ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ

ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ

ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ

ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ

พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ทรงแต่งตั้งพระบรมวงศา นุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้รับภาระต่างพระเนตรพระกรรณ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระในการบริหารประเทศ ตำแหน่งผู้บริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ ลำดับได้ดังนี้

  ๑. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระมหากษัตริย์
  ๒. พระมหาอุปราช
  ๓. อัครมหาเสนาบดี ๒ ตำแหน่ง คือ
    ๑) สมุหนายก
    ๒) สมุหพระกลาโหม
  ๔. เสนาบดีจตุสดมภ์มี ๔ ตำแหน่ง คือ
    ๑) เสนาบดีกรมเมือง
    ๒) เสนาบดีกรมวัง
    ๓) เสนาบดีกรมคลัง
    ๔) เสนาบดีกรมนา

ต่อจากเสนาบดีลงมา ได้แก่ ขุนนางที่เป็นเจ้ากรมใหญ่ และเจ้าเมืองต่างๆ เป็นต้น

ตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้แก่ ตำแหน่ง "ผู้กำกับราชการ" ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "เสนาบดีที่ปรึกษา"

อัครมหาเสนาบดีเป็นตำแหน่งขุนนางชั้นสูงสุด ซึ่งแบ่งแยกการบริหารออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ
     ๑. สมุหนายก กรมมหาดไทย มีหน้าที่บังคับบัญชาการหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง
     ๒. สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาการหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งปวง และมีหน้าที่บัญชาการฝ่ายทหารบกและทหารเรือด้วย

ตำแหน่งทั้งสองนี้ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์

เสนาบดีจตุสดมภ์ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีอยู่ ๔ ตำแหน่ง คือ
     ๑. เสนาบดีกรมเมือง มีหน้าที่บังคับบัญชาการรักษาพระนครและความนครบาล
     ๒. เสนาบดีกรมวัง มีหน้าที่บังคับบัญชาภายในพระบรมมหาราชวังและความแพ่ง
     ๓. เสนาบดีกรมพระคลัง มีหน้าที่บังคับบัญชากรม พระคลังของแผ่นดินและกรมท่า
           สำหรับกรมท่า แบ่งหน้าที่เป็น ๒ ฝ่าย เรียกว่า กรมท่าขวาทำหน้าที่เจ้าท่าเรือแขกและฝรั่ง ส่วนกรมท่าซ้าย เป็นเจ้าท่าเรือจีน ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้ยกฐานะกรมท่าให้เป็นกรมที่มีเสนาบดี เรียกว่า เสนาบดีกรมท่า และเอากรมพระคลังมาขึ้นรวมกับการต่างประเทศด้วย (ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ)
     ๔. เสนาบดีกรมนา มีหน้าที่บังคับบัญชาการไร่นาทั้งปวง (ปัจจุบันนี้เป็นกระทรวงเกษตราธิการ)

สำหรับยศข้าราชการ ฝ่ายราชสำนักในกรมมหาดเล็ก แต่เดิมมีตำแหน่งจางวางเป็นหัวหน้า มีหัวหมื่น รองหัวหมื่น และจ่า เป็นลำดับกันลงมา ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตำแหน่งใหม่ ยศข้าราชการชั้น เสวกซึ่งขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นมีหลายระดับชั้น เริ่มตั้งแต่รองเสวกตรี รองเสวกโท รองเสวกเอก แล้วเลื่อนขึ้นเป็นเสวกตรี เสวกโท เสวกเอก แล้วขึ้นเป็นมหาเสวกตรี มหาเสวกโท มหาเสวกเอก ขุนนางชั้นเสวกนี้ถึงแม้จะอยู่ในกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งก็ตามให้ใช้ยศว่า เสวกไม่ให้ใช้ อำมาตย์ *ดังปรากฎหลักฐานจากประกาศเปลี่ยนยศอุปราชและสมุหเทศาภิบาล เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ ตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ตำแหน่งยศและหน้าที่ของเสนาบดีต่างๆ ที่กล่าวโดยย่อข้างต้นนี้เป็นเพียงหน้าที่ในยามบ้านเมืองปกติเท่านั้น แต่ถ้ามีข้าศึกสงครามมารุกรานประเทศ เสนาบดีเหล่านี้ต้องเข้าประจำหน้าที่แม่ทัพนายกอง ทำการเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของแผ่นดินอีกด้วย ฉะนั้นผู้ที่จะขึ้นตำแหน่งเสนาบดีมียศฐาบรรดาศักดิ์สูง ก็จะกอปรไปด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ความอุตสาหะ วิริยะ มีความจงรักต่อแผ่นดิน มีความดีความชอบ ได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยานาหมื่นชั้นหิรัญบัฏขึ้นไปทั้งสิ้น ในสังคมไทยเรามักจะได้ยินคำอวยพรที่ญาติผู้ใหญ่ให้กับลูกหลานว่า "ขอให้ลูก (หรือหลาน) ได้เป็นเจ้าคนนายคน" หรือขอให้ลูก (หรือหลาน) มีบริวารมากๆ" และยังมีคำพังเพยที่ว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง" เป็นต้น

ตามประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ เล่ม ๑ ได้จัดระบบตำแหน่งยศขุนนาง ประเภทตามกฎหมายและศักดินา ดังนี้

ยศ (ตำแหน่ง)

ประเภทตามกฎหมาย

ศักดินา
พระมหากษัตริย์

*

จำนวนไม่มีกำหนด
อุปราช

เจ้า

100,000
เจ้าฟ้า (พระเชษฐา, พระอนุชา หรือพระราชโอรสธิดาที่ได้รับพระราชทานให้ทรงกรม)

เจ้า

50,000-40,000
สมเด็จเจ้าพระยา

ขุนนาง

30,000
เจ้าฟ้า (พระเชษฐา, พระอนุชา หรือพระราชโอรสธิดา)

