แผนการจัดการเรยี นรู้ รหสั 20000-1301 รายวิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ิต ประเภทวชิ า ช่างอุตสาหกรรม,พาณิชยกรรม จัดทาโดย แผนกวชิ าสามญั สัมพนั ธ์ วิทยาลยั การอาชพี ขุนหาญ บนั ทึกการขออนุมัติการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้ รหสั 20000-1301
วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทกั ษะชีวติ ขออนุมัติการใช้แผนการจดั การเรียนรู้ ความเห็นหัวหน้าแผนกวชิ า ลงชอ่ื
................................................หวั หน๎าแผนกวิชาสามญั สมั พันธ์ ความเหน็ ของหัวหนา้ งานพัฒนาหลักสตู รการเรียนการสอน ลงช่อื ................................................หวั หน๎างานหลกั สูตรฯ ความเห็นของรองผ้อู านวยการฝ่ายวชิ าการ ลงชือ่ ................................................รองผู๎อํานวยการฝาุ ยวิชาการ ความเหน็ ของผู้อานวยการ ลงช่อื ................................................ ผอู๎ ํานวยการวทิ ยาลัยการอาชีพขุนหาญ คานา
แผนการจัดการเรียนร๎ู มุํงเน๎นฐานสมรรถนะและบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การจัดทําได๎มีการพัฒนาเพ่อื ให๎เหมาะสมกับผ๎ูเรียน โดยแบํงเนื้อหาออกเป็น 10 หนํวย การจัดกิจกรรม ผู๎จัดทําหวังวําแผนการจัดการเรียนร๎ูเลํมนี้คงจะเป็นแนวทางและเป็นประโยชน์ตํอครู -อาจารย์และ สนุ ิษา ธอิ ามาตย์ สารบญั
หนา้ หลักสูตรรายวิชา จดุ ประสงค์รายวชิ า สารและการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร์โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอื่ นําไปประยุกต์ใชใ๎ นวิชาชีพและชวี ิตประจําวนั สมรรถนะรายวิชา หนวํ ยและการวัด อะตอมและตารางธาตุ สารและการเปลี่ยนแปลง นาโนเทคโนโลยีและระบบนเิ วศ วิทยาศาสตร์ คาอธบิ ายรายวิชา แรง การเคลื่อนท่ี นาโนเทคโนโลยี โครงสร๎างอะตอมและตารางธาตุ สารและการเปล่ียนแปลง ปฏิกิริยาเคมีใน หนว่ ยการเรยี นรู้ หนว่ ย ชอ่ื หน่วย จานวน ท่มี า 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3 /// 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3 /// 3 หนํวยและการวัด 3 /// 4 แรงและการเคล่ือนท่ี 3 /// 5 โครงสรา๎ งอะตอมและตารางธาตุ 9 /// / 6 สารและการเปลย่ี นแปลง 9 /// / 7 ปฏกิ ิรยิ าเคมีในชีวติ ประจําวนั 9 /// / 8 เทคโนโลยีชวี ภาพ 6 /// 9 นาโนเทคโนโลยี 3 // / 10 ระบบนเิ วศ 3 //// / วดั ผลและประเมนิ ผลปลายภาคเรยี น 3 รวม 54 หมายเหตุ A = หลกั สตู รรายวชิ า B = หนงั สอื วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ติ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่สอดคลอ้ งกับสมรรถนะรายวิชา หนว่ ย ชอ่ื หน่วย จานวน ความสอดคล้องกับสมรรถนะรายวิชา สมรรถนะรายวิชา และการวัด อะตอมและตารางธาตุ สารและการเปลี่ยนแปลง นาโนเทคโนโลยแี ละระบบนเิ วศ วทิ ยาศาสตร์ โครงการจัดการเรยี นรู้ สัปดาห์ หนว่ ย ทฤษฎี ปฏิบตั ิ จานวน 7 ปฏิกิรยิ าในชวี ิตประจําวนั 7 ปฏิกริ ยิ าในชีวิตประจําวัน (ตํอ) 7 ปฏกิ ริ ยิ าในชีวิตประจาํ วนั (ตํอ) 8 เทคโนโลยชี ีวภาพ 8 เทคโนโลยชี วี ภาพ (ตอํ ) 9 นาโนเทคโนโลยี 10 ระบบนเิ วศ วัดผลและประเมินผลปลายภาคเรยี น รวม สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ ชอื่ เรื่อง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบัติ 1. ระบขุ ้ันตอนของวิธกี ารทางวทิ
