สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร ใกล้เมืองปาวา นายจุนทกัมมารบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลขอให้พระองค์แสดงธรรมเรื่องความสะอาดในวินัยของพระอริยะว่าเป็นประการใด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่จุนทกัมมารบุตร ความไม่สะอาดทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๑๐ ประการ ความไม่สะอาดทางกาย ๓ ประการ - เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ความไม่สะอาดทางวาจา ๔ ประการ - เป็นผู้พูดเท็จ อาจเพราะเหตุแห่งตนหรือผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย ความไม่สะอาดทางใจ ๓ ประการ - เป็นผู้มีความอยากได้ของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง บุคคลผู้ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ แม้จะทำประการใดก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเองเพราะอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เป็นความไม่สะอาดและเป็นตัวทำให้ไม่สะอาดด้วย เพราะเหตุแห่งการประกอบอกุศลกรรมบท นรกจึงปรากฏ การเกิดเป็นเดรัจฉานจึงปรากฏ เปรตวิสัยจึงปรากฏ หรือทุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ความสะอาดทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๑๐ ประการ ความสะอาดทางกาย ๓ ประการ - เป็นผู้ละ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ มีความละอาย เอ็นดู กรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ความสะอาดทางวาจา ๔ ประการ - เป็นผู้ละการพูดเท็จ เพราะเหตุแห่งตนหรือผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย ความสะอาดทางใจ ๓ ประการ - เป็นผู้ไม่มีความอยากได้ของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง บุคคลผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ แม้จะทำประการใดก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเองเพราะกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เป็นความสะอาดและเป็นตัวทำให้สะอาดด้วย เพราะเหตุแห่งการประกอบกุศลกรรมบท เทวดา มนุษย์ ย่อมปรากฏ หรือสุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง หลังจากฟังธรรมจบ จุนทกัมมารบุตรขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จนเป็นเหตุให้ผู้คนสาปแช่งเขาเช่นการปัสสาวะและอุจจาระที่ทางสัญจรของผู้คนและในสถานที่พักอาศัยร่มเช่นศาลาพักร้อน และใต้ร่มเงาของต้น ไม้เป็นต้น.คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้ 1- ส่งเสริมให้รักษาความสะอาด 2- หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นเหตุให้ถูกสาปแช่ง 3- ส่งเสริมให้รักษาสภาพแวดล้อมให้มีความสะอาด 4- ห้ามทำความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้คนทั่วไป عَنْ جَابِرٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم : أَنَّهُ نَهَى أَنْ يُبَالَ فِي الْمَاءِ الرَّاكِدِ رواه مسلم สาม : เล่าจากญาบิร (ร.ด.) จากท่านนบี (ซ.ล.) ว่า : แท้จริงท่านได้ห้ามปัสสาวะลงในน้ำนิ่ง. รายงานโดยมุสลิม ความหมายโดยสรุป ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้ห้ามพวกเราปัสสาวะลงในน้ำนิ่งคือน้ำที่ไม่มีการไหลถ่ายเทเพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงแก่ผู้ที่จะมาใช้น้ำนั้นอีก การห้ามดังกล่าวนอกจากเป็นการรักษาแหล่งน้ำแล้ว ยังเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ที่จะลงสู่แหล่งน้ำอีกด้วย คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้ 1- ส่งเสริมให้รักษาแหล่งน้ำให้สะอาด 2- การปัสสาวะลงในแหล่งน้ำที่ไม่ไหลถ่ายเท ทำให้ประโยชน์การใช้น้ำเสียไป 3- ปัสสาวะจะทำให้น้ำในแหล่งนั้นกลายเป็นสิ่งโสโครก(นะญิส) หากมีปริมาณน้อย 4- ปัสสาวะจะทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยง ถ้าหากน้ำนั้นมีมาก عَنْ أَبِيْ قَتَادَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ فِي الْهِرَّةِ : " إِنَّهَا لَيْسَتْ بِنَجَسٍ ، إِنَّمَا هِيَ مِنَ الطَّوَّافِيْنَ عَلَيْكُمْ " رواه أبوداود والترمذي สี่ : เล่าจากอะบีกอตาดะห์ (ร.ด.) ว่า ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวถึงเรื่องแมวว่า “ความจริงมันไม่ใช่เป็นสิ่งสกปรก (โสโครก) แต่มันเป็นสัตว์ที่ป้วนเปี้ยนอยู่กับพวกท่าน” รายงานโดยอะบูดาวูดและติรมีซี ความหมายโดยสรุป ท่านนบี (ซ.ล.) ได้อธิบายให้พวกเราทราบถึงข้อกำหนดของสิ่งต่างๆ ในหะดีษนี้ท่านได้อธิบายให้ทราบถึงข้อกำหนดของแมว ซึ่งเป็นสัตว์ที่ศาสนาไม่อนุญาตให้รับประทานเนื้อ แต่เป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดและมักป้วนเปี้ยนอยู่กับผู้คน มีการสัมผัสกัน และบางครั้งก็โดนแมวเลียเป็นต้น ซึ่งท่านก็ได้อธิบายว่าแมวไม่ใช่สิ่งโสโครก (นะญิส) แต่อย่างใด. คำสอนที่ได้รับจากหะดีษนี้ 1-แมวไม่ใช่เป็นสิ่งโสโครก ดังนั้นสิ่งที่แมวสัมผัส หรือถูกแมวเลียจึงไม่เป็นสิ่งสกปรก 2- เหตุผลที่แมวไม่ใช่เป็นสิ่งโสโครกเพราะเป็นสัตว์ที่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้คน عَنْ أَبِي وَاقِدٍ اللَّيْثِيِّ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ : قَالَ رسولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم " مَا قُطِعَ مِنَ الْبَهِيْمَةِ وَهِيَ حَيَّةٌ فَهِيَ مَيْتٌ " رواه أبوداود والترمذي |