ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “โลกเรานี้มีแผ่นเปลือกอยู่ประมาณ 20 แผ่น มี่ทั้งแผ่นใหญ่ แผ่นเล็ก โดยเปลือกแต่ละชิ้นจะแบ่งเป็นชิ้นย่อยๆ หลายชิ้น เรียกว่า “แผ่นเปลือกโลก (Tectonic plates)” ซึ่งแต่ละแผ่นเปลือกมันก็เคลื่อนไปคนละทิศคนละทาง แบบช้าๆ บางแผ่นเคลื่อนประมาณ 1 เซนติเมตรต่อปี บางแผ่นประมาณ 10 เซนติเมตรต่อปี ทำให้ตรงรอยต่อมันมีแรงชนกัน ทำให้เกิดความเค้นความเครียดในเนื้อหินของแผ่นเปลือกที่ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงระดับที่เนื้อหินทนแรงไม่ไหว จึงเกิดการไถลตัว หรือว่าการระเบิดตัว เพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมา ทำให้เกิดความร้อน เสียง โดยพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะมีลักษณะเป็นลูกคลื่น เมื่อเคลื่อนที่มาถึงผิวดิน ก็จะกลายเป็นการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว” การเกิดแผ่นดินไหว มีตั้งแต่ระดับตื้นใต้แผ่นเปลือกโลกไม่กี่กิโลเมตร ไปถึงระดับลึกๆ เป็นหลายร้อยกิโลเมตรก็มี ขึ้นอยู่กับลักษณะรอยแตกรอยต่อของแผ่นเปลือกในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นประเทศที่มีรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกเยอะ ก็จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อย เช่น ประเทศญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันตก เป็นต้น ส่วนบริเวณใกล้ประเทศไทยมีรอยเลื่อนขนาดใหญ่ เรียกว่า “รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault)” ที่พาดผ่านประเทศเมียร์มาร์ ซึ่งเราสามารถจำแนกรูปแบบการเกิดแผ่นดินไหวจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกได้ 3 รูปแบบ คือ
บทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวของไทยที่ผ่านมา ทำให้การศึกษาแต่ละรอยเลื่อนว่ามีพลังในระดับใดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเตรียมพร้อมเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์แรงสั่นสะเทือนจากรอยเลื่อนที่มีพลังที่อาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้วันใดวันหนึ่งในอนาคต ทั้งนี้ การเฝ้าระวังไม่ใช่จำกัดเพียงรอยเลื่อนในประเทศที่มีพลังเท่านั้น แต่จะต้องศึกษาและเฝ้าระวังรอยเลื่อนรอยต่อที่มีพลังในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้วย เรียบเรียงและอ้างอิงข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หัวหน้าชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย สนับสนุนการวิจัยโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) |