เมืองหลวงเล็กๆ ที่มีสีสันสดใสแห่งนี้มีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้มากมาย แม้อากาศจะดีเพียงใดชาวเมืองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงพยายามใช้แต่พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แน่นอนว่าเขาคงอยากมีอากาศดีๆ ไว้หายใจนานๆ 9. เมืองซูริก (Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่ระบบการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ที่ซูริกยังมีระบบการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ทันสมัยมากๆ โดยทางการจะนำเซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศติดไว้กับรถประจำทางที่ออกท่องตาม ถนนในหลายพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศในแต่ละช่วงเวลาของวัน และรายงานผลตรงไปยังอุปกรณ์มือถือของคนในเมืองทันทีที่เขายอมลงทุนทำขนาดนี้ก็เพื่อคนของเขาจะได้เลือกออกมาสูดอากาศในช่วงที่มลพิษน้อยที่สุด 8. กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน ใครที่เคยไปเที่ยวสตอกโฮล์มคงต้องประทับใจกับบ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านและอากาศที่สดชื่นแน่นอน แต่ทราบหรือไม่ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวเมืองที่นี่ใช้รถยนต์ระบบไฮบริดมากที่สุดในยุโรป นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องระเบียบการจัดการระบบการขนส่งที่เข้มงวดมากๆ ตั้งแต่การเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ราว 2 ยูโร จากรถยนต์ที่ขับเข้าเมืองในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ทั้งยังมีการจำกัดเวลาจอดรถพร้อมกับเก็บค่าจอดแพงๆ อีกด้วย เพื่อกันไม่ให้คนนำรถมาจอดเยอะเกินไป 7. กรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์ เมืองหลวงที่มีมลพิษที่เกิดจากรถยนต์น้อยมากไม่ถึงครึ่งของมลพิษทั้งหมดในอากาศ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการออกแบบถนนให้กว้างมากเป็นพิเศษทำให้การจราจรไม่ติดขัด และประชาชนก็ยังทำตามคำแนะนำของรัฐบาล โดยการร่วมด้วยช่วยกันหันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนทันทีที่ทราบว่าคุณภาพอากาศในเมืองเริ่มย่ำแย่แล้ว 6. เมืองออตตาวา (Ottawa) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) ประเทศแคนาดา เมืองหลวงของแคนาดาที่ขึ้นชื่อเรื่อง "ลานสเกตที่ใหญ่ที่สุดในโลก" โดยลานสเกตที่ว่านี้เกิดจากน้ำในคลองริโด (Rideau Canal) ขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านใจกลางเมืองแปรสภาพกลายเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งสายในช่วงฤดูหนาวชวนเชิญให้ผู้คนหยิบรองเท้าสเกตมาสวมใส่เพื่อเที่ยวชมเมืองน่าสนุกไปอีกแบบ และสิ่งสำคัญที่ทำให้ออตตาวาเป็นเมืองที่อากาศดีติดอันดับน่าจะมาจากโปรเจ็กต์รณรงค์รักษาความสะอาดที่ทางการจัดให้มีขึ้นทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งได้จัดอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 20 แล้ว โดยในปีก่อนหน้านี้ผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 60,000 คน ต่างร่วมมือร่วมใจกันทำความสะอาดสวนสาธารณะ ท้องถนน และพื้นที่ส่วนรวมในเขตเมือง 5. เมืองแคลกะรี (Calgary) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ประเทศแคนาดา แม้จะมีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตแก๊สและน้ำมันจำนวนมากตั้งอยู่ในเขตเมือง แต่ด้วยการวางผังเมืองและระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ลดปริมาณมลพิษลงได้อย่างน่าอัศจรรย์จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่อากาศดีที่สุดของโลก นอกจากนี้ในเมืองยังมีแหล่งทิ้งขยะถึง 3 แห่ง เพื่อการคัดแยกขยะ โดยแยกขยะที่ย่อยสลายเองได้กับขยะที่รีไซเคิลได้ออกจากกัน 4. เมืองเกรตฟอลส์ (Great Falls) รัฐมอนแทนา (Montana) สหรัฐอเมริกา เกรตฟอลส์ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเช่นการเดินป่า แต่ใครจะรู้ว่าเมืองนี้เกือบหวิดกลายเป็นเมืองมลพิษสูงไปแล้วเมื่อมีแผนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมถ่านหินขนาดใหญ่ในเมือง แต่โชคดีที่ชาวเมืองแข็งขันร่วมใจกันประท้วงอย่างหนัก แผนก่อสร้างโรงงานจึงต้องยกเลิกไปในที่สุด เพราะอย่างนี้เขาถึงแซงหน้าใครๆ จนกลายมาเป็นอันดับ 4 จนได้ 3. เมืองโฮโนลูลู (Honolulu) รัฐฮาวาย (Hawaii) สหรัฐอเมริกา โฮโนลูลูในภาษาฮาวายแปลว่า "อ่าวที่พักพิง" และเมืองนี้ก็น่าอยู่น่าพักพิงสมชื่อจริงๆ เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บนเกาะฮาวายซึ่งไกลจากแผ่นดินใหญ่ถึง 2,000 ไมล์ มลพิษจากเมืองใหญ่ไม่ว่าจะเยอะสักแค่ไหนก็ข้ามไปไม่ถึง ที่สำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้อากาศบริสุทธิ์ก็เพราะปริมาณฝนจำนวนมากที่ตกลงมาในแต่ละปีและการออกแบบระบบขนส่งให้มีเลนสำหรับรถประจำทางโดยเฉพาะเพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดบนท้องถนนและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศอีกด้วย 2. เมืองแซนตาเฟ (Santa Fe) รัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) สหรัฐอเมริกา แซนตาเฟเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในสหรัฐอเมริกาที่มีมลพิษในอากาศน้อยมากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะที่ตั้งของเมืองซึ่งอยู่ในพื้นที่ป่าและยังมีกฎหมายที่เข้มงวด ห้ามการเผาไม้ในที่โล่งแจ้งด้วย นอกจากอากาศดีแล้ว ...เมืองนี้ยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นสุดยอดเมืองสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะและการออกแบบอีกด้วย 1. เมืองไวต์ฮอร์ส (Whitehorse) เมืองหลวงของดินแดนยูคอน (Yukon) ประเทศแคนาดา เหตุที่เมืองไวต์ฮอร์สมีอากาศบริสุทธิ์เป็นอันดับ 1 ของโลกนั้น นอกจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยตามธรรมชาติแล้ว คงเป็นเพราะความหนาแน่นของประชากรที่น้อยเอามากๆ แถมยังมีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเพื่อรักษาอากาศให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จนเทศมนตรีเมืองกล้าคุยให้อิจฉากันเล่นๆ ว่า "ก็ไม่รู้สินะ หลายคนที่มาที่นี่เป็นต้องร้องว้าว! อากาศดีมาก สุดยอดไปเลย" แต่สำหรับตัวเขาเองและชาวเมืองกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะเราสูดอากาศแบบนี้กันตลอดเวลา แหม ...น่าอิจฉามว๊าก! |