ยาศาสตร์ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ัติ ชื่อเร่ือง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏิบตั ิ ใบกจิ กรรมที่ 1.1 ทักษะการสังเกต 1. บันทึกผลการสังเกต 2. ระบุขอ๎ มลู เชิงคุณภาพหรือเชิงปรมิ าณจากการสงั เกต ใบกิจกรรมที่ 1.2 ทกั ษะการจําแนก 1. กาํ หนดเกณฑแ์ ละจําแนกประเภทส่งิ ของตามเกณฑ์ที่ ประเภท กําหนด ใบกจิ กรรมที่ 1.3 ทกั ษะการจัดกระทาํ และ 1. จดั กระทาํ และสอื่ ความหมายข๎อมลู ในรูปของตาราง ขอ๎ มูล ใบกจิ กรรมท่ี 1.4 ทกั ษะการพยากรณ์ 1. พยากรณภ์ ายในขอบเขตขอ๎ มูลและนอกขอบเขตข๎อมลู ใบกจิ กรรมท่ี 1.5 ทักษะการตั้งสมมติฐาน 1. ตง้ั สมมติฐานจากปญั หาท่กี ําหนดให๎ ใบกจิ กรรมท่ี 1.6 ทกั ษะการกาํ หนดและ 1. ตั้งสมมตฐิ าน และบอกตัวแปรตน๎ ตวั แปรตาม ควบคุมตัวแปร ตวั แปรควบคุมจากปัญหาทก่ี ําหนดให๎ ใบกจิ กรรมที่ 1.7 การตีความหมายข๎อมลู 1. ตคี วามหมายข๎อมูลและลงขอ๎ สรุปจากขอ๎ มลู ท่ีกาํ หนดให๎ และลงข๎อสรปุ ใบกจิ กรรมท่ี 1.8 การจมและการลอยของ 1. ใช๎กระบวนการการทางวทิ ยาศาสตร์ ศึกษาการจมและการ ไขํ ลอยของไขํ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/ บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง แสดงออกดา๎ นความสนใจใฝรุ ๎ู การตรงตํอเวลา ความซอื่ สตั ย์ สุจรติ ความมีนา้ํ ใจและแบงํ บนั ความรวํ มมอื /ยอมรบั ความคิดเหน็ สํวนใหญํ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ัติ ช่ือเรอื่ ง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏบิ ัติ หน่วยท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สมรรถนะย่อย (Element of Competency) 2.1 ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แสดงความรแู๎ ละปฏบิ ตั ิเกี่ยวกับการทําโครงงาน วิทยาศาสตร์ 2.2 จุดมงุํ หมายของการทาํ โครงงาน วทิ ยาศาสตร์ จุดประสงค์การปฏิบัติ (Performance Objectives) 2.3 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์2.4 ดา้ นความรูแ้ ละทกั ษะ ขน้ั ตอนการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. อธิบายความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 2.5 การเขยี นรายงานโครงงาน 2. บอกจุดมงํุ หมายของการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 3. ระบปุ ระเภทของโครงงานวิทยาศาสตรจ์ ากข๎อมูลที่ 2.6 การแสดงผลงานโครงงาน กําหนดให๎ วิทยาศาสตร์ 4. อธิบายข้ันตอนในการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. จดั ทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เขียนรายงานและแสดง ผลงานทศ่ี กึ ษา ใบกจิ กรรมที่ 2.1 ความหมายของโครงงาน 1. บอกความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ใบกจิ กรรมที่ 2.2 ตัวแปรในการทาํ 1. ระบตุ ัวแปรต๎น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคมุ จาก โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถานการณ์ทก่ี ําหนดให๎ ใบกิจกรรมที่ 2.3 วเิ คราะห์ตัวแปรตน๎
