โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยที่ผ่านมามีโครงการลงทุนทั้งในส่วนของภาครัฐ และการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยรัฐบาลได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) กำหนดกรอบและแนวทางการพัฒนาให้หน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านคมนาคม เป็นแผนปฏิบัติการ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 -2565) เป็นกรอบทิศทางการดำเนินงาน และกำหนดแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในทุกมิติซึ่งแผนระยะที่ 1 จะสิ้นสุดในปี 2565 กระทรวงคมนาคมจึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งจะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม ประเด็นยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ตัวชี้วัด และแผนงาน/โครงการต่างๆ เพื่อใช้กำกับดูแล และติดตามการดำเนินงานในทุกมิติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใสให้สอดรับกับการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) และยุทธศาสตร์พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม กรอบแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ แผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี รวมทั้งสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทใหม่ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศไทยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ทั้งนี้ ได้มีการระดมสมองและรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์มาใช้ประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านคมนาคม พ.ศ. 2566-2570 โดยจะสรุปในเดือน พ.ย. 2565“อานนท์ เหลืองบริบูรณ์” รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) รัฐบาลและกระทรวงฯ ได้ผลักดันการพัฒนาระบบการคมนาคมและขนส่งทุกรูปแบบทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งในส่วนของการวางนโยบาย แผนงาน การพัฒนาและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการ การปฏิบัติการและอำนวยความสะดวก รวมทั้งการควบคุมและการกำกับดูแล เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เอเชีย และภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้แต่ด้วยบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น สภาพภูมิอากาศ ภาวะสงคราม สงครามการค้า ราคาน้ำมันที่ผันผวน การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร การขยายตัวของเมือง รวมทั้งการพัฒนาระบบเทคโนโลยี ดิจิทัล และนวัตกรรม ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการคมนาคมขนส่งของประเทศ ภารกิจ หน้าที่และความรับผิดชอบของกระทรวงฯ เป็นอย่างมากการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 2 จึงควรยึดกรอบยุทธศาสตร์การคมนาคมขนส่งของไทยในระดับ 20 ปี รวมถึงความสอดคล้องและสนับสนุน ทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำการวิเคราะห์ภาพรวมทิศทางการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในช่วงปี 2566-2570 และระยะต่อเนื่อง ให้มีความสอดคล้องกับบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อปิดจุดอ่อนและเสริมสร้างจุดแข็งของการดำเนินงานที่ผ่านมา@ ภารกิจคมนาคม 4 มิติ "สะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล"จากภารกิจของกระทรวงคมนาคม ทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ คือ “สะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล” ซึ่งแผนปฏิบัติการ ระยะที่ 1 มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานเร่งด่วน และวางรากฐานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยให้บรรลุเป้าหมายการขนส่งที่ยั่งยืน โดยจัดการให้บริการที่ทั่วถึง, ใส่ใจสิ่งแวดล้อม, มีประสิทธิภาพ มุ่งใช้เทคโนโลยีและมีความโปร่งใสโดยเป้าหมายตัวชี้วัด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้แก่ 1. ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ น้อยกว่า 11% 2. การขนส่งสินค้าทางราง ต่อปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมด 7% 3. สัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขต กทม.