รู้จักโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่และกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยมาก ทั้งกลางวัน กลางคืน ปวดกลั้นมากขณะที่จะไปห้องน้ำจนบ่อยครั้ง หรือบางครั้งกลั้นไม่อยู่ราดออกไปก่อน สตรีหลังคลอดบุตรตามธรรมชาติผ่านช่องคลอด 2 – 3 คนแล้ว อาจจะพบว่ามีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาบ้างทั้งน้อยหรือมากเมื่อเวลาเป็นหวัด มีไอและจาม พบว่าปัสสาวะเล็ด เรียกว่า ปัสสาวะเล็ดเมื่อมีการออกแรงเบ่งช่องท้อง (Stress Urinary Incontinence, SUI) รวมทั้งอาจเกิดขึ้นได้เมื่อก้มลงยกของหนักจากพื้นหรือกระโดดออกเอกเซอร์ไซส์ หรือแม้แต่ก้าวขึ้นบันไดหลาย ๆ ขั้นก็ตาม Show
สาเหตุโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สาเหตุหลักที่สำคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงในสตรีเพศเป็นเพราะว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนลง บางทีเรียกกันว่า กระบังลม (เชิงกราน) หย่อน ลองนึกถึงภาพ เปลญวณที่ผูกขึงไว้หย่อนเมื่อมีแรงของน้ำหนักตัวที่ลงไปนั่งนอนยิ่งหย่อนลงไปคล้าย ๆ กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่หย่อนอาจจะดึงท่อปัสสาวะและช่องคลอดหย่อนลงมาด้วยเป็นมุมที่ทำให้ปัสสาวะเล็ดราดออกมาได้ง่ายนั่นเอง
ประเภทโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
โรค/กลุ่มอาการปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
ความชุกของโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากสถิติตัวเลขที่มีรายงานในสหรัฐอเมริกาพบว่า มีชาวอเมริกาเป็นโรคปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ถึง 25 ล้านคนและกลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน 33 ล้านคน สำหรับประเทศไทยนี้เคยมีการศึกษาร่วมกัน 4 โรงพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬา และโรงพยาบาลกรุงเทพ รวมข้อมูล 905 คน ความชุกของโรค/อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งพบว่าเมื่อปี ค.ศ. 1998 ศึกษาในเพศหญิงแบ่งตามอายุเป็น 3 กลุ่ม พบความผิดปกติและอาการต่าง ๆ ที่แสดงตามตารางดังต่อไปนี้ ข้อมูลความชุกของโรคและกลุ่มอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สำหรับเพศหญิงในประเทศไทย (ตาราง)
การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์
รักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่การรักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่และกลุ่มอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ในที่นี้จะเน้นโรคปัสสาวะเล็ดเวลาออกแรงเบ่ง เช่น ไอหรือ จาม (Stress Urinary Incontinence) เป็นหลัก รวมทั้งปัสสาวะปวดกลั้นและราดออกไปก่อนจะเดินถึงห้องน้ำ (Urgency Incontinence) และหรือกลุ่มความรู้สึกกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Over Active Bladder)
บำบัดรักษาด้วย QRS – PelviCenter (Quantum Resonance Systems)ที่ผ่านมาในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว บ่อยครั้งซึ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาเก็บและขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ เนื่องจากความบกพร่องของกลุ่มกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะ ท่อทวารหนัก ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เล็ดราดเมื่อไอจามหรือออกแรงเบ่งช่องท้อง โดยเฉพาะในเพศหญิงปัสสาวะเล็ดราดสภาพการเสื่อมทางสรีระของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานนี้มักจะเกี่ยวกับการคลอดบุตร การตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคอ้วนน้ำหนักเกินมากอ่อนแรงลง ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เรารู้จักกันมานานเรียกว่า “Kegel Exercises” หรือ Pelvic Floor Muscle Exercise, PFME จึงเป็นวิธีการที่ทางการแพทย์ได้แนะนำและสอนให้ผู้ป่วยทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปกติต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 สัปดาห์ถึง 3 เดือน วันละ 2 – 3 รอบ ในการฝึกปฏิบัตินี้ ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลกรุงเทพมีวิธีการฝึกสอนที่เป็นมาตรฐานเป็นรูปแบบที่ดีจากอดีตปี พ.ศ. 2539 มาจนถึงปัจจุบัน QRS PelVi Center เทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์
ปัจจุบันศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลกรุงเทพได้ติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ล่าสุดที่จะนำมาใช้ในการรักษากลุ่มอาการของโรคดังกล่าวข้างต้น ด้วยเครื่อง QRS-PelviCenter (Quantum Resonance Systems) เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน โดยใช้หลักการของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นกลุ่มกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทั้งระบบและจะส่งคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแรงสั่นสะท้านลักษณะรูปโคมแบบ 4 มิติเป็นคลื่นที่สัมผัสได้เบา ๆ ถึงแรงสั่นสะเทือน แต่ไม่รู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อ (ต่างกับการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า) ได้ทั้งส่วนเนื้อที่ความกว้างและความสูงหรือลึกไปถึงโครงสร้างกล้ามเนื้อเชิงกรานทั้งหมดของช่องอุ้งเชิงกราน (กระบังลม) และกล้ามเนื้อส่วนหลังและหน้าท้องส่วนล่างเกือบทั้งหมด ระบบของสนามแม่เหล็กถูกสร้างขึ้นเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดสนามแม่เหล็กซึ่งซ่อนอยู่ข้างใต้เบาะเก้าอี้นวมที่นั่งสบายสำหรับผู้ป่วย จึงเป็นวิธีการที่สะดวกสบายมาก ทั้งหมดนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ทดแทนการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel Exercises ไปโดยปริยายจึงเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยวัยสูงอายุ รวมทั้งเด็กและเยาวชนด้วย ปกติการบำบัดนี้ใช้เวลาครั้งละ 20 นาที ควรทำอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง จนครบ 8 – 16 ครั้ง (เต็มทั้งคอร์สของการรักษา) มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วในปีนี้ 2017 พบว่า ผู้ป่วยหญิงที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดราดได้รับผลการรักษาว่าดีมากในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ12 เดือน แล้วได้รับการบำบัดรักษาเต็มคอร์ส 16 ครั้งแรก นอกจากนี้แล้ว QRS – PelviCenter (Quantum Resonance Systems) ยังสามารถช่วยในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและในอุ้งเชิงกรานในท่ากล้ามเนื้อหูรูดเพศชายหย่อนสภาพหลังได้รับการผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก หรือขูดต่อมลูกหมากโต อวัยวะเพศหย่อนสมรรถภาพไม่แข็งตัว ED (Erectile Dysfunction) อาการปวดหน่วง ๆ ต่อมลูกหมาก รวมทั้งอาการปวดในอุ้งเชิงกรานเรื้อรังที่พบในเพศหญิง เป็นต้น ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการรักษาข้อควรระวัง
ผลข้างเคียง
การปฏิบัติตัวก่อน QRS
การปฏิบัติตัวหลัง QRS
|