ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด

หลังจากที่ประเทศจีนครองแชมป์ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดต่อเนื่องมาหลายปี แต่จากปัญหาในปัจจุบันที่มีคนแต่งงานกันน้อยลง และแม้จะมีการแต่งงานหรืออยู่กินฉันท์สามีภรรยาเกิดขึ้น แต่หลายคู่ก็เลือกที่จะไม่มีบุตรอย่างที่เราเคยเห็นข่าวตั้งแต่ปีที่แล้วว่าหนุ่มจีนขาดแคลนเจ้าสาว ทางรอดเดียวคือนำเข้าเจ้าสาวจากต่างประเทศ งานวิจัยบางชิ้นก็บอกเลยว่า ผู้หญิงชาวจีนไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานเพิ่มขึ้น 2 เท่าในรอบ 10 ปี

  • หนุ่มจีนขาดแคลนเจ้าสาว ทางรอดเดียวคือหาเจ้าสาวจากต่างประเทศเพิ่ม
  • แต่งงานแล้วทุกข์สาหัส สาวจีนไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานเพิ่มขึ้น 2 เท่าในรอบ 10 ปี
  • จีนมีเด็กเกิดน้อยลงเกือบ 15% แรงงานลด คนจีนเสี่ยงตกอยู่ในภาวะแก่ก่อนรวย

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด

อีกทั้ง การควบคุมการเกิดของประชากรที่จีนมุ่งหน้าใช้นโยบายลูกคนเดียวมาเนิ่นนาน กว่าจะเลิกใช้นโยบายนี้หันมาสนับสนุนให้มีลูกมากเกิน 1 คน ก็สายเกินไปเสียแล้ว ล่าสุด องค์การสหประชาชาติออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2023 นี้หรืออีกครึ่งปีที่จะถึงนี้เอง อินเดียจะมีจำนวนประชากรแซงหน้าจีนแล้ว

โดยในปี 2021 อินเดียมีประชากรจำนวน 1.412 พันล้านคน ส่วนจีนมีจำนวน 1.426 พันล้านคน ส่วนปี 2050 คาดว่าอินเดียจะมีประชากรจำนวน 1.668 พันล้านคน ขณะที่จีนจำนวนประชากรจะเหลือ 1.317 พันล้านคน นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 จะมีจำนวนประชากรโลกอยู่ที่ 8 พันล้านคน และจะเพิ่มเป็น 8.5 พันล้านคนในปี 2030 และเป็น 9.7 พันล้านคนในปี 2050

จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากสาเหตุการเสียชีวิตลดลง การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น โดยอายุคาดเฉลี่ย (life excectancy) ในระดับโลกของปี 2019 อยู่ที่ 72.8 ปี ถือว่าเพิ่มขึ้นเกือบ 9 ปีนับจากปี 1990 นอกจากนี้ เมื่ออัตราการตายลดลงและคนมีอายุยืนมากขึ้น จึงคาดว่าจะอายุยืนอยู่ที่ 77.2 ปีในปี 2050

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด

ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติยังคาดว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งสำหรับ 8 ประเทศนี้ คองโก อียิปต์ เอธิโอเปีย อินเดีย ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และแทนซาเนีย ความน่าสนใจก็คือ อินเดียคือ 1 ใน 10 ประเทศที่มีจำนวนประชากรไหลออกเกินล้านคนในช่วงปี 2010-2021 อินเดียมีคนไหลออกจากประเทศราว 3.5 ล้านคน ส่วนใหญ่ก็คือการเคลื่อนย้ายแรงงานชั่วคราว ขณะที่ปากีสถานนั้นมีประชากรไหลออกมากถึง 16.5 ล้านคน บังคลาเทศราว 2.9 ล้านคน เนปาล 1.6 ล้านคน ศรีลังกา 1 ล้านคน ส่วนประเทศที่มีประชากรไหลออกด้วยเหตุผลด้านความขัดแย้งและรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนี้ ซีเรีย 4.6 ล้านคน เวเนซุเอลา 4.8 ล้านคนและเมียนมา 1 ล้านคน

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด
wpp 2022

จากกราฟด้านบนจะเห็นว่าเส้นสีฟ้าอ่อนนั้น คือพื้นที่เอเชียกลางและเอเชียใต้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นสูงที่สุด รองลงมาคือซับซาฮาราน แอฟริกา ขณะที่จำนวนประชากรที่มีจำนวนคงที่คือประเทศที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ขนานไปกับโอเชียเนีย

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด
wwp 2022

ผังอันดับด้านบนสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก 10 อันดับแรก พบว่า

