักษณะคล้ายกับตัวหมากรุกมีฐานกลม ด้านบนทำเป็นสันแข็งไว้ รองรับสายขิมเหมือนขิมทั่วไป การที่ทำหย่องแยกเป็นอิสระจากกันนี้มีข้อดีในการปรับเทียบ เสียงคือ ทำให้สะดวกในการจัดเสียงของสายขิมแต่ละเส้นได้อย่างอิสระแต่ก็มีข้อเสียคือแนวที่ ตั้งของหย่องอาจไม่เรียงกันเป็นแถวอย่างสวยงามนักและไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เทียบเสียงเองไม่ เป็นเพราะต้องเลื่อนจัดหย่องประเภทนี้อยู่บ่อยครั้ง หมายเลข 8 “ช่องเสียง” ช่องเสียงนี้มี 2 ช่องด้วยกัน นิยมคว้านเป็นรูกลมไว้บนพื้นไม้ด้านบนของตัวขิม รูนี้มีไว้เพื่อ ช่วยให้เสียงขิมดังกังวานดีขึ้นทั้งนี้เพราะภายในตัวขิมกลวงหากไม่เจาะช่องไว้เสียงจะอับเกิน ไปไม่น่าฟัง เมื่อเจาะเป็นช่องแล้วช่างขิมจะทำแผ่นวงกลมที่ฉลุเป็นลวดลายปิดทับรูช่องเสียงไว้ ทั้ง 2 รูเพื่อให้ดูสวยงามขึ้น วัสดุที่ใช้ทำแผ่นประดับนี้เดิมนิยมทำด้วย งา หรือ กระดูกสัตว์ แต่ ในปัจจุบันเนื่องจาก งา หายาก จึงเปลี่ยนไปใช้พลาสติกแทน แต่บางร้านก็ใช้วัสดุจำพวกโลหะ มาฉลุเป็นลวดลายก็มี แผ่นวงกลมที่นำมาปิดช่องเสียงนี้ไม่มีผลต่อเสียงขิมเท่าใดนัก เป็นการตก แต่งเพื่อให้แลดูสวยงามขึ้นเท่านั้นเอง บางครั้งถ้าแผ่นวงกลมนี้ติดไม่สนิทกับเนื้อไม้จะทำให้มี เสียง “ซ่า” เวลาตีขิม ให้ลองกดแผ่นวงกลมนี้ไว้ด้วยด้ามไม้ขิมข้างหนึ่งในขณะที่อีกมือลองใช้ ไม้ตีสายขิมดู เสียงซ่าจะหายไป แต่ถ้าเสียงซ่ายังไม่หายไปก็อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น หมายเลข 9 “สายขิม” สายขิมนั้นส่วนใหญ่ทำด้วยสายทองเหลืองเนื่องจากมีเสียงกังวานดีและมีสีสันสวยงาม เสียง ขิม 1 เสียง จะเกิดจากสายทองเหลือง 3 เส้น ซึ่งขึงวางพาดอยู่บนตัวขิมและหย่องขิมดังรูปต่อ ไปนี้ 1 – หมุดขิมฝั่งซ้าย 2 – หย่องพักสาย 3 – หย่องหนุนสาย 4 – สายขิม 5 – ตัวขิม 6 – ฝาขิม 7 – ลิ้นชักเก็บฆ้อน 8 – ช่องเก็บลิ้นชัก 9 – สันหย่องหนุนสาย (ใบเสมา) 10 – ฐานหย่องหนุนสาย (ฉลุเป็นร่อง) สายทั้ง 3 เส้นนี้จะขึงอยู่ระหว่างหมุดยึดสายขิมทางฝั่งซ้าย และ หมุดยึดสายทางฝั่งขวาของ ขิมโดยวางพาดอยู่บนหย่อง 3 อันด้วยกันคือ หย่องพักสาย (ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา) และ หย่อง หนุนสาย อีก 1 อัน จำนวนสายขิมทั้งหมดมี 42 เส้น ถ้าเป็นเส้นใหม่ๆจะมีสีเหลืองมันเป็นเงาสวย งาม สามารถใช้มือบิดให้ขาดจากกันได้ง่ายด้วยการพับสายขิมให้งอไขว้กัน แล้วใช้มือบิดโยกไป มาสักสองสามทีก็จะขาด สายทองเหลืองนี้เมื่อนานเข้าจะมีสีดำคล้ำลงเพราะมีขี้ตะกรันมาเกาะ โดยรอบสายจะแห้งเกราะและขาดง่ายขึ้นแต่กลับทำให้เสียงขิมก้องกังวานดีขึ้น ปัจจุบันผู้ผลิตขิมบางรายเปลี่ยนมาใช้สายลวดเหล็กที่เรียกว่า”เสตนเลส-สตีล” (Stainless Steel) ขึงแทนสายลวดทองเหลืองซึ่งให้คุณภาพเสียงขิมดีขึ้นและสายขิมไม่ขาดง่ายแต่ตัวขิม จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะสายลวดเสตนเลส-สตีลนั้นมีความเหนียวกว่าลวดทองเหลืองจึง