ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย

          ทั้งนี้ หากเกิดภาวะไฮโปไกลซีเมียขึ้น ผู้ป่วยควรรับประทานกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย เช่น น้ำหวาน 100-200 ซี.ซี. (1/2-1 แก้ว), ลูกอม 2 เม็ด หรือน้ำตาลทราย 2 ก้อน แต่หากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล

สวัสดีค่ะคุณหมอ คือ ตอนนี้หนูมีอาการปวดเหมื่อยตามตัวค่ะ วัดอุณหภูมิได้ประมาน36.6 อยู่ดีๆก็อ่อนเพลียคะ กินข้าวได้ปกติ อยากทราบว่ามันคืออาการขออะไรคะ

 น.พ. วรณัฐ ปกรณ์รัตน์

แพทย์

Jan 24, 2020 at 04:27 PM

สวัสดีครับ คุณ Arisara Buasombat

เบื้องต้น ที่วัดอุณหภูมิมาก็ไม่มีไข้นะครับ  แต่การอ่อนเพลียอาจเกิดจากการพักผ่อนน้อย นอนไม่พอ เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมหนักๆ ออกแดด เหงื่อออกมา หรือ ขาดน้ำ ซึ่งถ้ายังรับประทานอาหารได้ปกติ ก็แนะนำนอนพักผ่อนเยอะๆก่อนครับ 

เป็นอาการเหน็ดเหนื่อย รู้สึกอ่อนล้า หมดแรง หรือขาดพลังงาน เมื่อเกิดอาการขึ้นแล้วจะทำให้ตัวบุคคลนั้น ๆ สูญเสียสมาธิ ไม่มีแรงกระตุ้น และมีพลังงานในการกระทำสิ่งใด ๆ ลดน้อยลง รวมถึงอาจกระทบต่อสภาพอารมณ์และสุขภาพจิตของบุคคลนั้นได้ด้วย อาการเมื่อยอาจเกิดจากการทำงานหรือกิจกรรมอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจเป็นอาการที่เกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่โรคที่มีความรุนแรงน้อยไปจนถึงโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิต นอกจากนี้ อาจมีอาการเมื่อยอันเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา ขาดการออกกำลังกาย หรือรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัยได้เช่นกัน

ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย

หากได้รับประทานอาหารและพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว แต่อาการเมื่อยล้ายังไม่หายไป ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่

สัญญาณสำคัญของอาการเมื่อยที่ควรไปพบแพทย์

เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นร่วมกับอาการเมื่อย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา หากผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หรือต้องการความช่วยเหลือ ควรรีบขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพื่อให้นำส่งแพทย์อย่างทันท่วงทีต่อไป

  • มีอาการเมื่อยล้าที่หาสาเหตุไม่ได้ ร่วมกับมีไข้ น้ำหนักลด
  • ปัสสาวะน้อยมาก หรือไม่ปัสสาวะเลย
  • ท้องผูก น้ำหนักขึ้น ผิวแห้ง หนาวง่าย
  • ตัวบวมขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
  • นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน
  • เวียนศีรษะ สับสนมึนงง
  • สายตาพร่ามัว มองเห็นเป็นภาพเบลอ
  • เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
  • หายใจถี่ หายใจไม่อิ่ม
  • หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือหัวใจเต้นแรง
  • ปวดศีรษะตลอดเวลา
  • ปวดท้อง ปวดท้องน้อย หรือปวดหลังอย่างรุนแรง
  • รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หรือรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย
  • มีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดไหลออกจากทวาร
  • รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ
  • มีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย หรือการทำร้ายตัวเอง
  • มีความคิดหรือความกังวลว่าจะทำร้ายผู้อื่น

หากผู้ป่วยมีอาการเมื่อยล้าอย่างเรื้อรังยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ โดยที่อาการไม่ดีขึ้นแม้จะผ่านการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และผ่อนคลายความตึงเครียดไปแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาเช่นกัน

สาเหตุของอาการเมื่อย

อาการเมื่อยอาจเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิต การทำกิจกรรมในใช้ชีวิตประจำวัน การรักษาทางการแพทย์ หรืออาจเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนี้