  • ปี 1990 จีนมีประชากรจำนวนมากที่สุด ตามด้วยอินเดีย สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย ญี่ปุ่น ปากีสถาน บังคลาเทศ และไนจีเรีย
  • ปี 2022 จีนมีประชากรมากที่สุด ตามด้วยอินเดีย สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย ปากีสถาน (ขึ้นมาแทนที่บราซิล) ไนจีเรีย (แทนที่รัสเซีย) บราซิล (แทนที่ญี่ปุ่น) บังคลาเทศ (แทนที่ปากีสถาน) รัสเซีย (แทนที่บังคลาเทศ) และเม็กซิโก
  • ปี 2050 อินเดียมีประชากรมากที่สุด 1.6 พันล้านคน ตามด้วยจีน 1.3 พันล้านคน สหรัฐอเมริกา (อันดับคงที่ แต่จำนวนเพิ่มขึ้น) 375 ล้านคน ไนจีเรีย (แทนที่อินโดนีเซีย จำนวนเพิ่มขึ้น) 375 ล้านคน ปากีสถาน 366 ล้านคน (อันดับคงที่ จำนวนเพิ่มขึ้น) อินโดนีเซีย 317 ล้านคน (แทนที่ไนจีเรีย จำนวนเพิ่มขึ้น) บราซิล 231 ล้านคน (อันดับคงที่ จำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย) คองโก 215 ล้านคน (แทนที่บังคลาเทศ จำนวนเพิ่มขึ้น) เอธิโอเปีย 213 ล้านคน (แทนที่รัสเซีย) บังคลาเทศ 204 ล้านคน (แทนที่เม็กซิโก แต่จำนวนลดลง)

ที่มา – Quartz, World Population Prospects 2022

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

Share this:

  • Tweet

Related

  • TAGS
  • การตาย
  • การเกิด
  • จีน
  • ประชากร
  • สถิติ
  • อินเดีย
  • แซง

ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด

ปาริชาติ โชคเกิด

สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทูต การเมือง ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความยุติธรรมและความเท่าเทียม ชอบอ่าน ชอบเขียน ชอบสืบค้นข้อมูล ชอบทำคอนเทนต์

คาดว่าช่วงกลางเดือน เม.ย. ปีหน้า อินเดียจะมีจำนวนประชากรแซงหน้าจีน กลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก

ชาติยักษ์ใหญ่ในทวีปเอเชียทั้งสองชาติแต่ละแห่งมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน และตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ประชากรจีนและอินเดียคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งโลก

ประชากรจีนน่าจะหดตัวลงในปีหน้า ส่วนปีที่แล้วมีคนเกิดในจีน 10.6 ล้านคน มากกว่าจำนวนคนตายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นเพราะอัตราเจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราเจริญพันธุ์ของอินเดียก็ลดลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากเดิมในปี 1950 ผู้หญิง 1 คนให้กำเนิดลูก 5.7 คน ลดลงมาอยู่ที่ 2 คนในปัจจุบัน แต่อัตราการลดลงได้ช้าลง

การที่อินเดียมีจำนวนประชากรแซงหน้าจีนกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก มีความหมายอย่างไร

จีนมีจำนวนประชากรลดลงเร็วกว่าอินเดีย

จีนลดอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรลงได้ราวครึ่งหนึ่งจาก 2% ในปี 1973 ลงมาอยู่ที่ 1.1% ในปี 1983

นักประชากรศาสตร์ระบุว่า การทำเรื่องนี้ได้เป็นเพราะจีนไม่คำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนจากการรณรงค์ 2 เรื่องที่ส่งเสริมให้มีลูกเพียงคนเดียวและแต่งงานช้าลง มีลูกทิ้งช่วงกันนานขึ้นและมีลูกน้อยลง ในชนบทที่มีคนยากจนและไร้การศึกษาจำนวนมาก

คำบรรยายภาพ,

มาตรการควบคุมประชากรหลายอย่างได้รับการสนับสนุนในอินเดีย

อินเดียมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็วเกือบ 2% ต่อปี ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป อัตราการตายลดต่ำลง อายุคาดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และรายได้สูงขึ้น คนจำนวนมากโดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ เข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและระบบระบายน้ำทิ้งที่ทันสมัยมากขึ้น "แต่กระนั้น อัตราการเกิดก็ยังสูงอยู่" ทิม ไดสัน นักประชากรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน กล่าว

อินเดียได้เริ่มโครงการวางแผนครอบครัวในปี 1952 และออกนโยบายประชากรแห่งชาติเป็นครั้งแรกในปี 1976 เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่จีนกำลังพยายามลดอัตราการเกิดลง