และปริมณฑลต่อการเดินทางทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 10% และเมืองหลักในภูมิภาคไม่น้อยกว่า 40% 4. อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ ที่ 12 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนหลักยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ในระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) จะดำเนินการต่อเนื่องจากระยะที่ 1 โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งในเมืองหลัก 6 แห่งในภูมิภาค การพัฒนาระบบรางระหว่างเมืองเพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ให้แล้วเสร็จตามแผนแม่บทระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนและให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟและรถไฟฟ้า (TOD) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการพัฒนาพื้นที่เฉพาะ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบขนส่งที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงข่ายระบบราง ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การจัดหารถโดยสารประจำทางที่ใช้พลังงานไฟฟ้า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง และการเข้าถึงระบบขนส่งของคนทุกกลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้มีรายได้น้อย ส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะให้มีการให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากล มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่คนทุกกลุ่ม@ “ระบบราง-มอเตอร์เวย์ ต้องพัฒนาต่อเนื่อง”ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้เกิดโครงข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละโครงการมีความคืบหน้าค่อนข้างมาก และหลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง แผนระยะกลางและแผนระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ซึ่งในปี 2565 ประเทศไทยจะมีโครงการลงทุนทั้งทางบก ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในวงเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว 516,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ 974,000 ล้านบาทไฮไลต์ยังคงเป็นการลงทุนระบบราง ตามแผนแม่บทการพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีระบบรถไฟฟ้าทั้งหมด 14 เส้นทาง ระยะทางรวม 554 กม. โดยเปิดให้บริการแล้ว 11 สาย ระยะทาง 212 กม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 4 สาย ได้แก่ สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มีแผนจะเปิดให้บริการในต้นปี 2566, สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มีแผนจะเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2568 และสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุน อยู่ในขั้นตอนประมูล เตรียมเสนอขออนุมัติดำเนินการอีก 5 สาย ได้แก่ สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์, สายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช, สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต@ ลงทุนทางคู่ เป้าหมายปฏิรูประบบรถไฟไทยสำหรับโครงการรถไฟทางคู่ ถือเป็นการปฏิรูประบบรถไฟทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ อยู่ระหว่างเร่งรัดการก่อสร้างระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จ 5 เส้นทาง ประกอบด้วย ลพบุรี-ปากน้ำโพ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ นครปฐม-หัวหิน หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร หลังจากดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้มีทางคู่เพิ่มขึ้นเป็น 1,111 กม.และเริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทางรวม 678 กม. วงเงินรวม 128,378 ล้านบาทและผลักดันโครงการทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กม. วงเงินรวมกว่า 266,975 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนศึกษา และทยอยเสนอขออนุมัติดำเนินการ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จทั้งหมดตามแผนจะทำให้ประเทศไทยมีเส้นทางรถไฟทางคู่มากกว่า 3,200 กม. ทั่วประเทศ เติมเต็มโครงข่ายรถไฟทางคู่ ส่งเสริมให้เกิดการขนส่งสินค้าผ่านระบบรางจากจำนวน 10 ล้านตัน/ปี เป็น 20 ล้านตัน/ปี และกระตุ้นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวหันมาใช้รถไฟในการเดินทางเพิ่มขึ้นจาก 35 ล้านคน/ปี เป็น 80 ล้านคน/ปี@ รถไฟความเร็วสูง เชื่อมท่องเที่ยว-การค้า "ไทย อาเซียน และจีน"มาที่รถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ไทย-จีน กำลังก่อสร้าง ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) 253 กม. งบลงทุน 179,412 ล้านบาท เปิดบริการในปี 2570-2571 ช่วงที่ 2 (นครราชสีมา-หนองคาย) ระยะทาง 356 กม. ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และระยะที่ 3 จากหนองคาย-เวียงจันทน์ ระยะทาง 16 กม. ซึ่งจะมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ อยู่ระหว่างเจรจาเตรียมออกแบบสะพานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. ยังอยู่ในแผนดำเนินการเร่งรัดแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ และการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย ที่จะช่วยส่งเสริมในด้านการค้า การขนส่ง และช่วยพัฒนาการท่องเที่ยว กระจายรายได้ไปสู่ชุมชนเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ ยังมีไฮสปีดเส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กม. ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน และแผนระยะกลาง 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-หัวหิน 211 กม., พิษณุโลก-เชียงใหม่ 288 กม. สถานะ อยู่ระหว่างหาข้อสรุปรูปแบบการลงทุน และแผนระยะยาว 2 เส้นทาง ได้แก่ หัวหิน-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 424 กม. และสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 335 กม. อยู่ระหว่างศึกษาทบทวนความเหมาะสมทางถนน จะมีการลงทุนมอเตอร์เวย์ M5 ต่อขยายยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ระยะทาง 22 กม. มูลค่า 28,700 ล้านบาท, M9 วงแหวนตะวันตก ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 36 กม. มูลค่า 56,035 ล้านบาท โดยใช้รูปแบบการร่วมลงทุนกับเอกชน และ M7 ต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา ระยะทาง 1.92 กม. วงเงิน 4,508 ล้านบาท เส้นทางนี้รัฐลงทุนเองทางน้ำ เร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F เพิ่มขีดความสามารถรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้านตู้/ปี เป็น 18 ล้านตู้/ปี รองรับการขยายตัวของปริมาณเรือขนส่งสินค้าทางทะเลเพิ่มขึ้น มีเป้าหมายเปิดให้บริการปี 2568, พัฒนาท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็น Smart Port, พัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เป็นศูนย์การขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ จากรถบรรทุกสู่รถไฟ มีพื้นที่ศักยภาพ 4 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา โดยรูปแบบรัฐร่วมทุนเอกชนทางอากาศ เร่งรัดการก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก สนามบินสุวรรณภูมิ รับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี, พัฒนาสนามบินดอนเมือง เฟส 3 รองรับผู้โดยสาร 40 ล้านคน/ปี วงเงินลงทุน 32,292 ล้านบาท, พัฒนาสนามบินภูเก็ต เฟส 2 รองรับผู้โดยสาร 18 ล้านคนต่อปีจากเดิม 12.5 ล้านคนต่อปี@ ดันแผน MR MAP/แลนด์บริดจ์ “ชุมพร-ระนอง” คิกออฟปี 66 เสริมแกร่ง ศก.ปท.ไทยดันฮับภูมิภาค“ปัญญา ชูพานิช” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า การทำแผนพัฒนาโครงการคมนาคมในระยะที่ 2 ช่วงปี 2566-2570 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในส่วน สนข.นั้นจะนำโครงการที่มีตามแผนระยะที่ 1 และโครงการใหม่มาประมวล โดยมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลความต้องการในกลุ่มจังหวัดทั้ง 5 ภาค เพื่อนำมาวิเคราะห์ และจัดทำแผนโครงการ โดยปรับไทม์ไลน์ จัดเฟส แผนการดำเนินงาน และการลงทุน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไป“แผนปฏิบัติการระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2570) จะยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงข่ายทางบก ราง น้ำ อากาศ ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองร่วมกับระบบราง (MR MAP) และโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง) ที่คาดว่าจะดำเนินการในช่วง 5 ปีต่อจากนี้”ส่วนโครงการไฮสปีด “สายเหนือและสายใต้” จะมีการทบทวนและปรับไทม์ไลน์ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป ซึ่งล่าสุด ฝ่ายมาเลเซียแจ้งความประสงค์ที่ต้องการจะเชื่อมต่อ "ไฮสปีด" กับประเทศไทย ที่ "ปาดังเบซาร์" ต่อมายัง "หาดใหญ่" เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งไปยัง สปป.ลาว และจีน ส่วนรถไฟทางคู่ มาเลเซีย ต้องการเชื่อมต่อรถไฟกับไทยที่ "สุไหงโก-ลก" ซึ่งรฟท.มีความพร้อมในการเชื่อมต่อ เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟเดิมอยู่ แต่ไม่ได้ใช้งานมานาน ส่วนหัวจักร ขบวนรถ ทาง รฟท.มีความพร้อม ซึ่งทางมาเลเซียมองว่าจะเป็นอีกเส้นทางขนส่งสินค้ารถไฟ เชื่อมมาเลย์ ไทย ลาว จีนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นอกเหนือจากการส่งออก และการท่องเที่ยว ฯลฯ และยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอีกด้วย รวมไปถึงเกิดการสร้างงาน จ้างแรงงาน มีการกระจายรายได้ไปทั่วประเทศ และเมื่อโครงการสำเร็จตามเป้าหมายจะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกมิติแต่ต้องยอมรับว่าบางโครงการมีมูลค่าการลงทุนสูงหลายแสนล้านบาท เช่น MR -Map และแลนด์บริดจ์ การที่นักลงทุนข้ามชาติจะตัดสินใจคงไม่ง่ายและอาจต้องใช้เวลา ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ทุกประเทศต้องการฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด ดังนั้น การจัดการเรื่องกฎระเบียบ กติกา และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยอำนวยความสะดวก เป็นอีกปัจจัยที่จะกระตุ้น และจูงใจนักลงทุนและทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางคมนาคมของอาเซียนได้ตามเป้าหมาย!!!