1. แยกตัวแปรตน๎ และตัวแปรตาม ตามชื่อโครงงานท่ี ใบกิจกรรมท่ี 2.4 ออกแบบการทดลอง 1. ออกแบบการทดลองจากสถานการณ์ทก่ี ําหนด ใบกิจกรรมที่ 2.5 ลกั ษณะเดํนของโครงงาน 1. บอกประเภทและลักษณะเดํนของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แตํละประเภท แตลํ ะประเภท ใบกิจกรรมที่ 2.6 ประเภทของโครงงาน 1. แยกประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ทีก่ ําหนดให๎ วิทยาศาสตร์ ใบกจิ กรรมที่ 2.7 จัดทาํ โครงงาน 1. จัดทําโครงงานวิทยาศาสตร์และแสดงผลงานท่ีศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ 2. ใชว๎ ิธีการทางวิทยาศาสตร์ศึกษาคน๎ คว๎าดว๎ ยตนเอง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏบิ ัติ ชื่อเรือ่ ง สมรรถนะย่อยและจุดประสงคก์ ารปฏิบตั ิ บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง สมรรถนะย่อยและจุดประสงคก์ ารปฏิบตั ิ ชอื่ เร่ือง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบัติ ใบกจิ กรรมที่ 3.1 ระบบหนํวย SI จดุ ประสงคก์ ารปฏิบตั ิ (Performance Objectives) ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม/ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบัติ ชื่อเร่อื ง สมรรถนะย่อยและจุดประสงคก์ ารปฏิบตั ิ 1. หาแรงลัพธ์ของ 2 แรงทท่ี ํามมุ 1. ระบปุ ระเภทการเคลื่อนที่ของวตั ถุแบบตาํ ง ๆ ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม/ ใช๎อปุ กรณ์ทดลองอยาํ งฉลาดและรอบคอบ ช่อื เรื่อง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏิบตั ิ ชื่อเรือ่ ง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏบิ ัติ 13. ระบคุ วามสมั พันธ์ของการจดั เรียงอิเล็กตรอนกับหมูํและ คาบของตารางธาตุ 14. บอกสมบัติของธาตทุ ี่อยใูํ นหมํูหรอื คาบเดียวกนั ใบกจิ กรรมท่ี 5.1 กลํองปรศิ นา 1. ใช๎ทักษะการสังเกตและลงความเห็นจากข๎อมูลท่ีได๎จาก การสงั เกต 2. วาดภาพวตั ถุท่ีอยภูํ ายในกลอํ งตามจนิ ตนาการ ใบกิจกรรมท่ี 5.2 แบบจาํ ลองอะตอม 1. อธบิ ายลักษณะสําคัญของแบบจําลองอะตอมแบบตําง ๆ 2. ระบุรูปภาพแบบจําลองอะตอมแตํละแบบ ใบกจิ กรรมที่ 5.3 อนภุ าคมูลฐานของ 1. บอกจํานวนอนุภาคมูลฐาน เม่ือทราบเลขอะตอมและเลข อะตอมและสญั ลักษณ์ มวลของธาตุ ของนิวเคลยี ร์ 2. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลยี รข์ องธาตุได๎ เมื่อทราบเลขอะตอม และเลขมวล ใบกิจกรรมท่ี 5.4 ไอโซโทป ไอโซโทน 1. อธบิ ายความหมายของไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ และไอโซบาร์ 2. ระบุธาตทุ เ่ี ป็นไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ ใบกิจกรรมท่ี 5.5 การจัดเรียงอเิ ล็กตรอน 1. จัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนและบอกจาํ นวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของ ธาตุ เม่อื ทราบเลขอะตอมของธาตุ ใบกจิ กรรมที่ 5.6 สญั ลักษณธ์ าตุ 1. เขยี นสญั ลกั ษณ์ธาตุท่กี ําหนดให๎ ใบกจิ กรรมที่ 5.7 สมบัติของธาตใุ นตาราง 1. เขยี นสัญลกั ษณ์ธาตุ และบอกสมบตั ิของธาตุ ธาตุ ใบกิจกรรมที่ 5.8 ความสมั พันธข์ องหมูํและ 1. ระบุความสัมพันธ์ของหมูํและคาบกับการจัดเรียง คาบกับการจัดเรียงอิเล็กตรอน อิเล็กตรอน ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม/ บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง แสดงออกดา๎ นการตรงตํอเวลา ความสนใจใฝุรู๎ ไมํหยดุ นิ่งทจ่ี ะแกป๎ ญั หา ความซ่อื สัตย์ ความรํวมมอื ใช๎อปุ กรณ์ทดลองอยาํ งฉลาดและรอบคอบ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ ช่อื เร่อื ง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ 1.