แต่การบังคับคนยากจนหลายล้านคนให้ทำหมันในโครงการวางแผนครอบครัวในช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินในอินเดียในปี 1975 ซึ่งมีการระงับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองหลายอย่าง ได้นำไปสู่การต่อต้านการวางแผนครอบครัว "แนวโน้มการลดลงของการเจริญพันธุ์คงจะเร็วกว่านี้ในอินเดีย ถ้าไม่มีการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน และถ้านักการเมืองทำงานเชิงรุกมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้รัฐบาลในเวลาต่อ ๆ มาก ระมัดระวังมากขึ้นเมื่อต้องทำเรื่องวางแผนครอบครัว" ศาสตราจารย์ไดสัน กล่าว

ประเทศและดินแดนในเอเชียตะวันออกหลายชาติอย่าง เกาหลี, มาเลเซีย, ไต้หวัน และไทย ซึ่งได้ออกโครงการเกี่ยวกับประชากรช้ากว่าอินเดียมาก ประสบความสำเร็จในการลดระดับการเจริญพันธุ์ลง, ลดอัตราการตายของแม่และทารก, เพิ่มรายได้ และทำให้การพัฒนามนุษย์ดีขึ้นได้เร็วกว่าอินเดีย

แต่อินเดียก็ยังไม่เคยเผชิญกับการระเบิดทางประชากร

อินเดียมีประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านคนนับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1947 และคาดว่า ประชากรของอินเดียจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีก 40 ปี แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรค่อย ๆ ลดลงมานานหลายสิบปีแล้ว และอินเดียก็พยายามที่จะเลี่ยงการเผชิญกับ "ภัยพิบัติทางประชากรศาสตร์" ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น

ดังนั้นบรรดานักประชากรศาสตร์จึงบอกว่า การที่อินเดียมีประชากรมากกว่าจีน จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป

คำบรรยายภาพ,

อินเดียทำโครงการวางแผนครอบครัวในปี 1952

การเพิ่มขึ้นของรายได้ การเข้าถึงการศึกษาและสาธารณสุขมากขึ้น ได้ช่วยให้ผู้หญิงอินเดียมีลูกน้อยลงกว่าเมื่อก่อน อัตราเจริญพันธุ์ได้ลดต่ำลงกว่าระดับทดแทน ซึ่งอยู่ที่ การให้กำเนิดทารก 2 คนต่อผู้หญิง 1 คน ใน 17 รัฐและดินแดนที่รัฐบาลกลางบริหารจากทั้งหมด 22 แห่ง (ระดับทดแทนคือระดับที่การเกิดใหม่เพียงพอในการรักษาจำนวนประชากรให้คงที่)

การลดลงของอัตราการเกิดในตอนใต้ของอินเดียเร็วกว่าทางตอนเหนือซึ่งมีประชากรมากกว่า "น่าเสียดายที่อินเดียส่วนมากไม่เหมือนกับทางใต้" ศาสตราจารย์ไดสัน กล่าว "การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่ทางเหนือของอินเดียได้กดมาตรฐานความเป็นอยู่ให้ต่ำลง"

อย่างไรก็ตาม การแซงหน้าจีนอาจมีความสำคัญ

ยกตัวอย่าง อาจจะทำให้ข้อกล่าวอ้างของอินเดียในการเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีน้ำหนักมากขึ้น โดยสมาชิกถาวรมี 5 ชาติรวมถึงจีนด้วย

อินเดียเป็นสมาชิกก่อตั้งของสหประชาชาติ และยืนกรานมาโดยตลอดว่า การได้ที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติของอินเดียเป็นเรื่องยุติธรรม "ผมคิดว่า คุณมีข้อกล่าวอ้างบางอย่าง [การเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด] ในทุกเรื่อง" จอห์น วิลมอธ ผู้อำนวยการแผนกประชากรของสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติกล่าว

เคเอส เจมส์ จากสถาบันระหว่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์ประชากร ที่ตั้งอยู่ในนครมุมไบ กล่าวว่า รูปแบบการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์ของอินเดียมีความสำคัญเช่นกัน

คำบรรยายภาพ,

คาดว่า อินเดียจะมีจำนวนประชากรมากที่สุด 1.6-1.8 พันล้านคน ในช่วงปี 2060

เจมส์กล่าวว่า แม้ว่าจะมีข้อด้อยหลายอย่าง อินเดียสมควรได้รับการยกย่องในการจัดการ "การเปลี่ยนผ่านทางประชากรศาสตร์อย่างมีคุณภาพ" ด้วยการใช้การวางแผนครอบครัวในประเทศประชาธิปไตยที่มีทั้งคนยากจนและไร้การศึกษา "ประเทศส่วนใหญ่ทำเช่นนี้หลังจากที่พัฒนาการอ่านออกเขียนได้และมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว"

