V i t a l S i g n s สัญญาณชีพ (V/S) หมายถึง อาการสำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่ช่วยบอกถึงความปกติหรือความผิดปกติของร่างกาย ประกอบด้วย 4 อาการแสดง (Sign อาการที่แพทย์สามารถตรวจพบได้) คือ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันโลหิต สัญญาณชีพเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงสภาวะสุขภาพของบุคคล การวัดสัญญาณชีพใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินสภาวะสุขภาพของ ผู้ป่วย การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพสามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่ของร่างกายได้
สัญญาณชีพ เป็นอาการที่สามารถตรวจวัดได้ด้วยวิธีการง่ายๆ อาจด้วยตนเอง ยกเว้น ความดันโลหิตที่ต้องมีเครื่องวัด แต่ก็เป็นเครื่องที่ผู้ใหญ่ทุกคนสามารถใช้ได้ ใช้เป็น สัญญาณชีพ เป็นตัวบอกความมีชีวิต ใช้ประเมินการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายโดยเฉพาะ หัวใจปอด และสมอง นอกจากนั้น ยังมีประโยชน์ทั้งในการประเมิน วินิจฉัยสุขภาพเบื้อง ต้น อาจช่วยวินิจฉัยโรคได้ และยังใช้ในการตรวจติดตามและประเมินผลการรักษา ค่าของสัญญาณชีพของแต่ละบุคคล ปกติจะไม่เท่ากัน ขึ้นกับ อายุ เพศ และตรวจใน ขณะพัก หรือหลังการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการออกแรง และเมื่อเกิดความผิดปกติหรือเกิดโรค ค่าของสัญญาณชีพก็จะเปลี่ยนแปลงผิดปกติ เช่น เมื่อมีไข้ ชีพจร อัตราการหายใจ จะสูง ขึ้น ความดันโลหิตอาจสูงหรือต่ำอุณหภูมิร่างกายอาจสูงหรือต่ำกว่าปกติ ขึ้นกับความรุนแรงของโรค เป็นต้น ค่าปกติในผู้ใหญ่
ข้อบ่งชี้ในการวัดสัญญาณชีพ
อุณหภูมิของร่างกาย (Temperature)อุณหภูมิของร่างกายเป็นความสมดุลระหว่างความร้อนที่ร่างกายผลิตขึ้นกับความร้อนที่สูญเสียไปจาก ร่างกาย (การควบคุมอุณหภูมิ - Thermoregulation) 1. อุณหภูมิภายใน (core body temperature)
Critical range or set point = 36.7 – 37 c (98 – 98.6 F ) 2. อุณหภูมิบริเวณผิว (Surface temperature)
การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
1. กลไกของร่างกาย (Physiological mechanisms) 1.2 BMR (Basal metabolic rate) อัตราการใช้พลังงานของร่างกายเพื่อดำรงกิจกรรมที่จำเป็น เช่น การหายใจ(breathing) Metabolic rate ลดลง สัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น 1.3 การทำงานของกล้ามเนื้อ (muscular activity) เช่น อาการหนาวสั่น (shivering) อาการสั่นเพิ่มการผลิตความร้อนได้4-5 เท่า มากกว่าปกติ 1.4 การเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนไทร็อกซิน (thyroxine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ การเพิ่มไทร็อกซิน ทำให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญภายในเซลล์มากขึ้น ซึ่งมีผลให้เพิ่มความร้อนมากขึ้น การเพิ่มของฮอร์โมนอิพิเนฟริน และนอร์อิพิเนฟริน (Nor-epinephrine, epinephrine) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไต ทำให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญภายในเซลล์ทำให้ความร้อนถูกผลิตมากขึ้น 1.5 ภาวะไข้ (Fever) ภาวะไข้ จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญภายในเซลล์ ดังนั้นจะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น เมื่ออุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นก็จะผลิตความร้อนมากขึ้น 2. Voluntary mechanisms 2.3 สภาพแวดล้อม การอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่อบอุ่นเช่น การนั่งกลางแดด, การนั่งผิงไฟ การระบายความร้อน ร่างกายระบายความร้อนออกได้โดย การนำความร้อนมี 2 ชนิด 1.2.2 การนำความร้อนไปสู่อากาศ (Conduction to air) 15% ของความร้อนที่สูญเสียไปทั้งหมดจากร่างกายเปล่าที่นั่งอบู่บนเก้าอี้ที่อุณหภูมิห้องโดยการนำความร้อนจากร่างกายไปสู่อากาศรอบ ๆ ตัว 1.3 การพาความร้อน (Convection) หมายถึง การระบายความร้อนโดยมีกระแสลมพาไป เช่น 15% ของความร้อนที่สูญเสียไปทั้งหมดจากร่างกายเปล่า ที่อุณหภูมิห้อง เป็นผลมาจากการพาความร้อน ความร้อนจะเคลื่อนที่ออกจากร่างกายหลังจากที่มีการนำความร้อนออกมาแล้ว 1.4 การระเหยกลายเป็นไอ (Evaporation) หมายถึง การระบายความร้อนออกมาโดยการระเหยจากพื้นผิวของร่างกาย หรือ การระบายความร้อนออกมาโดยการระเหยของน้ำไปเป็นไอ เช่น 22% ของความร้อนที่สูญเสียไปทั้งหมดจากร่างกายเปล่า ที่อุณหภูมิห้อง คือ ผลของการระเหยของน้ำจากเยื่อบุผิว, ปาก (ลมหายใจ), หรือผิวหนัง (เหงื่อ) 2. Behavioral mechanisms
1. Thermal regulators Sensory receptors for cold and warmth มี 2 ชนิด
1.2 ตัวรับระดับอุณหภูมิ ที่อยู่ภายในร่างกาย (deep body tissue)
1.3 ทั้ง 2 ชนิดมีตัวความเย็นมากกว่า ความร้อน
2. Central integrator สรุปAnterior Hypothalamus ควบคุมการระบายความร้อน (Heat loss) อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า set point ร่างกายต้องปรับลดอุณหภูมิเกิด vasodilation อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า set pointร่างกายต้องปรับเพิ่มอุณหภูมิเกิด vasoconstriction (heat conservation สงวนความร้อน) ร่างกายต้องปรับลดอุณหภูมิเกิด sweating 3. Skeletal muscle อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า set pointร่างกายต้องปรับเพิ่มอุณหภูมิเกิด muscle shivering ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิภายในร่างกาย 1. infant 36.1 –37.7 c (97- 100 F ) ภาวะผิดปกติของอุณหภูมิร่างกาย ระดับความรุนแรงของไข้
ชนิดของไข้
ระยะของไข้
2. ระยะดำเนินของไข้ (fever phase)
3. ระยะสิ้นสุดของไข้
การพยาบาลผู้ป่วยมีไข้
ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia)
อาการแสดงของ Hypothermia
อาการของ Hypothermia
การพยาบาลภาวะ Hypothermia
ชนิดเครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิร่างกาย
ระยะเวลาในการวัดอุณหภูมิ
ปรอทปลายเล็กยาว ออกแบบเพื่อให้สัมผัสกับเส้นเลือดฝอยในปาก, รักแร้ ได้มากขึ้น ข้อดีของการใช้ปรอทวัดอุณหภูมิร่างกาย
ข้อเสียของการใช้ปรอทวัดอุณหภูมิร่างกาย
2. Digital electronic ข้อดีการใช้ Digital electronic
ข้อเสียการใช้ Digital electronic
3. Tympanic membrane
ข้อเสียของการใช้ Tympanic membrane
ตำแหน่งที่ใช้วัดอุณหภูมิร่างกาย
ข้อห้ามในการวัดผู้ป่วยต่อไปนี้
2. ทางทวารหนัก
3. การวัดทางรักแร้
4. การวัดทาง tympanic membrane
การเปลี่ยนหน่วยวัดอุณหภูมิ C = (F –32) x 5/9 |