เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
เมื่อวันที่ ๓๒ ธันวาคม ๒๕๔๗ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจจำนวนวัดไทยพบว่า มีวัดไทยทั้งหมด ๔๐,๗๑๗ ซึ่งยังใช้อยู่ ๓๓,๙๐๒ แห่ง แบ่งเป็นวัดมหานิกาย ๓๑,๘๙๐ แห่ง วัดธรรมยุตินิกาย ๑,๙๘๗ แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นวัดร้าง จากการสำรวจเมื่อปี ๒๕๓๕ ได้สถิติจังหวัดที่มีวัดมากที่สุด ๑๐ อันดับ ดังนี้ ๑.นครราชสีมา ๑,๔๔๓ วัด ๒.อุบลราชธานี ๑,๓๓๙ วัด ๓.อุดรธานี ๑,๑๗๙ วัด ๔.ร้อยเอ็ด ๑,๑๕๔ วัด ๕.เชียงใหม่ ๑,๐๙๔ วัด ๖.ขอนแก่น ๑,๐๖๖ วัด ๗.เชียงราย ๘๕๘ วัด ๘.มหาสารคาม ๘๐๔ วัด ๙.หนองคาย ๗๘๘ วัด และ ๑๐.ศรีสะเกษ ๗๘๒ วัด วัด หรือ อาวาส คือ คำเรียกสถานที่สำหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนา ของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และสำนักสงฆ์ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา คือวัดที่มีอุโบสถเป็นที่ทำสังฆกรรม คำว่า วิสุงคามสีมา ในที่นี้หมายถึงเขตที่ พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นที่สร้างโบสถ์ ส่วนสำนักสงฆ์ คือ วัดที่ยังไม่ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา จึงไม่มีอุโบสถ นอกจากนี้แล้วยังแบ่งตามลักษณะความสำคัญได้อีก ๓ ประเภท คือ ๑.พระอารามหลวง คือ วัดที่พระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระยุพราช ทรงสร้างหรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นวัดหลวง และวัดที่ราษฎรสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ และขอพระราชทานให้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง เช่น วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ๒.วัดราษฎร์ ได้แก่วัดที่ประชาชนสร้าง หรือปฏิสังขรณ์ เช่น วัดประสาทบุญญาวาส และ ๓. วัดร้าง คือ วัดที่ทรุดโทรม ไม่มีพระสงฆ์พำนักอาศัยจำพรรษา ทางราชการจะขึ้นทะเบียนไว้ ซึ่งหากบูรณะได้อาจยกเป็นวัดมีพระสงฆ์ต่อไป เช่น วัดไชยวัฒนาราม (พระนครศรีอยุธยา) อย่างไรก็ตาม พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้ให้ความหมายของคำว่า "วัดหลวง" คือ วัดในพระพุทธศาสนาที่ได้รับยกย่องสถาปนาให้เป็นวัดพิเศษจากวัดราษฎร์ทั่วไป เรียกเต็มว่า "พระอารามหลวง" ทั้งนี้วัดที่จะได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงนั้น ต้องมีลักษณะอย่างน้อย ๓ ประการ คือ ๑.เป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนา หรือพระราชวงศ์ชั้งสูงสร้าง ๒.เป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสนับสนุนให้พระราชวงศ์ หรือ ข้าราชบริพารสร้าง และ ๓.เป็นวัดราษฎร์ที่ได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง โดยได้ลักษณะตามกฎเกณฑ์การยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง วัดโดยทั่วไปนิยมแบ่งเขตพื้นที่ภายในออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ ๑. เขตพุทธาวาส ๑. พระเจดีย์ พระมณฑป พระปรางค์ :
