โคลงสี่สุภาพกำหนดให้บทหนึ่งมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค คือ วรรคหน้ากับวรรคหลัง วรรคหน้ามี ๕ พยางค์ วรรคหลังมี ๒ พยางค์ ยกเว้นบาทที่ ๔ ให้มี ๔ พยางค์ และเพิ่มคำสร้อยได้ที่บาทที่ ๑ และ ๓ แห่งละ ๒ พยางค์ โคลงสี่สุภาพมีตำแหน่งบังคับคำเอก ๗ แห่ง คำโท ๒ แห่ง คำเอกนั้นสามารถใช้คำตายหรือคำเอกโทษแทนได้ ส่วนคำโทให้ใช้โทโทษแทนได้ ๒.คำเป็นคำตาย มีลักษณะดังต่อไปนี้ คำเป็น ๑. คำที่ประสมสระเสียงยาวในมาตราแม่ ก กา เช่น ตามี ดี งู โต โลเล เกเร รวมทั้งคำที่ประสมสระ อำ ไ- ใ- เ-า เช่น น้ำ ใจ ไม่ เบา ๒.คำที่มีตัวสะกดในมาตราแม่ กง กน เกย เกอว เช่น เป็นสาวแล้วยังกินนมเนย ผองเพื่อนหิวโหยความเป็นธรรม คำตาย ๑. คำที่ประสมสระเสียงสั้นในมาตราแม่ ก กา เช่น จะ กะทิ เตะ ทะลุ โละ เละ เฉอะแฉะ เป็นต้น ๒. คำที่มีตัวสะกด ในมาตราแม่ กก กด กบ เช่น สุขมาก ทุกข์หมด เมฆ โรค พยัคฆ์ กฎ วุฒิ ภาพ รูป เป็นต้น ๓.คำเอก คือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกกำกับ เช่น แม่ เก่ง ไม่ เด่น ต่อ พรุ่ง คำเอกโทษ คือ การเปลี่ยนพยัญชนะเพื่อให้เขียนด้วยรูปวรรณยุกต์เอกได้ เช่น ผู้คน เขียนว่า พู่คน ข้าว เขียนว่า ค่าว ถ้ำ เขียนว่า ท่ำ ฝ้า เขียนว่า ฟ้า เป็นต้น ๔.คำโท คือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับ เช่น ฟ้า บ้าน ใกล้ เช้า คำโทโทษ คือการเปลี่ยนพยัญชนะต้นเพื่อให้เขียนด้วยรูปวรรณยุกต์โทได้ โดยออกเสียงเหมือนเดิม เช่น พ่าง เขียนเป็น ผ้าง คว่ำ เขียนเป็น ขว้ำ แน่ เขียนเป็นแหน้ เง่า เขียนเป็น เหง้า ร่าย เขียนเป็น หร้าย เป็นต้น ๕. คำสร้อย คือคำที่เขียนเพิ่มเติมขึ้นท้ายวรรคที่อนุญาตให้ใช้คำสร้อยได้ โดยไม่กำนดความหมายเพิ่มขึ้นเพื่อความไพเราะ เช่น “ภุมราอยู่ไกลสถาน นับโยชน์ ก็ดี “ หรืออาจต้องใช้คำสร้อยเพียงคำเดียว เพื่อต่อความให้สมบูรณ์ เช่น “เว้นเล่าลิขิตสัง เกตว่าง เว้นนา” ลักษณะการบังคับ ๑. โคลงสี่สุภาพ ๑ บท มี ๔ บรรทัด ๒. โคลงสี่สุภาพ ๑ บรรทัด แล่งออกเป็น วรรคหน้า และวรรคหลัง ๓. โคลงสี่สุภาพ วรรคหน้า มี ๕ คำ วรรคหลังมี ๒ คำ ส่วนคำที่อยู่ใน วงเล็บสีเขียวจะมีหรือไม่มีก็ได้ เป็นเพียงสร้อยเพื่อให้ไพเราะ ๔. โคลงสี่สุภาพ ๑ บท จะบังคับให้มีวรรณยุกต์เอก ๗ คำ และโท ๔ คำ (ในกรณีที่หาคำที่ต้องใช้รูปวรรณยุกต์ไม่ได้ จะใช้เสียงวรรณยุกต์แทน) ๕. การสัมผัสหรือคำคล้องจอง เป็นไปตามเส้นสีน้ำเงินแผนผัง เนื้อเรื่อง ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง ๏ ใบพ้อพันห่อหุ้ม กฤษณา ๏ ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ ๏ ขนุนสุกสล้างแห่ง สาขา ๏ คนพาลผู้บาปแท้ ทุรจิต ๏ หมูเห็นสีหราชท้า ชวนรบ ๏ สีหราชร้องว่าโอ้ พาลหมู ๏ กบเกิดในสระใต้ บัวบาน ๏ ไม้ค้อมมีลูกน้อม นวยงาม ๏ นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย ๏ ความรู้ผู้ปราชญ์นั้น นักเรียน ๏ งาสารฤาห่อนเหี้ยน หดคืน ๏ ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน ๏ภูเขาเหลือแหล่ล้วน ศิลา ๏พริกเผ็ดใครเผ็ดให้ ฉันใด ๏ภูเขาเอนก ล้ำ มากมี ๏ดารามีมากน้อย ถึงพัน ๏ถึงจนทนสู้กัด กินเกลือ ๏ ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน ๏ เว้นวิจารณ์ว่างเว้น สดับฟัง ๏ รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ ๏ เสียสินสงวนศักดิ์ไว้ วงศ์หงส์ ๏ ตัดจันทน์ฟันม่วงไม้ จัมบก ๏ น้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม ๏ พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา ๏ รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว ๏ ให้ท่านท่านจักให้ ตอบสนอง ๏ แม้นมีความรู้ดั่ง สัพพัญญู ๏ เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี ๏ ใครจักผูกโลกแม้ รัดรึง ๏ ผจญคนมักโกรธด้วย ไมตรี ๏ คนใดคนหนึ่งผู้ ใจฉกรรจ์ ๏ ความรู้ดูยิ่งล้ำ สินทรัพย์ ๏ คนใดโผงพูดโอ้ อึงดัง ๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา ๏ ราชาธิราชน้อม ในสัตย์ ๏ คนใดละพ่อทั้ง มารดา ๏ หอมกลิ่นดอกไม้ที่ นับถือ ๏ ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร ๏ อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม ๏ เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ มังสา ๏ โคควายวายชีพได้ เขาหนัง ๏ ถึงจนทนสู้กัด กินเกลือ ๏ บางคาบภาณุมาศขึ้น ทางลง ก็ดี จากกัลยาณมิตร (ปิยะสิทธิ์ บำรุงพฤกษ์ ) ๏ เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี ๏ อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย ๏ ยอข้ายอเมื่อแล้ว การกิจ ๏ พริกเผ็ดใครให้เผ็ด ฉันใด ๏ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน ๏ ใครจักผูกโลกแม้ รัดรึง ๏ ความเพียรเป็นอริแล้ว เป็นมิตร ๏ เห็นใดจำให้แน่ นึกหมาย ๏ อย่าโทษไทท้าวท่วย เทวา ๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา ๏ เดินทางต่างเทศให้ พิจารณ์ ๏ เป็นคนคลาดเหย้าอย่า เปล่ากาย ๏ พายเถิดพ่ออย่ารั้ง รอพาย ๏ ทรัพย์มีสี่ส่วนไซร้ ปูนปัน ๏ ย่าขุดขอดท่านด้วย วาจา ๏ กาน้ำดำดิ่งด้น เอาปลา ๏ ไปเรือนท่านไซร้อย่า เนานาน ๏ เป็นคนคิดแล้วจึ่ง เจรจา ๏ ปางน้อยสำเหนียกรู้ เรียนคุณ ๏ คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา ๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้ สุขสบาย ๏ วิชาควรรักรู้ ฤๅขาด ๏ อย่าหมิ่นของเล็กนั้น สี่สถาน ที่มาจาก http://www.st.ac.th/bhatips/loganit.html ดินหญ้ากาช้ำ: ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน แปลได้ว่า