การใช้ชีวิต หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

  • ทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงอย่างหนัก เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก ยกของหนัก ลากของหนักเป็นเวลานาน ๆ
  • ขาดการออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมที่เพิ่มความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อร่างกายส่วนต่าง ๆ
  • นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • น้ำหนักเกิน หรืออยู่ในภาวะอ้วน
  • อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ซึ่งมีสภาวะทางอารมณ์ไม่คงที่
  • รับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย
  • บริโภคคาเฟอีนจากกาแฟหรือชามากจนเกินไป
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือการใช้ยาเสพติด
  • การเดินทางข้ามเขตเวลาโลก (Jet lag)

การใช้ยาและการรักษาทางการแพทย์

  • การใช้ยาที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการเมื่อยล้าหมดแรง เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้ปวด ยาต้านฮิสตามีน ยารักษาความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหัวใจ ยาสเตียรอยด์ ยาคลายกังวล ยาต้านเศร้า ยานอนหลับ เป็นต้น
  • การบำบัดรักษาโรค เช่น เคมีบำบัด รังสีบำบัด

การเจ็บป่วยด้วยโรคและปัญหาสุขภาพทางร่างกาย

  • ป่วยด้วยโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่
  • ภาวะขาดธาตุเหล็ก
  • โรคโลหิตจาง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการเจ็บปวดบริเวณใดบริเวณหนึ่งอย่างเรื้อรัง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนไม่หลับ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคลมหลับ
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติ
  • ภาวะข้ออักเสบ หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • โรคแอดดิสัน (Addison Disease) ที่ต่อมหมวกไตทำงานได้น้อยกว่าปกติ
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน เช่น โรคคลั่งผอมหรือโรคกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) ทำให้ผู้ป่วยอดอาหาร
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคพุ่มพวง (Lupus)
  • เจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับหรือไต เช่น ตับวายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง
  • ป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งมักเกิดจากการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
  • ภาวะติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อจากปรสิต โรคไวรัสตับอักเสบ วัณโรค การติดเชื้อเอชไอวี
  • ศีรษะกระแทก สมองถูกกระทบกระเทือนหรือได้รับบาดเจ็บ
  • โรคทางเส้นประสาท เช่น เส้นประสาทส่วยปลายถูกกด โรคปลอกประสาทอักเสบ
  • โรคมะเร็งต่าง ๆ
  • โรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย
  • กลุ่มอาการล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) ซึ่งเป็นอาการเมื่อยล้าอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป

การเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพทางจิตใจ

  • เกิดความเบื่อหน่าย
  • มีความวิตกกังวล ความเครียด
  • ภาวะซึมเศร้า หรือเผชิญกับความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก
  • โรคทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ ไม่มีแรง เฉพาะในช่วงฤดูกาลนั้นของทุกปีมาถึง และจะมีอาการดีขึ้นเมื่อผ่านพ้นไป ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการป่วยในช่วงฤดูที่แตกต่างกันไป โดยผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการในช่วงฤดูหนาวเป็นส่วนใหญ่

การวินิจฉัยอาการเมื่อย

แพทย์จะสอบถามอาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้น ประวัติทางการแพทย์และการรักษา ตลอดจนการใช้ชีวิตและกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการเมื่อย แล้วจึงทำการตรวจร่างกาย โดยจะเน้นตรวจบริเวณที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจ น้ำเหลือง ต่อมไทรอยด์ บริเวณช่องท้อง และระบบประสาทต่าง ๆ ที่อาจเกิดการเจ็บป่วยซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเมื่อยได้ จากนั้น แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุของอาการเมื่อย เช่น

  • ตรวจเลือด แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดไปตรววจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาภาวะอักเสบ ภาวะติดเชื้อ หรือตรวจการทำงานของอวัยวะภายในระบบต่าง ๆ เช่น ตรวจการทำงานของไต ตับ ต่อมไทรอยด์ หรือตรวจหาภาวะโลหิตจาง โรคเบาหวาน แพทย์จะวินิจฉัยอาการป่วยโรคต่าง ๆ โดยดูจากความสมบูรณ์ของเลือด โปรตีนหรือสารประกอบที่อยู่ในเลือด
  • ตรวจปัสสาวะ เช่น ในการตรวจการทำงานของไต อาจใช้วิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะในขณะนั้น หรือให้ผู้ป่วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาโปรตีนที่อยู่ในปัสสาวะซึ่งอาจแสดงถึงอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ แพทย์อาจส่งตรวจด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ตามความเหมาะสมต่อไป

