กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มีอะไรบ้าง

    ผมลองรวบรวมกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ที่ผู้บริหารครู และบุคลากรทางการศึกษาควรรู้ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี รวบรวมมาได้ถึง 30 กว่ากฏหมายซึ่งถ้าดูตามลำดับชั้นกฏหมาย ตั้งแต่ พรบ.ลงไปถึงกฏกระทรวง ประกาศคำสั่ง ฯลฯ ทำให้รู้สึกว่า กฏหมายทางการศึกษาเราเยอะเกินไปรึเปล่า
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และพ.ศ. 2550
     2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542  และที่ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
     3.พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546
     4.พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
     5.พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
     6. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ.2545
     7. พระราชบัญญัติเงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2547 พระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง(ฉบับที่ 4)พ.ศ.2547 และพระราชกฤษฎีกาการปรับอัตรา เงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ฉบับที่2)พ.ศ.2550
    8.พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพ.ศ.2542 (มีกฏกระทรวงอีกหลายฉบับ)
    9. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546
    10. พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550
   11.พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2550
   12.พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
พ.ศ.2551
    13. พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ.2551
    14. พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการพ.ศ. 2551
    15. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2551
    16.พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
    17. พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540
    18.พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการพ.ศ.2539
    19.พระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542
    20. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.๒๕๕๐
    21.พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
พ.ศ.2546
   22.พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์การมหาชน)พ.ศ.2547
   23.พระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)พ.ศ.2543
   24.พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน)พ.ศ.2548
   25.กฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2546
   26.กฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัวพ.ศ.2547 /ในศูนย์การเรียน พ.ศ.2547 และการจัดการศึกษาเฉพาะทาง พ.ศ.2547
   27. กฎกระทรวงว่าด้วยระบบหลักเกณฑ์และวิธีประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2546
   28.กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาพ.ศ.2550
   29. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุพ.ศ.2535
   30. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณพ.ศ.2526
   31. ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.2548
   32. แผนการศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ.2545-2549)
   33.หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะ(ฉบับใหม่ 1 ต.ค.52) ซึ่งเรียกกันเป็นที่เข้าใจว่า "ว 17"
                         ฯลฯ

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มีอะไรบ้าง

กฎหมาย เป็นกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนดขึ้น เพื่อบังคับให้มีการประพฤติปฏิบัติตาม หากผู้ใดละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตาม ก็จะได้รับโทษ กฎหมาย คือเครื่องมือของรัฐในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิต ประจำวันและการดำเนินงานของทุกคน โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ย่อมต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานด้วย

------------------------------------------------------

ที่มาข้อมูล: สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. (๒๕๕๒). สารานุกรมวิชาชีพครู เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.

ความสำคัญของกฎหมายการศึกษา

การดำเนินงานทางการศึกษา เป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้คนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นฝ่ายจัดการศึกษา ฝ่ายรับบริการทางการศึกษา และฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยบุคคลดังกล่าว ต้องปฏิบัติและดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ดังนั้นกฎหมายจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินงานทางการศึกษากล่าวได้ ดังนี้

๑. กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานจัดการศึกษาของรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดการศึกษาเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้

๒. กฎหมายการศึกษาเป็นกรอบการดำเนินงานที่ช่วยให้การบริหารการศึกษา เป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับของผู้รับบริการและสังคม

๓. กฎหมายการศึกษาช่วยให้สามารถใช้การศึกษาพัฒนาเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

๔. กฎหมายการศึกษาทำให้ประชาชนของประเทศเกิดสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา ทำให้สามารถปฏิบัติตนตามสิทธิ และหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมด้วยบทบาทดังกล่าว กฎหมายและกฎหมายการศึกษาจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือ ดำเนินงานเกี่ยวกับการศึกษาของชาติ หากขาดกฎหมายแล้วอาจทำให้การจัดการศึกษาไม่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้

ลักษณะของกฎหมายการศึกษา

กฎหมายการศึกษาเป็นกฎหมายชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องมีลักษณะของกฎหมายเช่นเดียวกับกฎหมายทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของบุคคล ซึ่งผู้มีอำนาจในประเทศกำหนดขึ้นและใช้บังคับให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม มีลักษณะสำคัญประกอบด้วย (มานิตย์ จุมปา, ๒๕๔๘) 