ข่าวดีมากกว่านั้นคือ 1 ใน 5 ของประชาชนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ในโลกนี้ มาจากอินเดีย และ 47% ของชาวอินเดียมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ชาวอินเดีย 2 ใน 3 เกิดหลังจากอินเดียเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ศรุต ราชาโกพาลัน นักเศรษฐศาสตร์ระบุในรายงานชิ้นใหม่ว่า คนอินเดียรุ่นใหม่กลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษบางอย่าง คนอินเดียรุ่นใหม่ยุคนี้จะเป็นแหล่งแรงงานและผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในเศรษฐกิจ และชาวอินเดียจะเป็นแหล่งรวมคนที่มีความสามารถระดับโลกมากที่สุด

แต่ก็มีความท้าทายหลายอย่างเช่นกัน

อินเดียต้องสร้างงานให้เพียงพอต่อประชากรวัยทำงานที่อายุยังน้อย แต่ข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังเศรษฐกิจอินเดีย (CMIE) ระบุว่า มีประชากรวัยทำงานของอินเดียเพียง 40% เท่านั้นที่ต้องการทำงานหรืออยากจะทำงาน

มีผู้หญิงต้องการทำงานเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าพวกเธอใช้เวลาในช่วงวัยทำงานในการให้กำเนิดลูกและดูแลลูกน้อยลง แต่ข้อมูลจาก CMIE พบว่า มีผู้หญิงวัยทำงานเพียง 10% เท่านั้นที่ได้อยู่ในตลาดแรงงานในเดือน ต.ค. ขณะที่ในจีนอยู่ที่ 69%

นอกจากนี้ก็มีการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยมีชาวอินเดียราว 200 ล้านคนได้อพยพย้ายถิ่นภายในประเทศระหว่างรัฐและเขตต่าง ๆ จำนวนผู้โยกย้ายถิ่นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานที่เดินทางออกจากหมู่บ้านเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อหางานทำ "เมืองของเราจะขยายตัว ขณะที่การโยกย้ายถิ่นฐานจะสูงขึ้น เพราะการขาดแคลนงานและค่าจ้างที่ต่ำในชนบท พวกเขาจะสามารถให้มาตรฐานความเป็นอยู่ที่สมเหตุสมผลแก่ผู้อพยพได้ไหม ไม่เช่นนั้น เราก็จะลงเอยด้วยการมีสลัมและโรคภัยเพิ่มมากขึ้น" เอส ไอรูดายา ราชัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพที่สถาบันโยกย้ายถิ่นฐานและการพัฒนาระหว่างประเทศในรัฐเกรละ กล่าว

คำบรรยายภาพ,

มากกว่า 10% ของชาวอินเดีย อายุมากกว่า 60 ปี

เหล่านักประชากรศาสตร์กล่าวว่า อินเดียยังจำเป็นต้องยุติการแต่งงานในวัยเด็ก ป้องกันการแต่งงานเร็วและลงทะเบียนการเกิดและการตายอย่างเหมาะสม อัตราส่วนเพศเมื่อแรกเกิดที่บิดเบือนซึ่งทำให้มีเด็กชายเกิดมากกว่าเด็กหญิง ยังเป็นเรื่องน่ากังวล โดยมีการกล่าวโจมตีทางการเมืองว่า ดูเหมือน "การควบคุมประชากร" จะพุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิม ชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย แต่ในความเป็นจริง ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ระบุว่า "ช่องว่างในการให้กำเนิดลูกระหว่างกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ลดน้อยลงมากกว่าที่เคยเป็น"

บรรดานักประชากรศาสตร์ระบุว่า แทบไม่มีคนใส่ใจเรื่องประชากรสูงวัยของอินเดีย

ในปี 1947 อายุมัธยฐานของอินเดียคือ 21 ปี โดยมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเพียงแค่ 5% ส่วนปัจจุบันอายุมัธยฐานคือมากกว่า 28 ปี และมีชาวอินเดียที่อายุเกิน 60 ปี มากกว่า 10% รัฐทางใต้ของอินเดียอย่างเกรละ และทมิฬนาฑู รักษาระดับทดแทนได้ตั้งแต่อย่างน้อย 20 ปีก่อน

"ขณะที่ประชากรวัยทำงานลดลง การสนับสนุนประชากรสูงอายุจะกลายเป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อทรัพยากรของรัฐบาล" รูกมินิ เอส ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Whole Numbers and Half Truths: What Data Can and Cannot Tell Us About Modern India (อาจแปลเป็นไทยได้ว่า ตัวเลขทั้งหมดและความจริงเพียงครึ่งเดียว : สิ่งที่ข้อมูลบอกเราได้และไม่ได้เกี่ยวกับอินเดียยุคใหม่"

"จะต้องสร้างโครงสร้างครอบครัวขึ้นใหม่ และผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวจะกลายเป็นความกังวลเพิ่มขึ้น" เธอกล่าว