หมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วน 1 ข้อความทั่วไป ส่วน 2 ความรับผิดในการเสียภาษี ส่วน 3 ฐานภาษี ส่วน 4 อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วน 5 การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วน 6 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีและการคำนวณภาษี ส่วน 7 การยื่นแบบและการชำระภาษี ส่วน 8 เครคิตภาษีและการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วน 9 การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วน 10 ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ ส่วน 11 การจัดทำรายงานและเก็บรักษาหลักฐานและเอกสาร ส่วน 12 อำนาจเจ้าพนักงานประเมิน ส่วน 13 เบี้ยปรับ - เงินเพิ่ม ส่วน 14 บทกำหนดโทษ การจัดทำบัญชีกิจการประเภทต่าง ๆ เมื่อเริ่มต้นประกอบธุรกิจ ผู้จัดทำบัญชีต้องเตรียมการในเรื่องการจัดทำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่ใช้ดำเนินงานตามกระบวนการปฏบัติงานทางการบัญชีของกิจการแต่ละประเภท ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการประกอบการได้ 3 ประเภท คือ กิจการบริการ กิจการซื้อ-ขายสินค้าและกิจการอุตสาหกรรม การทำบัญชีของกิจการประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากรมสรรพากรได้นำมาใช้ในการจัดเก็บภาษีการค้า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มป็นระบบที่ชัดเจน เป็นธรรมกับผู้ผลิตและผู้บริโภคทำให้ต้นทุนสินค้าที่ขายมีราคาไม่สูง ช่วยสนับสนุนการแข่งขันเพื่อการส่งออกในระดับโลก ในหน่วยนี้จะกล่าวถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีของกิจการบริการ กิจการซื้อ-ขายสินค้า และกิจกรรมอุตสาหกรรม การจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชี การจัดทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย รายงานสินค้าและวัตถุดิบ การปรับปรุงและปิดบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.1 ความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) เป็นภาษีอากรประเมินที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต มูลค่าที่เพิ่มเป็นผลต่างระหว่างราคาขายสินค้าหรือบริการกับราคาสินค้าหรือบริการที่ซื้อมาเพื่อการผลิต หรือจำหน่าย ภาษีขาย คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เรียกเก็บ หรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ ภาษีซื้อ คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บ เนื่องมาจากการซื้อสินค้าหรือบริการมาเพ่อใช้ในกิจการของตนเอง ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการและจะต้องแสดงจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มแยกออกต่างหากจากมูลค่าสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ คำนวณได้ดังนี้ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ 1.2 ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ผู้ประกอบการซึ่งได้แก่ ผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้นำเข้า และผู้ส่งออกที่มีรายรับเกินกว่า 1.8 ล้านต่อปี ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจในรูปแบบ บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคล 1.3 ผู้ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อขายสินค้าหรือบริการไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ในการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบรวมทั้งสินค้าทุนที่นำมาใช้ในการประกอบการต้องชำระ ภามูลค่าเพิ่มเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการการจดทะเบียนอื่น โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้เช่นเดียวกับราจ่ายในการประกอบกิจการตามปกติ ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มมีดังนี้ - กิจการมีรายรับไม่เกิน 1,800,000 บาท ต่อปี - กิจการที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ - การขายพืชผลทางการเกษตร - การขายสัตว์ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต - การขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร - การขายหนังสือพิมพ์ หนังสือ นิตยสาร ตำราเรียน - การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ - การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน - การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น - การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร - การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ - การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศซึ่งไม่ใช่ขนส่งโดยอากาศยานหรือเรือเดินทะเล - การให้บริการวิจัยหรือการให้บริการทางวิชาการ - การให้บริการรักษาพยาบาลของราชการและเอกชน - การประกอบวิชาชีพอิสระ - การให้บริการศิลปะและวัฒนธรรม - การขายสินค้าและบริการของกระทรวง ทบวง กรม - การขายสินค้าและบริการเพื่อประโยชน์ทางศาสนา - การให้บริการทางราชการส่วนท้องถิ่นแต่ไม่รวมถึงการบริการทางพาณิชย์ - การให้บริการการศึกษาของราชการและเอกชน - การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ - การขายสลากกินแบ่งรัฐบาล สลากออมสินของรัฐบาล และสลากบำรุงสภากาชาดไทย - การขายยาสูบที่ผลิตโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบที่เป็นองค์การของรัฐ - การขายแสตมป์ไปรษณีย์ อากรแสตมป์ แสตมป์ของรัฐ เฉพาะที่ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้ - การบริจาคให้แก่ สถานพยาบาล สถานศึกษาราชการ สาธารณกุศล - การขายสินค้าและบริการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ - สินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้าในเขตอุตสาหกรรมส่งออก - สินค้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร - สินค้าซึ่งนำเข้า และอยู่ในอารักขาของศุลกากร แล้วได้ส่งกลับออกไปต่างประเทศ โดยได้คือ อากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร 1.4 ฐานภาษี ฐานภาษี หมายถึง มูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับ จากการขายสินค้าหรือบริการ แต่ไม่รวมส่วนลดการค้า ค่าชดเชยหรือเงินอุดหนุนตามอธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี ภาษีขาย และค่าตอบแทนอื่นๆ ตามกฎหมายกำหนด ได้แก่มูลค่าสินค้าที่แถมพร้อมรายการขาย และมูลค่าสินค้าที่แจก หรือรางวัลที่แจกผู้ซื้อในแต่ละวัน แต่มูลค่าต้องไม่เกินมูลค่าที่ขาย 1.5 อัตราภาษี ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยปัจจุบันมี 2 อัตราคือ 1.5.1 อัตราร้อยละ 7 สำหรับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการ และการนำเข้าที่มีรายรับเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องคำนวณหาภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ต้องชำระหรือมีสิทธิ์ได้รับคืน การคำนวณภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน คำนวณจาก ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ 1.5.2 อัตราร้อยละ 0 ผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 มีดังนี้ 1) การส่งออกสินค้าสินค้าที่มิใช่สินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้ใช้บริการนั้นในต่างประเทศ 3) การขนส่งระหว่างประเทศทางอากาศยานหรือเรือเดินทะเล 4) การขายสินค้าหรือบริการให้กับส่วนราชการตามโครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ 5) การขายสินค้าหรือบริการแก่องค์กรการสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานกงสุลใหญ่หรือสถานเอกอัครราชทูตตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด 6) การขายสินค้าหรือบริการระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการเขตปลอดอากรหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนกับผู้ประกอบการเขตปลอดอากร 1.6 ภาษีซื้อต้องห้าม หรือภาษีซื้อที่ไม่ให้หักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อตามมาตรา 82/5 และ 82/6 ห้ามบันทึกในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบการ ไม่มีหลักฐานใบกำกับภาษี หรือมีข้อความไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ หรือออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี ภาษีซื้อต้องห้ามที่เกิดจากการจ่ายค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่ารับรอง ค่าที่พัก การบันทึกบัญชีให้บันทึกรวมภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายนั้น และนำไปคำนวณกำไรขาดทุน 2.การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการต่างๆ กิจการที่จะจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีบัญชีเพิ่มขึ้น 3 บัญชี คือบัญชีภาษีซื้อ บัญชีภาษีขายและบัญชีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้กรมสรรพากร การบันทึกบัญชีจะแตกต่างกันดังนี้ การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับกิจการบริการ ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระบริการ และออกใบกับกำภาษี จึงจะบันทึกภาษีขาย ถ้าผู้ให้บริการยังไม่ได้ชำระค่าบริการความรับผิดชอบในการเสียภาษียังไม่เกิดขึ้น จึงยังไม่บันทึกภาษีขาย แต่จะบันทึกในบัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ ผู้รับบริการได้รับใบแจ้งหนี้ แต่ยังไม่ชำระค่าบริการบันทึกบัญชีภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนดชำระเมื่อชำระค่าบริการ และได้รับใบกำกับภาษีจึงบันทึกภาษีซื้อ บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ บัญชีภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนดชำระ จะบันทึกปิดบัญชีเมื่อรับชำระหรือจ่ายชำระ หากผู้ใช้บริการยังไม่สามารถชำระเงินค่าบริการทั้งหมดจะชำระเพียงบางส่วนก็จะบันทึกภาษีซื้อและภาษีขายตามสัดส่วนที่ได้รับหรือจ่ายชำระหนี้ โดยจะออกใบกำกับภาษีตามสัดส่วนที่รับชำระหนี้และจ่ายชำระหนี้ค่าบริการ บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ เป็นบัญชีภาษีขายที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเนื่องจากผู้ให้บริการยังไม่ได้รับชำระค่าบริการ ควรรับผิดในภาษียังไม่เกิดแต่มีกิจกรรมทางการค้าเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์เงินสด ที่จะบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายต่อเมื่อได้รับเงินหรือจ่ายเงินไปจริงทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงงวดเวลาที่เกี่ยวข้องของเงินที่ได้รับมาหรือจ่ายไป บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ เป็นบัญชีปรับการรายงานมูลค่าลูกหนี้การค้าในงบดุล ดังนั้นจึงจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์ ส่วนบัญชีภาษีซื้อยังไม่ครบกำหนดชำระหรือภาษีซื้อที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ก็เป็นไปตามเกณฑ์เดียวกันแต่เป็นรายการทางด้านผู้รับบริการ และเป็นบัญชีปรับการรายงานมูลค่าของเจ้าหนี้ในงบดุล ดังนั้นจึงอยู่ในหมวดหนี้สิน 2.2.1 เงื่อนไขทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าและขายสินค้า 1) ส่วนลดการค้า การขายสินค้าเป็นบัญชีในหมวดรายได้หลักการบัญชีมีวิธีการปฏิบัติเช่นเดียวกับธุรกิจบริการ การขายมีทั้งการขายเงินสดและการขายเงินเชื่อ การขายเงินสดจะมีเงื่อนไขทางการค้าเรียกว่าส่วนลดการค้า ส่วนลดการค้า หมายถึง