เจ้า

20,000-15,000
พระองค์เจ้า (พระเชษฐา, พระอนุชา ต่างพระมารดาหรือพระโอรสธิดา ที่ได้รับพระราชทานให้ทรงกรม)

เจ้า

15,000
พระองค์เจ้า (พระโอรสธิดาที่ประสูติแต่เจ้าฟ้า และได้รับพระราชทานให้ทรงกรม)

เจ้า

11,000
เจ้าพระยา

ขุนนาง

10,000-3,000
พระยา

ขุนนาง

10,000-1,000
พระองค์เจ้า (พระโอรสธิดาต่างพระมารดา)

เจ้า

7,000
พระองค์เจ้า (พระโอรสธิดาที่ประสูติแต่เจ้าจอม)

เจ้า

6,000
พระ

ขุนนาง

5,000-1,000
พระองค์เจ้า (พระโอรสธิดาที่ประสูติแต่เจ้าฟ้า)

เจ้า

4,000
หลวง

ขุนนาง

3,000-800
หม่อมเจ้า

เจ้า

1,500
หม่อม (ตำแหน่งที่ได้รับพระราชทานของพระญาติ)

*

1,000-800
ขุน

ขุนนางหรือไพร่

1,000-200
หมื่น

ขุนนางหรือไพร่

800-200
หม่อมราชวงศ์ (บุตร,ธิดาของหม่อมเจ้า)

*

500
พัน

ขุนนางหรือไพร่

400-100
ข้าราชการชั้นผู้น้อยตามหัวเมืองเช่นรองแขวง

ไพร่

300-100
ไพร่ (หัวหน้าไพร่ที่มีและไม่มีครอบครัว)

ไพร่

25-10
ผู้ไร้ทรัพย์ ขอทาน หรือ ทาส

ไพร่หรือทาส

5

แผนผังการปกครองสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ

ขุนนาง บรรดาศักดิ์สูงสุด คือ สมเด็จเจ้าพระยา (ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน) รองลงมาได้แก่ เจ้าพระยา (เสนาบดีและเจ้าเมืองในหัวเมืองเอก) พระยา พระ หลวง ขุน ลงมาตามลำดับ

ขุนนางในกรมมหาดเล็ก ถือศักดินาเทียบจำนวนไร่ ดังนี้

  จมื่น ถือศักดินา ๑,๐๐๐
  นายศักดิ์ นายฤทธิ์   ๘๐๐
  จ่า   ๖๐๐
  นายกวด นายขรรค์   ๕๐๐
  นายไชยขรรค์ นายสรวิชัย นายพลพัน นายพลพ่าย นายสนิท นายเสน่ห์ นายเล่ห์อาวุธ
นายสุดจินดา คนละ ๔๐๐ ไร่

ขุนนางที่ถือศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ไร่ขึ้นไป จะได้รับสิทธิเข้าเฝ้าในการเสด็จออกขุนนาง จะได้รับอนุญาตให้ผู้อื่นขึ้นศาลแทนตนได้ บุคคลเหล่านี้สามารถมีไพร่จำนวนหนึ่งเป็นเสมียนทนายของตนได้ตามยศของตน นอกจากนี้จะได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงานไปใช้ต่อเนื่องไปถึงบุตรของขุนนางด้วย เป็นต้น

ตามโครงสร้างของระบบศักดินา จะเห็นได้ว่าเจ้ามิได้เป็นชนชั้นหนึ่งเหนือขุนนาง ตำแหน่งสมเด็จ เจ้าพระยา ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของขุนนาง มียศเท่ากับเจ้าที่ดำรงตำแหน่งกรมหลวง นามของสมเด็จ เจ้าพระยาจะจารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรเมื่อได้รับ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เช่นเดียวกับเจ้าที่ทรงกรม เครื่องยศ ประกอบฐานะคือ กลด เสลี่ยงและดาบ มีลักษณะเหมือนเจ้านายที่ทรงกรมต่างที่หัวหน้ากรม สมเด็จ เจ้าพระยาจะมิได้เรียกว่า เจ้ากรม เรียกว่าจางวางแทน ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการแปลตำแหน่งสมเด็จ เจ้าพระยาเป็นภาษาอังกฤษว่า "non-royal Duke" แต่ตำแหน่งเจ้านายที่ทรงกรมให้แปลว่า "royal Duke" และมีศัพท์บางคำใช้กับสมเด็จเจ้าพระยา เช่น องค์แทนคน เช่น สมเด็จ เจ้าพระยาสององค์ (กรมพระสมมตฯ, เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์, หน้า ๓๖-๓๗)

ความแตกต่างระหว่างเจ้าและขุนนางส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่า พวกเจ้าสืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น มิได้ขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมือง การควบคุมกำลังไพร่พลและความมั่งคั่ง ถึงแม้ว่าระบบชนชั้นศักดินาจะแบ่งฐานะของบุคคล แต่ประเพณีของคนไทยยังถือหลักความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้ใหญ่กับผู้น้อย การได้ครอบ ครองกำลังไพร่พลเป็นลักษณะของความมั่งคั่ง เป็นแบบฉบับของชีวิตความเป็นอยู่ที่จำเป็นต้องมีผู้ติดสอยห้อยตาม มีข้าทาสบริวาร การถือสิ่งของเดินตามหลัง ยังบ่งบอกตำแหน่งของผู้เป็นเจ้านายรวมถึงชั้นวรรณะอีกด้วย

ยศบรรดาศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่ของขุนนางได้มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัย เนื่องจากการเปลี่ยน แปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตำแหน่งเสนาบดีคลังจะมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น

ผู้บังคับบัญชากรมท่าที่มีความสามารถมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