ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจว่ากว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันคือการรวมตัวกันของความผิดพลาดและความบิดเบี้ยวหลายๆ อย่าง ที่ดำเนินไปโดยไม่มีการแก้ไข นานวันเข้ามันก็กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันระเบิดเท่านั้นเอง เหมือนเรื่องที่กำลังจะได้อ่านในบทความนี้ครับ… – ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงปี 10 ปีก่อนเกิดต้มยำกุ้งนั้น เหตุผลหลักเป็นเพราะการย้ายฐานผลิตของบริษัทใหญ่ๆ มาในประเทศไทย และการส่งออกสินค้าสร้างรายได้เข้าประเทศ – เมื่อเศรษฐกิจเติบโต ประเทศร่ำรวยขึ้น รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่อยากจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค – ปี พ.ศ.2533 แนวคิด “เสรีทางการเงิน” จึงเกิดขึ้น เพื่อให้การเคลื่อนย้ายเงินตราเป็นไปได้อย่างเสรี แทนที่จะจำกัดแบบเดิม – เมื่อเศรษฐกิจไทยดี ใครๆ ก็อยากได้เงินบาท เงินบาทก็จะแพง(หรือแข็งค่าขึ้น) ซึ่งถ้าหากแข็งไปมากๆ ถึงขั้น 15-20 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ สินค้าไทยก็จะแพง ส่งออกยาก – จึงแก้ปัญหานี้ด้วยนโยบายตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไปไว้ที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ – ตัวอย่าง ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องเอาเงินบาทที่มี ไปซื้อเงินดอลลาร์มาเก็บไว้ เพื่อทำให้มีเงินบาทในตลาดเยอะขึ้น อะไรที่มันมีเยอะ ราคามันก็จะถูกลง – ตรงกันข้ามกับเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ก็ต้องเอาเงินดอลลาร์ในคลัง ไปซื้อเงินบาทกลับมา เพื่อให้มีปริมาณเงินน้อยลง และเงินแข็งค่าขึ้น จุดนี้ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจให้ดีเลยนะครับ!! – ทีนี้… นโยบายต่อมาก็คือ การอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดบริการวิเทศธนกิจในปี พ.ศ.2536 หรือพูดง่ายๆ ก็คือสามารถกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ในประเทศต่อ – เพราะประเทศไทยขณะนั้นดอกเบี้ยในประเทศสูงราว 14-17% ต่อปี – ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศถูกกว่าที่ประมาณ 5% ต่อปี – เห็นช่องว่างใช่ไหมครับ?? การทำกำไรง่ายๆ ก็คือ การกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ต่อ ได้กำไรไปเหนาะๆ เลยเป็น 10% – พอกู้เงินมาเยอะ ก็อยากปล่อยกู้เร็วๆ เพื่อกำไร ทีนี้มาตรฐานการพิจารณาก็ปล่อยกู้กันง่ายๆ ใครมาขอกู้มีเครดิตหน่อยก็เอาเงินไปเลย – เงินเหล่านั้นไปไหน ก็ไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน คอนโด หรือกระทั่งตลาดหุ้น – กลายเป็นยุคที่เงินหาง่าย เพียงกู้จากต่างประเทศมา ให้คนในประเทศกู้กันต่อ – เมื่อเงินหาง่าย สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำออกมาก็ขายง่าย พอขายง่ายก็กำไรดี กำไรดีก็ทำมาขายต่อในราคาที่สูงกว่าเดิม ก็ยังขายได้ ทีนี้ก็ทำออกมาขายใหม่ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง ก็ยังขายได้อีก เอาเข้าไป!! – ภาวะที่สินค้าราคาแพงกว่าความเป็นจริง นี่แหละครับที่เรียกกันว่า “ฟองสบู่” – ทีนี้จะทำให้เสร็จแล้วขายก็ไม่ทันใจ ก็ขายใบจอง บ้างก็กู้เงินมาเพื่อซื้อใบจอง เอาใบจองไปขายทำกำไรต่อเพราะขายง่ายเป็นทอดๆ ไปอีก – ทางฝั่งคนในตลาดหุ้น เมื่อเห็นหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา ก็เกิดความโลภ จากเดิมที่เล่นด้วยเงินสด กลายเป็นเล่นด้วยเงินกู้ เพราะซื้อไปมันก็ขึ้นเรื่อยๆ (คำว่าหุ้นตกนั้นเป็นอะไร ไม่รู้จักหรอก เป็นศัพท์ที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว) – สินค้าต่างประเทศได้รับความนิยม เพราะคนรวยนำเข้าของหรูหราตามสมัยนิยมมาใช้กันมากมาย บางส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างไม่เสร็จ เห็นความบิดเบี้ยวกันได้ชัดขึ้นหรือยังครับ??