การรักษาและการป้องกันอาการเมื่อย

อาการเมื่อยสามารถรักษาได้จากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ หากเป็นอาการเมื่อยที่ไม่รุนแรง ซึ่งเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิต หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาบรรเทาอาการให้ดีขึ้น และยังเป็นแนวทางที่อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการเมื่อยขึ้นได้ด้วยตนเอง เช่น

  • นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถูกหลักโภชนาการและสุขอนามัยในปริมาณที่เหมาะสม
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้ยาเสพติด
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ ไม่ออกกำลังกายอย่างหนักจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงอย่างหนัก ไม่หักโหมทำงานหนัก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ มากจนเกินไป
  • พักผ่อนร่างกายด้วยกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การเล่นโยคะ หรือการนั่งสมาธิ
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญกับความเครียด หรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเครียด
  • เรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียด แก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างเหมาะสม
  • ผ่อนคลายจากความเครียดด้วยการพักผ่อน การไปท่องเที่ยว หรือการทำกิจกรรมที่สร้างความบันเทิง
  • หากกำลังเจ็บป่วยและอยู่ในระหว่างการพักฟื้นรักษาตัว ต้องรับประทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยดูแลตนเองและปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวแล้วอาการไม่ทุเลาลง หรือยังคงมีอาการเมื่อยปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา

ส่วนอาการเมื่อยที่เกิดจากการเจ็บป่วยและปัญหาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาตามโรคและการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุ และปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการเกิดโรคนั้น ๆ ตามแต่กรณีไป โดยผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์ตามนัดหมาย รับประทานยา ปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ ปรึกษาแพทย์ถึงแนวทางที่เหมาะสมในการดูแลตนเองระหว่างการพักฟื้น และซักถามแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติม

ร่างกายอ่อนเพลียเกิดจากอะไร

อ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความรู้สึกเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจหรือขาดพลังงาน สาเหตุที่พบบ่อยคือ โรคประจำตัวที่มีความรุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก หรือเป็นผลมาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เช่น ขาดการออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่เพียงพอ

เมื่อร่างกายอ่อนเพลียกินอะไรดี

รวม 4 อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย กลับมาสดชื่นต้องรับวันใหม่.
1. น้ำ น้ำ ถึงจะไม่ใช่สารอาหารโดยตรง แต่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานในร่างกายและระบบสมองอย่างยิ่ง รู้หรือไม่? ... .
2. คาร์โบไฮเดรต ... .
3. วิตามินรวมแบบเม็ด ... .
4. วิตามินรวมแบบเม็ดฟู่ ละลายน้ำ.

อ่อนเพลียรักษายังไง

12 วิธีปลุกความสดชื่น คลายความเหนื่อยล้า เริ่มต้นวันใหม่อย่างมี....
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ... .
2. นอนให้เร็วขึ้น ... .
3. กินของว่างสารอาหารสูงในช่วงสี่โมงเย็น ... .
4. ออกกำลังกายบ้าง ... .
5. โยคะสักหน่อยก็ได้ ... .
6. ปรับเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย ... .
7. รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ... .
8. ห่างจากกาแฟสักพัก.

เมื่อร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียมาก ๆ ควรรับประทานสารอาหารจำพวกใด เพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว

การเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื่องจากเมื่อเราป่วย ร่างกายจะดึงโปรตีนจากกล้ามเนื้อไปสร้างเป็นพลังงาน ทำให้เรามีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ผู้ที่ป่วยนาน อาจมีน้ำหนักตัวลด ซูบผอม ควรเลือกรับประทาน นม ไข่ ปลา ถั่ว และโฮลเกรน เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายหลังจากการพักฟื้นจากอาการป่วย จะทำให้ร่างกายกลับมาสดชื่นมาก ...