เมื่อใดที่เราสามารถทำให้ไฟไร้ควัน ห้ามพระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสง พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา แปลว่ามหาสมุทร ต่อให้ลึกสักเพียงใดก็ยังใช้สายดิ่งวัดความลึกได้ ภูเขา ต่อให้สูงสักเพียงใด ก็ยังอาจกำหนดความสูงได้ รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว แปลง่าย ๆ ได้ว่า คนที่รักกัน แม้อยู่ไกลกัน ก็เหมือนอยู่ใกล้กัน พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง คำแปลของคำศัพท์ในบทประพันธ์ข้างต้น ทั้งโคลงและคำประพันธ์ข้างต้น แปลได้ว่า ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=481776 ดินหญ้ากาช้ำ: อัญขยมบรมนเรศร์เรื้อง รามวงศ์ พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี(รัชกาลที่๓)มีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนได้ความรู้จากโคลงโลกนิติเพื่อเป็นสุภาษิตสอนใจในการดำเนินชีวิต ครรโลงโลกนิตินี้ นมนาน โคลงโลกนิติมีมาแต่โบราณแล้วเนื้อหาสาระในโคลงโลกนิติล้วนแล้วแต่เป็นสุภาษิตสอนใจและเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของผู้ที่ได้ศึกษา ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา ใบคาที่เอาไปห่อปลาร้านั้นจะมีกลิ่นเหม็นของปลาร้าไปด้วยเหมือนคบคนพาลก็จะมีแต่ความเดือดร้อนและเสื่อมเสียไปด้วย ข้อคิดที่ได้ หากเราคบกับคนชั่วเราก็จะได้รับแต่ความทุกข์ และความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ใบพ้อพันห่อหุ้ม กฤษณา ใบพ้อที่นำไปห่อไม้กฤษณาก็จะมีกลิ่นหอมของไม้กฤษณาไปด้วย ซึ่งเปรียบเหมือนการที่เราคบกับคนดี เราก็จะได้รับความสุขตามไปด้วย ข้อคิดที่ได้ จงเลือกคบกับคนดี เพราะจะไม่ทะให้เราต้องเดือดร้อนวุ่นวายใจ ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ ผลมะเดื่อเมื่อสุกจะมีสีแดงที่สวยงามแต่ภายในจะมีแมลงวันมีหนอนอยู่ข้างในเปรียบเหมือนกับคนที่คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามแต่จิตใจเลวทราม ข้อคิดที่ได้ ไม่ควรเลือกคบคนเพียงดูแต่รูปร่างหน้าตาที่งดงามเพียงอย่างเดียว ควรดูที่นิสัยใจคอด้วย ขนุนสุกสล้างแห่ง สาขา ขนุนมีรูปร่างภายนอกที่ไม่งดงามเต็มไปด้วยหนามแต่จะมีเนื้อในที่หอมหวานอร่อยเปรียบเหมือนคนที่รูปร่างหน้าตาไม่สวยแต่มีจิตใจที่ดีงาม คนที่รูปร่างหน้าตาไม่สวยงามก็อาจจะเป็นคนดีก็ได้ ดังนั้นจะเลือกคบใครควรดูกันไปนาน ๆ คนพาลผู้บาปแท้ ทุรจิต คนเลวถึงแม้จะคบหากับคนดีอย่างไรก็ไม่ได้รับคุณความดีติดตัวมาเลยเปรียบเหมือนจวักตักข้าวตักแกงแต่ไม่เคยรู้รสชาติของอาหารนั้น ๆ เลย ข้อคิดที่ได้ หมูเห็นสีหราชท้า ชวนรบ หมูพาลตัวหนึ่งเห็นราชสีห์เดินมา ก็ท้าให้มาสู้กัน แต่ราชสีห์ก็ไม่สนในที่จะต่อสู้ด้วย หมูจึงคิดว่าราชสีห์กลัว |