ส่วนลดที่เกิดขึ้นจากการต่อรองราคาสินค้าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายสินค้า เพื่อให้ผู้ขายยอมลดราคาสินค้าจากที่กำหนดไว้ในเอกสารใบแจ้งราคาส่วนลดการค้า ทำให้กิจการไม่ต้องเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าบ่อยๆ ถ้าผู้ขายจะลดราคาสินค้าให้กับผู้ซื้อมากก็เพิ่มอัตราส่วนลดการค้าให้มากขึ้น การกำหนดอัตราส่วนลดการค้าจะกำหนดเป็นอัตราร้อยละจากราคาสินค้าที่กำหนดไว้ในใบแจ้งราคา นอกจากนี้ยังมีการกำหนดส่วนลดการค้าเป็นขั้นๆ หรือที่เรียกว่า ส่วนลดซ้อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อซื้อสินค้ามากขึ้น 2) ส่วนลดเงินสด เป็นส่วนลดที่ผู้ขายสินค้ามักจะใช้จูงใจให้ผู้ซื้อชำระค่าสินค้าเร็วขึ้น โดยผู้ขายยอมที่จะลดจำนวนเงินที่จะได้รับชำระน้อยลง 2-3% ส่วนลดนี้เรียกว่า ส่วนลดเงินสด เช่น - 2/10, n/30 หมายความว่าผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าภายใน 30 วัน นับจากวันที่ระบุในใบกำกับสินค้า แต่ถ้าผู้ซื้อชำระหนี้ภายใน 10 วัน นับจากวันในใบกำกับสินค้าจะได้ส่วนลด 2% - 3/10 E,O,M.n/30 หมายความว่าผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าภายใน 30 วัน นับจากวันที่ในใบกำกับสินค้าแต่ถ้าชำระหนี้ภายใน 10 วันของเดือนถัดจากเดือนที่ซื้อจะได้ส่วนลด 3% ส่วนลดเงินสดจะต้องบันทึกบัญชีทั้งด้านผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อเรียกส่วนลดเงินสดที่ได้จากการชำระหนี้ภายในเงื่อนไขการชำระเงินว่า ส่วนลดรับ และจะนำส่วนลดรับไปหักจากยอดซื้อ เพื่อหายอดสุทธิที่ต้องจ่ายชำระเงิน ผู้ขายเรียกส่วนลดเงินสดที่ให้ผู้ซื้อว่า ส่วนลดจ่าย และนำส่วนลดจ่ายไปหักจากยอดขาย เพื่อหายอดขายสุทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากผู้ซื้อ 3) เงื่อนไขการขนส่งสินค้า ในการซื้อหรือขายสินค้าจะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการขนส่งสินค้า เงื่อนไขการขนส่งสินค้าเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งมีดังนี้ (1) F.O.B Shipping Point เป็นราคาสินค้าที่ไม่รวมค่าขนส่งหรือการส่งมอบต้นทาง ผู้ซื้อจะเป็นผู้รับภาระค่าขนส่งเอง ทำให้ต้นทุนสินค้ามีราคาสูงขึ้น เรียกว่า ค่าขนส่งเข้า (2) F.O.B Destination เป็นราคาสินค้าที่ได้รวมค่าขนส่งแล้ว หรือการส่งมอบปลายทาง ผู้ขายเป็นผู้รับภาระค่าขนส่งเอง เรียกว่า ค่าขนส่งออก ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกิจการ 2.2.2 การซื้อ – ขายสินค้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซื้อ – ขายสินค้า ซื้อทรัพย์สิน หรือจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะต้องนำหลักฐานที่เกิดจากรายการค้ามาบันทึกบัญชี ความรับผิดชอบในภาษีมูลค่าเพิ่มจะเกิดเมื่อมีการส่งมอบตามเกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) เอกสารใบกำกับภาษีรวมอยู่ในฉบับเดียวกับใบกำกับสินค้าหรือใบส่งของ เมื่อได้รับการชำระหนี้จะออกใบเสร็จรับเงิน กรณีกิจการขายสินค้าป็นเงินสด อาจจะทำใบเสร็จรับเงิน ฉบับเดียวกับใบส่งของ หรือใบกำกับภาษีก็ได้ และเมื่อสิ้นเดือนของทุกเดือนต้องโอนปิดบัญชีภาษีซื้อและบัญชีภาษีขาย รายการภาษีซื้อและภาษีขายต้องบันทึกแยกออกจากมูลค่าสินค้าหรือบริการ ทั้งนี้เพื่อจะได้สรุปยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งหรือขอคืน ภาษีซื้อไม่ใช่ค่าใช้จ่ายและภาษีขายไม่ใช่รายได้ ภาษีซื้อจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์เพราะกิจการจะได้สิทธิ์ขอคืนภาษีซื้อจากกรมสรรพากร ส่วนภาษีขายจัดอยู่ในหมวดหนี้สิน เนื่องจากเป็นภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้ซื้อและมีภาระผูกพันที่จะต้องนำส่งให้กรมสรรพากร ส่วนบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นบัญชีชั่วคราวที่เปิดขึ้นเพื่อสรุปผลระหว่างภาษีซื้อและภาษีขายในแต่ละเดือนภาษี