– ประเทศไทยยุคนั้นคนมีเงินเยอะขึ้น แต่เป็นการรวยไม่จริง รวยจากการกู้ยืมชาวบ้านมาแทบทั้งสิ้น – ขณะเดียวกันประเทศก็ขาดดุลการค้าต่อเนื่องมาตลอด ยอดนำเข้าเยอะกว่ายอดส่งออก ขาดทุนสะสมหลายปีติดต่อกัน – แถมหนี้ที่กู้ยืมสถาบันการเงินต่างประเทศเป็นหนี้ระยะสั้น ที่ใกล้จะครบกำหนดชำระเป็นเงินสกุลดอลลาร์ – จนกระทั่งปี พ.ศ.2539 เงินที่กู้มาเรื่อยๆ ชักจะหมุนไม่ทันเสียแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัว โครงการใหม่ที่ขึ้นมาเริ่มจะขายไม่ออก เพราะเงินในระบบเริ่มหมด – ความเชื่อมั่นในประเทศไทยน้อยลง เพราะเจ้าหนี้ต่างก็ไม่มั่นใจว่าไทยจะมีเงินคืนหรือไม่ – นักลงทุนต่างชาติ ก็พากันถอนทุนออกจากไทย ขายเงินบาททิ้ง เนื่องจากมองเห็นถึงความบิดเบี้ยว และมีโอกาสที่เงินบาทจะด้อยค่าไปมากกว่าเดิม – ขณะที่กองทุนก็เห็นแผลที่กำลังเปิดอยู่นี้ พร้อมใจกันเทขายเงินบาท แถมตั้งอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ไว้ที่ 50 บาทต่อดอลลาร์ – กู้เงินมาตอน 25 บาทต่อดอลลาร์ แต่ต้องจ่ายคืนที่ 50 บาทต่อดอลลาร์ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง อย่างที่เกริ่นให้ทุกคนเข้าใจไปด้านบน ว่าพอหลายฝ่ายเทขายเงินบาท เงินบาทก็จะอ่อนค่า การจะตรึงราคาไว้ได้ก็ต้องเอาเงินดอลลาร์ในคลังออกมารับซื้อใช่ไหมครับ?? – ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงออกมาอุ้มปัญหาเหล่านั้นในตอนแรก ด้วยการกัดฟันสู้ ขอรับซื้อเงินบาทที่ราคา 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ต่อไป – จากเงินสำรอง 40,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือ 2,500 ล้านดอลลาร์อย่างรวดเร็ว เงินแทบหมดคลัง – จะโทษกองทุนต่างชาติได้เต็มปากไหม ก็คงไม่… เพราะพวกเขาทำกำไร จากการเห็นความบิดเบี้ยวที่เราสร้างขึ้นมาเอง จนสุดท้ายสู้ไม่ไหว ต้องยอมปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 คนไทยที่เป็นหนี้ต่างชาติ กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเกือบจะ 2 เท่าในทันที เงินหายออกไปจากระบบ ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นตก หรือแค่โครงการสร้างไม่เสร็จเท่านั้น แต่เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจต่างๆ เกิดการลดคน เลิกจ้าง จนถึงขั้นเลิกกิจการมากมาย ประเทศไทยจะใช้คำว่า “เจ๊ง” ก็คงไม่ผิดนัก และนั่นทำให้ประเทศไทย ที่หันไปทางไหนก็ไม่มีใครให้เครดิต ต้องกู้เงินจาก IMF เป็นมูลค่ากว่า 510,000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง รวมถึงการกู้เงิน “กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน” หรือ FIDF มูลค่ากว่า 1.14 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยพยุงสถาบันการเงินไม่ให้ล้ม มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า…หากไทยไม่ตั้งอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ในตอนนั้น ค่อยๆ ปล่อยให้เงินบาทลอยตัวไป สถาบันการเงินก็คงจะระวังมากขึ้นในการกู้เงินมาปล่อยกู้ต่อ หรือกระทั่งการควบคุมการปล่อยกู้ในประเทศ ไม่ให้ปล่อยอย่างง่ายดาย ลดปัญหาฟองสบู่จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เศรษฐกิจไทยยุคนั้นก็อาจจะถดถอยจากการขาดดุลการค้า แต่เป็นในแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมือนกับการบิดเบือน เอาเงินมาพยุง จนกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่สายเกินแก้ อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ควบคุมการปล่อยกู้ในประเทศ ปัญหาหนี้ และปัญหาฟองสบู่ต่างๆ ถูกจัดการได้ดีขึ้นหากเทียบกับในยุคก่อนหน้า ในขณะที่หนี้ IMF ก็ชำระคืนไปจนหมด แต่นั่นเป็นเพียงก้อนเดียวเท่านั้น เหลือเพียงแต่หนี้ของ FIDF ซึ่งผ่านมา 21 ปีจนถึงวันนี้ ยังคงมียอดหนี้เหลืออยู่สูงถึง 880,000 ล้านบาท ให้คนไทยได้รำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และร่วมชำระไปจนกว่าจะหมดในที่สุด…. |