อาคารที่สร้างเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางหลักของวัด อย่างไรก็ตามตำแหน่งของอาคารก็ไม่มีข้อกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวเสมอไป (ยกเว้นพระเจดีย์ ที่ยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งหลัก) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวความคิดและคตินิยมของแต่ละสมัยเป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับอาคารประเภทอื่นๆ เช่น พระระเบียง ศาลาราย จะปรากฏร่วมในผังในลักษณะอาคารรองกลุ่มที่ ๒ ซึ่งเป็นเพียงองค์ประกอบที่สร้างให้ผังมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของประโยชน์ใช้สอย หรือในเชิงความหมายของสัญลักษณ์ตามคติความเชื่อก็ตาม โดยมักปรากฏในลักษณะที่โอบล้อมกลุ่มอาคารหลักประธานสำคัญเหล่านั้น ลักษณะการวางตำแหน่งอาคารในผังเขตพุทธาวาส พระเจดีย์ภายในถ้ำวิหารของเจติยสถานในอินเดีย ๑. ผังแบบแนวแกนเดี่ยว หมายถึงการออกแบบผังพุทธาวาสที่มีพระเจดีย์
(พระปรางค์ พระมณฑป)และพระวิหาร หรือพระเจดีย์(พระปรางค์, พระมณฑป) และพระอุโบสถ หรือทั้งพระเจดีย์(พระปรางค์, พระมณฑป) พระอุโบสถและพระวิหารวางเรียงอยู่บนแนวแกนหลักประธานเพียงแนวเดียว เช่น วัดราชประดิษฐ์ กรุงเทพฯ (พระวิหารและพระเจดีย์), วัดกุฎีดาว จ.อยุธยา (พระอุโบสถ พระเจดีย์ และพระวิหาร) ๑. กุฏิ : อาคารที่ใช้สำหรับอาศัยหลับนอน สำหรับกัปปิยกุฎีหรือโรงเก็บอาหารก็มักรวมเข้ากับเรือนชันตาฆรเป็นอาคาร หลังเดียวกัน โดยอาจมีเพียงจุดเดียวรวมกันสำหรับวัดขนาดเล็ก หรือแยกเฉพาะตามหมู่หรือคณะสำหรับวัดขนาดใหญ่ ส่วนหอไตรก็จะแยกออกไปตั้งเดี่ยวอยู่กลางสระน้ำใหญ่ เช่นเดียวกับศาลาการเปรียญที่มักตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พระสงฆ์ทั้งปวงสามารถ เข้ามาใช้สอยได้อย่างสะดวกทั่วถึง ขณะเดียว กันก็สามารถเอื้อต่อประชาชนที่เข้ามาใช้ประโยชน์ด้วย มักวางอยู่ด้านหน้าเขตสังฆาวาส หรือบริเวณส่วนที่ต่อกับเขตพุทธาวาส หรืออาจอยู่ทางด้านข้างของเขตธรณีสงฆ์ ที่ประชาชนสามารถเข้ามาได้ง่าย ส่วนธรรมศาลา จะมีขึ้นหากวัดนั้นไม่มีศาลาการเปรียญ แต่สำหรับวัดขนาดใหญ่ ผังเขตสังฆวาสค่อนข้างจะมีระเบียบแบบแผนชัดเจน โดยเฉพาะวัดหลวงจะมีการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งและระบบของโครงสร้างผังอย่าง ตั้งใจ ด้วยการแบ่งเป็น “คณะ” โดยแบ่งขนาดตามจำนวนพระสงฆ์และองค์ประกอบย่อย เช่น หอฉัน หอไตร เว็จกุฎี กัปปิยกุฎี ฯลฯ ของแต่ละคณะ ซึ่งวิธีการจัดแบ่งก็อาศัยการแบ่งซอยออกเป็นลักษณะอย่างช่องพิกัด (Grid) อาทิเช่น เขตสังฆาวาส,วัดพระเชตุพน กรุงเทพฯ,วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ๓.
เขตธรณีสงฆ์ การแบ่งพื้นที่วัดออกเป็น ๓ ส่วนนี้ ในเชิงการออกแบบทางสถาปัตยกรรมจึงให้หมายถึงส่วนหนึ่งคือเขตพุทธาวาสถูกใช้ เป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะ (Semi-Public Zone) อีกส่วนหนึ่งคือเขตสังฆวาสที่ใช้เป็นพื้นที่ส่วนตัว (Private Zone) เฉพาะของพระสงฆ์ ส่วนเขตธรณีสงฆ์ก็เป็นเสมือนเขตพื้นที่สาธารณะ (Public Zone) สำหรับคนทั่วไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส แบบประกบหน้าหลัง แบบชิดข้าง แบคู่ประกบ แบบล้อม ๓ ด้าน แบบโอบหักศอก สำหรับ “เขตธรณีสงฆ์” นั้น มักจะอยู่บริเวณส่วนที่เป็นด้านข้างใดด้านหนึ่งหรือบริเวณส่วนด้านหลังของ พื้นที่วัดเสมอ เช่น วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ มีเขตธรณีสงฆ์ผืนใหญ่อยู่บริเวณส่วนหลังของวัด เป็นต้น ดังนั้นโดยนัยนี้แสดงให้เห็นว่า เขตพุทธาวาสเป็นเขตแดนที่สำคัญที่สุดกว่าพื้นที่ส่วนอื่นใดทั้งหมดภายในวัด |