บัญชีภาษีมูลค่าจะจัดเป็นบัญชีในหมวดสินทรัพย์ เมื่อภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายและไม่ขอคืนภาษี แต่ต้องการยกยอดไปหักกับบัญชีภาษีขายในเดือนถัดไป 2.2.3 การปรับปรุงบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและการยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม 1) การปรับปรุงภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ภาษีขาย xx ภาษีซื้อ xx เจ้าหนี้-กรมสรรพากร xx การปิดบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผลต่างให้โอนเข้าบัญชี เจ้าหนี้-กรมสรรพากร กิจการต้องนำเงินไปชำระโดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือน ถัดจากเดือนภาษี กรณีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ภาษีขาย xx ลูกหนี้-กรมสรรพากร xx 2) การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี ในวันสิ้นเดือนของทุกเดือนผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรวบรวมภาษีซื้อ ภาษีขาย เพื่อคำนวณภาษีมูลค่าพิ่มที่จะต้องชำระหรือขอคืนพร้อมการยื่นแบบรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะขอคืน = ภาษีซื้อ – ภาษีขาย ผู้ประกอบการอาจจะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีขอคืนภาษีซื้อที่เหลืออยู่ เรียกว่า เครดิดภาษี ซึ่งผู้ประกอบการมีสิทธิ์เลือกนำไปชำระภาษีในเดือนถัดไปหรือขอคืนเป็นเงินสด 2.2.4 การบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือของกิจการ จำหน่ายสินค้า วิธีการบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือสำหรับกิจการจำหน่ายสินค้าแบ่งได้ 2 วิธี ดังนี้ 1) การบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือแบบสิ้นงวด (Periodic Inventory Method) เป็นวิธีการบันทึกบัญชีที่ไม่บันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือและบัญชีต้นทุนสินค้าขายในขณะที่มีการซื้อขายสินค้าจนกว่าจะถึงวันสิ้นงวดบัญชี ตามวิธีนี้บัญชีสินค้าคงเหลือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างงวด และบัญชีต้นทุนสินค้าขายก็จะไม่มีการบันทึกตอนที่ขายสินค้าทุกครั้ง และในวันสิ้นงวดกิจการจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจนับสินค้าในวันสิ้นงวดเพื่อบันทึกในบัญชีสินค้าคงเหลือ และใช้ในการคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขายไป บัญชีที่ต้องบันทึกแทนบัญชีสินค้าคงเหลือและบัญชีต้นทุนสินค้าขาย คือ บัญชีซื้อ บัญชีค่าขนส่งเข้า บัญชีส่งคืนและส่วนลดบัญชีส่วนลดรับ ธุรกิจที่เหมาะกับการบันทึกบัญชีวิธีนี้คือ ธุรกิจที่จำนวนสินค้าราคาต่อหน่วยค่อนข้างต่ำและขายเป็นจำนวนมาก บัญชีสินค้าคงเหลือตามวิธีบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือแบบสิ้นงวด จะแสดงเฉพาะสินค้าคงเหลือยกมาจากงวดก่อนเท่านั้น ในระหว่างงวดจะไม่มีการบันทึกบัญชี 2) การบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือแบบต่อเนื่อง (Perpetual Inventory Method) จะบันทึกการรับจ่ายสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวของสินค้าอยู่ตลอดเวลา วิธีนี้กิจการจะได้ข้อมูลที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์เพื่อใช้ในการวางแผนและควบคุมเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ เหมาะกับธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าที่มีราคาต่อหน่วยสูง และมีปริมาณน้อย บัญชีที่สำคัญเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือแบบต่อเนื่องได้แก่บัญชีสินค้าคงเหลือ และบัญชีต้นทุนสินค้าขาย บัญชีสินค้าคงเหลือ เป็นบัญชีประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน ตามวิธีการบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือแบบต่อเนื่อง 