ต้องขึงให้ตึงมากๆเสียงจึงจะกังวานดี(การที่เพิ่มช่วงยาวของสายขิมทำให้ต้องหมุนสายขิมให้ ตึงมากขึ้นเสียงขิมจึงจะกังวานดี)แต่ถ้าใช้สายลวด เสตนเลส-สตีลมาเปลี่ยนแทนสายลวดทอง เหลืองโดยไม่เพิ่มช่วงยาวของตัวขิมแล้ว เสียงขิมจะไม่น่าฟังเพราะสายยังไม่ตึงเต็มที่หรือถ้า จะให้เสียงดังกังวานดีก็ต้องเทียบเสียงขิมตัวนั้นให้สูงกว่าระดับเสียงปกติที่นิยมบรรเลงกันใน วงเครื่องสายไทย(เสียงที่นิยมบรรเลงกันในวงเครื่องสายคือเสียง เพียงออ) หมายเลข 10 “หย่องพักสายขิม” (หย่องบังคับเสียง) หย่องขิมนั้นมีสองประเภทคือ “หย่องหนุนสายขิม” และ “หย่องพักสายขิม” (หย่องบังคับ เสียงขิม) หย่องทั้ง 2 ประเภททำหน้าที่ต่างกันคือ หย่องหนุนสายขิมจะทำหน้าที่ ถ่ายทอดแรง สะเทือนจากสายขิมลงสู่พื้นไม้บนตัวขิม เพื่อให้เกิดเสียงก้องกังวานดีขึ้นส่วนหย่องพักสายขิมนั้น นอกจากจะทำหน้าที่หนุนสายขิมแล้วยังทำหน้าที่ในการบังคับระดับเสียงสูงต่ำของสายขิมด้วย เพราะหย่องพักสายขิมจะถูกวางให้เอียงทำมุมสอบเข้าหากันทางด้านบนคล้ายกับรูปปิรามิด ด้วย เหตุนี้สายขิมที่พาดอยู่ระหว่างช่วงแคบเช่น ช่วงระยะ A – B ดังในภาพต่อไปข้างล่างจะมีความ ตึงมากกว่าสายที่พาดอยู่ระหว่างช่วงกว้างคือระยะ C – D เสียงของสายขิมที่อยู่ทางด้านบนจึง สูงกว่าเสียงที่อยู่ทางด้านล่าง 1 — หย่องบังคับเสียง (ด้านซ้าย) 2 — หย่องบังคับเสียง (ด้านขวา) 3 — หย่องหนุนสาย (ด้านซ้าย) 4 — หย่องหนุนสาย (ด้านขวา) บนแนวสันของหย่องบังคับเสียงนี้ทำด้วยวัสดุที่ “แข็งเป็นพิเศษ” เพื่อให้สามารถรับแรงกดจาก สายขิมจำนวนมากได้และต้องมีส่วนสูงที่สัมพันธ์กับหย่องหนุนสายขิมด้วย ตัวหย่องนั้นทำด้วย ไม้เนื้อแข็ง ถ้าดูทางด้านหน้าตัดจะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายกับ “รูปปิรามิด” หย่อง บังคับเสียงของขิมรุ่นใหม่บางรุ่นทำฐานแผ่แบนออกมาใช้สำหรับสอดวางท่อนโลหะกลมเล็กๆ เพื่อหนุนสายขิมบางสายให้มีเสียงสูงต่ำเป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะเสียง “ที” (ซี) ขิม เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูล Hammered Dulcimer มีต้นกำเนิดจาก เปอร์เซียหรือดินแดน ตะวันออกกลาง ได้แก่อีหร่านในปัจจุบัน มีการแพร่กระจายไปยังวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้แก่ ยุโรปตะวันออก ตะวันออก กลาง อินเดีย และปากีสถาน มีการเรียก ชื่อเครื่องดนตรีชิ้นนี้ว่า “ซานทูร์” (Santur) และ “คิมบาลอม” (Cymbalom) เมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปอยู่ในวัฒนธรรมใดก็ตาม มักถูกปรับให้มีลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมนั้น ๆ นอกจากนี้ยังเรียกชื่อแตกต่างกันอีกด้วย เช่น อินเดีย เรียกว่า santur, santour, หรือ santoor จีนเรียกว่า “หยาง ฉิน”(Yangqin หรือ Yang Ch’in) |