๑) ต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับเป็นมาตรฐานของสังคม 

๒) ต้องเป็นการกำหนดความประพฤติของบุคคล 

๔) ต้องมีกระบวนการที่แน่นอนในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ กฎเกณฑ์ในกฎหมาย

สำหรับกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ตามรูปแบบเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร กำหนดตามศักดิ์ของกฎหมายได้ ดังนี้

๒. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

๗. กฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นอกจากรูปแบบของกฎหมายดังกล่าวแล้ว กฎหมายยังสามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายลักษณะ ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งประเภท เช่น หลักแหล่งกำเนิดของกฎหมาย หลักสภาพการบังคับของกฎหมาย หลักการใช้กฎหมาย หลักฐานะ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วการแบ่งประเภทของกฎหมายจะยึดหลักฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ ซึ่งแบ่งประเภทกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน กล่าวคือ

๑) กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครอง เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง และกฎหมาย การคลัง เป็นต้น

๒) กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกัน ในฐานะผู้อยู่ใต้ปกครองที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน

กล่าวโดยเฉพาะ “กฎหมายการศึกษา” ก็จะหมายถึง กฎเกณฑ์ที่รัฐหรือผู้มีอำนาจกำหนดขึ้นเป็นกฎ ข้อบังคับการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารและจัดการศึกษา โดยมีรูปแบบทั้งที่เป็นพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวงรวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ที่ใช้บังคับในการดำเนินงานทางการศึกษา และมีลักษณะเป็นกฎหมายมหาชนในสาขากฎหมายปกครอง เนื่องจากกฎหมายการศึกษาส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน และระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกัน เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๖ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็ก เพื่อเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕ และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญา พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น

การจำแนกประเภทกฎหมายการศึกษา

กฎหมายการศึกษาไทยสามารถจำแนกเป็นประเภทได้หลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการจำแนก กล่าวคือ 

หากจำแนกตามศักดิ์ของกฎหมายสามารถแบ่งประเภทออกเป็น

๑) กฎหมายแม่บท ได้แก่ รัฐธรรมนูญ  

๒) กฎหมายลูกบท ได้แก่ กฎหมายที่ออกตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

หากจำแนกตามลักษณะการออกกฎหมาย สามารถแบ่งประเภทออกเป็น

๑) กฎหมายหลัก ได้แก่ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติต่าง ๆ และ

๒) กฎหมายรอง ได้แก่ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งอาศัยอำนาจตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายหลัก ประกอบด้วย กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ เป็นต้น

ในที่นี้จะขอจำแนกประเภทตามลักษณะสาระสำคัญของกฎหมายซึ่งสามารถแบ่งกฎหมายการศึกษาออกเป็น ๕ ประเภท ดังนี้

๑. กฎหมายแม่บททางการศึกษา รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ให้อำนาจในการออกกฎหมายการศึกษาอื่น ๆ ได้แก่

๑.๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

๑.๒ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

๑.๓ พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕

๒. กฎหมายว่าด้วยการจัดการโครงสร้างและการบริหารจัดการทางการศึกษา

๒.๑ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และกฎกระทรวง ระเบียบ ที่ออกตามพระราชบัญญัติฉบับนี้

๒.๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารจัดการศึกษาเฉพาะด้าน เช่น พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น

๒.๓ พระราชบัญญัติจัดตั้งสถานศึกษาเป็นการเฉพาะแห่ง เช่น พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เป็นต้น

๓. กฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ได้แก่ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ และกฎกระทรวง ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้

๔. กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลทางการศึกษา

๔.๑ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑

๔.๒ พระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗

๔.๓ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗

๔.๔ พระราชกฤษฎีกา การปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐

๕. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศึกษาที่ผู้บริหารการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องจะต้องนำมาใช้ประกอบการดำเนินงาน กล่าวคือ