2.3 กิจการอุตสาหกรรม กิจการอุตสาหกรรม หมายถึง กิจการที่ทำการผลิตสินค้าโดยซื้อวัตถุดิบมาแปลงสภาพให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อออกจำหน่าย กิจการจำหน่ายสินค้ามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าที่ซื้อมาเพื่อขาย ส่วนกิจการอุตสาหกรรมมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตสินค้าให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่พร้อมจะขาย ค่าใช้จ่ายดังกล่าวประกอบด้วย วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ค่าแรงงานทางตรงและค่าใช้จ่ายในการผลิต ดังนั้นธุรกิจอุตสาหกรรมจึงต้องมีการคำนวณต้นทุนการผลิตเพื่อใช้ในการกำหนดราคาสินค้าที่จะออกจำหน่ายต่อไป 2.3.1 การบันทึกบัญชีที่เกี่ยวกับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต บัญชีวัตถุดิบ (Material) เป็นบัญชีหลักสำหรับการผลิตสินค้า แสดงการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการซื้อมาและใช้ไป ยอดคงเหลือของบัญชีวัตถุดิบจะเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าคงเหลือ กิจการอุตสาหกรรมที่จะนำไปแสดงเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนในงบดุล การบันทึกบัญชีวัตถุดิบคงเหลือ มีวิธีปฏิบัติเช่นเดียวกับสินค้าคงเหลือของกิจการซื้อ – ขายสินค้า การบันทึกวัตถุดิบคงเหลือมี 2 วิธี คือ 1) การบันทึกวัตถุดิบคงเหลือแบบสิ้นงวด (Periodic Inventory Method) การบันทึกวิธีนี้จะไม่แสดงความเคลื่อนไหวของสินค้าหรือวัตถุดิบในระหว่างงวดบัญชี กิจการจะมาทราบยอดคงเหลือต้นทุนของสินค้าหรือวัตถุดิบ จนกว่าจะถึงวันสิ้นงวดบัญชีจึงจะตรวจนับ ตีราคาลัคำนวณวัตถุดิบในงวดบัญชีนั้น 2) การบันทึกวัตถุดิบคงเหลือแบบต่อเนื่อง (Perpetual Inventory Method) วิธีนี้จะบันทึกการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง รายการที่เกี่ยวกับการซื้อวัตถุดิบ ค่าขนส่งเข้า ส่วนลดรับ จะบันทึกบัญชีวัตถุดิบ การเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต จะตัดบัญชีวัตถุดิบและบัญชีต้นทุนการผลิต ทำให้กิจการทราบยอดคงเหลือและต้นทุน ณ วันใดวันหนึ่งตลอดเวลา 2.3.2 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าแรงงาน ค่าแรงทางตรง คือ ค่าแรงของคนงานที่ทำหน้าที่ในการแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าเพื่อจำหน่าย การจ่ายค่าแรงงานทางตรงจะมีรายการที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลหัก ณ ที่จ่าย เงินประกันสังคม เงินกู้ยืมจากกิจการ เป็นต้น 2.3.3 การบันทึกบัญชีค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าใช้จ่ายในการผลิต (Manufacturing Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่เกิดขึ้นในโรงงานซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ชนิดใดและเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตนอกเหนือจากวัตถุดิบและค่าแรงทางตรง ค่าใช้จ่ายในการผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) ค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณที่ทำการผลิต เช่น ค่าเช่าโรงงาน ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น 2) ค่าใช้จ่ายแปรผัน (Variable Expenses) เป็นค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามการผลิตมีความสัมพันธ์กับการผลิตโดยตรง เป็นค่าใช้จ่ายที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ค่าใช้จ่ายในการผลิตจำแนกตามลักษณะค่าใช้จ่าย ได้แก่ บัญชี วัตถุดิบทางอ้อม วัสดุโรงงานใช้ไป ค่าแรงงานทางอ้อม ค่าเบี้ยประกันโรงงาน ค่าซ่อมแซมโรงงาน ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร ค่าสาธารณูปโภคในส่วนของโรงงาน เป็นต้น บัญชีค่าใช้จ่ายในการผลิต