บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) 6 พ.ย. 2017 กรณีศึกษา เป๊ปซี่โค – ซันโทรี่ / โดย เพจลงทุนแมน “เป๊ปซี่โค” บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของแบรนด์ที่เรารู้จักกันดีชื่อ “เป๊ปซี่” ได้ประกาศปรับโมเดลการทำธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทยอีกครั้ง หลังเลิกสัญญากับเสริมสุข และหันมาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองมากว่า 5 ปี โดยล่าสุดเลือกที่จะจับมือกับ “กลุ่มซันโทรี่” พันธมิตรจากญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อว่า "บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอร์เรจ ประเทศไทย จำกัด" (Suntory PepsiCo Beverage Thailand) เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ในเมืองไทยแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า รวมไปถึงการสร้างแบรนด์และทำการตลาด จริงๆแล้วโมเดลธุรกิจแบบ “Joint Venture” นี้เป็นรูปแบบที่ทั้งเป๊ปซี่โคและซันโทรี่เลือกใช้มาก่อนหน้านี้ที่ประเทศเวียดนาม และถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนกลายเป็นที่มาของดีลล่าสุดในประเทศไทย เรื่องราวของการร่วมทุนระหว่างเป๊ปซี่โคและซันโทรี่ในเวียดนามเป็นอย่างไร และประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง หลังเวียดนามได้ประกาศยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้ากับต่างประเทศในปี 1994 เป๊ปซี่โคจึงได้เริ่มเข้าไปดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศเวียดนามในรูปแบบแฟรนไชส์ (Franchise) แฟรนไชส์ คือให้สิทธิกับบริษัท International Beverage Company หรือ IBC ในการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มในเครือแต่เพียงผู้เดียว โดยเริ่มทำตลาดด้วยการเปิดตัว 2 เครื่องดื่มน้ำอัดลมยอดนิยม นั่นคือ “เป๊ปซี่” และ “เซเว่นอัพ” จากนั้นในปี 1999 เป๊ปซี่โคจึงได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท IBC 100% พร้อมปรับโมเดลเพื่อเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าด้วยตัวเอง ต่อมาในปี 2003 บริษัท IBC ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท PepsiCo Beverages International – Vietnam พร้อมกับนโยบายขายสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลม (Non-carbonated beverages) ทำให้ได้เห็นแบรนด์เครื่องดื่มใหม่ๆ เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง “สติง” ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2013 เมื่อเป๊ปซี่โคต้องการขยายธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศเวียดนามให้เติบโตจึงร่วมมือกับกลุ่มซันโทรี่ เป๊ปซี่โค และซันโทรี่ ทำธุรกิจร่วมกันมาแล้วในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ทั้งสองจึงตัดสินใจประกาศร่วมทุนเพื่อจัดตั้งบริษัท Joint Venture ที่ชื่อว่า Suntory PepsiCo Vietnam Beverage (หรือ SPVB) โดยกลุ่มซันโทรี่ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และส่วนที่เหลืออีก 49% ถือโดยเป๊ปซี่โค โดยสองผลิตภัณฑ์แรกที่ถูกเปิดตัวภายหลังการร่วมทุน คือ “เมาเทนดิว” แบรนด์เครื่องดื่มในอเมริกาจากฝั่งเป๊ปซี่โค และ “ทีพลัส” ชาอู่หลงในญี่ปุ่นจากฝั่งซันโทรี่ 5 ปีที่ผ่านมา SPVB ถือเป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มเวียดนามที่มีผลการดำเนินงานที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก (Double-digit growth) จนถึงตอนนี้ SPVB เป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดเครื่องดื่มในเวียดนามที่มีมูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน SPVB มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโฮจิมินห์ มีโรงงานผลิตเครื่องดื่มรวม 6 แห่งและสำนักงานขาย 5 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานมากกว่า 2,800 คน และติดอันดับ Top 10 บริษัทข้ามชาติในกลุ่ม FMCG ที่น่าร่วมงานด้วยมากที่สุด ด้วยโมเดลความสำเร็จในเวียดนาม เป๊ปซี่โคและซันโทรี่ จึงร่วมพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มในเมืองไทยภายใต้ระบบ Joint Venture อีกครั้ง โดยมีการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างซันโทรี่และเป๊ปซี่โคเหมือนเช่นเดิมคือ 51:49 ซันโทรี่-เป๊ปซี่โค ในประเทศไทยจะเจริญรอยตามความสำเร็จของธุรกิจในเวียดนามได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าคู่แข่งในตลาดเครื่องดื่มไทยรายอื่น น่าจะต้องเหนื่อยขึ้นอีกมาก.. |