๕.๑ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖

๕.๒ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙

๕.๓ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐

๕.๔ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

๕.๕ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

๕.๖ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖

การบังคับใช้กฎหมายการศึกษา

การใช้กฎหมาย (Application of Law) มีความหมายสองประการ คือ

๑) การใช้กฎหมายในทางทฤษฎี เป็นการนำกฎหมายไปใช้แก่บุคคลในเวลาและสถานที่ หรือตามเหตุการณ์หรือเงื่อนไขในเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งจะสัมพันธ์กับเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น ๆ

๒) การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ เป็นการนำกฎหมายไปปรับใช้แก่คดี หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเจาะจง เพื่อหาคำตอบหรือเพื่อวินิจฉัยพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งในเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่าการปรับใช้บทกฎหมาย การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ ต้องทำด้วยความระมัดระวังเพราะอาจตีความผิด หรือนำเอาบทบัญญัติที่เป็นข้อยกเว้นมาใช้โดยลืมนึกถึงส่วนที่เป็นหลัก หรือนำเอาส่วนที่เป็นหลักมาใช้โดยไม่รู้ว่าเป็นข้อยกเว้น (วิษณุ เครืองาม, ๒๕๓๘)              

อย่างไรก็ตามนักบริหารการศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินงานให้องค์การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จะต้องเลือกใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น ๆ ซึ่งมีแนวทางพอสรุปได้ ดังนี้

๑. ผู้บริหารการศึกษาต้องรู้กฎหมายเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของตน เข้าใจและสามารถปรับบทกฎหมายใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

๒. ผู้บริหารการศึกษาต้องมีความสุจริตในการปฏิบัติงานซึ่งเป็นเจตนาที่ดีในการปฏิบัติงานตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้

๓. ผู้บริหารการศึกษาต้องถือกฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารงานไปสู่ความสำเร็จ กฎหมายไม่ใช่สิ่งขัดขวาง การปฏิบัติงาน ดังนั้น "ผู้บริหารการศึกษา" จะต้องเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบเพียงพอที่จะใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารและจัดการศึกษาให้ได้ 

การใช้กฎหมายในการบริหารและจัดการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผู้บริหารการศึกษาจะต้องมีความรอบรู้และเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ มีความสุจริตใจและมีไหวพริบที่จะใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง

--------------------------------------------------------------------

มานิตย์ จุมปา. (๒๕๔๘). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วิษณุ เครืองาม. (๒๕๓๘). เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย. พิมพ์ครั้งที่ ๒๓. นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

สถาบันพระปกเกล้า. (๒๕๔๔). ประเภทและศักดิ์ของกฎหมายในรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การค้าของคุรุสภา.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (๒๕๔๘). รวมกฎหมายการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การค้าของ สกสค.

สุทัศน์ ทิวทอง. (๒๕๔๖). "หน่วยที่ ๖ บริบทด้านกฎหมาย" ในประมวลสาระวิชาบริบททางการบริหารการศึกษา. นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

กฎหมายการศึกษาจัดการศึกษาไว้กี่รูปแบบ

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้จัดการศึกษา 3 รูปแบบ คือการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 4.1 การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษาหลักสูตรระยะเวลาของการศึกาา การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาอย่างแน่นอน

กฎหมายการศึกษามีหลักการอย่างไร

ลักษณะของกฎหมายการศึกษา ๑) ต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับเป็นมาตรฐานของสังคม ๒) ต้องเป็นการกำหนดความประพฤติของบุคคล ๓) ต้องมีสภาพบังคับ ๔) ต้องมีกระบวนการที่แน่นอนในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ กฎเกณฑ์ในกฎหมาย

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษากฎหมายมีอะไรบ้าง

นักเรียนกฎหมายจะได้พัฒนาทักษะในการหาเหตุผลของคำตอบ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทักษะทางการสื่อสาร, การแก้ไขปัญหาและการคิดนอกกรอบเป็นอย่างมาก ส่งผลให้นักเรียนที่จบออกไปสามารถประยุกต์กับสถานการณ์ต่างๆในสายอาชีพทุกสายอาชีพได้เป็นอย่างดี

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนมีอะไรบ้าง

✎พระราชบัญญัติ 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ(ฉบับที่2) พ.ศ.2545 3. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ(ฉบับที่3) พ.ศ.2553 4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาต(ฉบับที่4) พ.ศ.2562 5. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 6. พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551.