เหล่านี้จะถูกโอนปิดเข้าบัญชีต้นทุนการผลิตเมื่อวันสิ้นงวดบัญชี การบันทึกค่าใช้จ่ายในการผลิตสามารถบันทึกได้ดังนี้ (1) บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตตามรายการที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป (2) บันทึกโดยการปรับปรุงในตอนสิ้นงวด ค่าใช้จ่ายในการผลิตประเภทนี้ เป็นค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าที่กิจการจ่ายไปแล้วเมื่อเกิดรายการและบันทึกบัญชีสินทรัพย์ เมื่อสิ้นงวดบัญชีจึงต้องปรับปรุงรายการเพื่อตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตประจำงวดบัญชี และโอนปิดเข้าค่าใช้จ่ายในการผลิต (3) บันทึกโดยการปันส่วนค่าใช้จ่าย ในบางครั้งค่าใช้จ่ายบางอย่างเกิดขึ้นร่วมกันในฝ่ายต่าง ๆ ของกิจการ เช่น แผนกผลิต แผนกขาย แผนกบริหาร เป็นต้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื่อมราคา ดังนั้นในวันสิ้นงวดบัญชีต้องปันส่วนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้กับแผนกงานต่าง ๆ 2.3.4 สินค้าคงเหลือ (Inventory) ของกิจการอุตสาหกรรม สินค้าคงเหลือของกิจการซื้อขายสินค้าจะมีเพียงสินค้าสำเร็จรูปเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกิจการอุตสาหกรรมที่ทำการผลิตสินค้า จะนำรวมสิ่งที่นำมาผลิตสินค้าซึ่งได้แก่ วัตถุดิบ วัสดุโรงงาน สินค้าในส่วนที่ยังผลิตไม่สำเร็จ ตลอดจนสินค้าสำเร็จรูปเป็นสินค้าคงเหลือ 1) วัตถุดิบคงเหลือ (Raw Material) หมายถึงส่วนประกอบที่สำคัญในการทำหนือการผลิตสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งยังคงเหลืออยู่หลังจากเบิกไปใช้ในกระบวนการผลิตแล้ว 2) สินค้าระหว่างทำหรืองานระหว่างทำคงเหลือ (Goods in Process or Work in Process) หมายถึง ของที่ทำและผลิตสำเร็จบางส่วน และต้องทำหรือผลิตเพิ่มเติมก่อนที่จะขายได้ ที่คงเหลืออยู่ ณ วันสิ้นงวด 3) สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) หมายถึง สินค้าที่ผลิตสำเร็จแล้วพร้อมที่จะขายแต่ยังไม่ได้ขายออกไป ยังคงเหลืออยู่ ณ วันสิ้นงวด 4) วัสดุโรงงาน (Factory Supply) หมายถึง ส่วนผสมหรือส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ไม่ใช่ส่วนประกอบหลักของสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งยังไม่ได้เบิกไปใช้ คงเหลือเมื่อสิ้นงวด บทสรุป ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้นำมาใช้แทนภาษีการค้าเนื่องจากเป็นระบบที่ชัดเจน เป็นธรรมกับผู้ผลิตและผู้บริโภค การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเพิ่มบัญชี ภาษีซื้อ ภาษีขาย และบัญชีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้กรมสรรพากร การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการบริการ ความรับผิดชอบในภาษีจะเกิดเมื่อได้รับชำระค่าบริการและออกใบกำกับภาษี เมื่อสิ้นเดือนจะต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ และภาษีขาย เพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ส่วนการบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการจำหน่ายสินค้านั้น กับกิจการที่ทำการผลิตสินค้าขึ้นเองและขายสินค้าไปหนือกิจการอุตสาหกรรม การบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือของกิจการจำหน่ายสินค้ามี 2 วิธี คือ การบันทึกสินค้าคงเหลือเมื่อสิ้นงวด กับการบันทึกสินค้าคงเหลือแบบต่อเนื่อง กิจการจำหน่ายสินค้าต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรวบรวมภาษีซื้อและภาษีขาย เพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ผู้ประกอบการอาจจะต้องนำส่งเงินภาษี หรือขอคืนเงินภาษี กรณีขอคืนภาษีซื้อที่เหลืออยู่ เรียกว่า เครดิตภาษี ซึ่งผู้ประกอบการมีสิทธิ์เลือกนำไปชำระภาษีในเดือนถัดไป หรือขอคืนเป็นเงินสด พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) |