บอกความแตกตํางของสมบัติทางกายภาพและทาง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ ช่อื เร่อื ง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏิบัติ ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรม/ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏบิ ตั
ิ ชอ่ื เร่ือง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏบิ ัติ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ัติ ช่อื เร่อื ง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏบิ ตั ิ ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม/ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบัติ ชือ่ เร่ือง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏิบัติ หน่วยท่ี 8 เทคโนโลยชี วี ภาพ สมรรถนะย่อย (Element of Competency) 8.1 ความหมายของเทคโนโลยีชวี ภาพ แสดงความร๎ูและปฏิบัตเิ กี่ยวกับเทคโนโลยชี ีวภาพ 8.2 ประวตั ิการพัฒนาทางเทคโนโลยีชีวภาพ 8.3 เทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพนั ธ์ุ จดุ ประสงคก์ ารปฏิบัติ (Performance Objectives) 8.5 ข๎อกังวลเกย่ี วกับการใช๎ 1. อธิบายความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพ 3. อธิบายการผสมเทียมสตั
ว์ 6. อธบิ ายพนั ธุวิศวกรรม 8. ยกตัวอยํางขอ๎ กังวลเกี่ยวกบั การใชเ๎ ทคโนโลยีชวี ภาพ ใบกิจกรรมท่ี 8.1 การผสมเทียมและ 1. อธิบายขัน้ ตอนการผสมเทียมและการถํายฝากตวั อํอน การถํายฝากตัวอํอน ใบกจิ กรรมที่ 8.2 การถํายฝากตวั อํอน 1. อธบิ ายขั้นตอนการถาํ ยฝากตัวออํ น ใบกิจกรรมที่ 8.3 การดดั แปรพนั ธุกรรม 1. อธบิ ายขัน้ ตอนการดัดแปรพันธกุ รรม 2. ระบลุ กั ษณะของสิง่ มชี วี ิตที่เกดิ จากการดดั แปร พนั ธุกรรม ใบกจิ กรรมที่ 8.4 การถํายฝากตัวออํ น 1. อธบิ ายขั้นตอนการตัดตํอยีน ใบกิจกรรมท่ี 8.5 การโคลน (Cloning) 1. อธบิ ายขนั้ ตอนวิธีการโคลน 2. บอกลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ติ ที่เกิดขึน้ จากการโคลน สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ
ชือ่ เรื่อง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม/ สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏบิ ตั ิ ชอ่ื เรอ่ื ง สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงคก์ ารปฏบิ ัติ ด้านคุณธรรมจริยธรรม/ สมรรถนะย่อยและจดุ
ประสงค์การปฏิบัติ ชือ่ เร่ือง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏบิ ัติ 1. เขยี นโซอํ าหารและสายใยอาหารจากส่งิ มชี วี ิตที่ สมรรถนะย่อยและจดุ ประสงค์การปฏิบตั ิ ชื่อเรื่อง สมรรถนะย่อยและจุดประสงค์การปฏบิ ตั ิ ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรม/ ตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู รรายวิชา พุทธพิ ิสยั พฤติกรรม ความรู๎ความ ํจา รวม 12 2 5 4 14 6 แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 หน่วยที่ 1 ชอ่ื วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชีวติ (20000–1301) เวลาเรยี นรวม 54 คาบ หัวข้อเร่อื
ง ใบกจิ กรรมที่ 1.1 ทกั ษะการสังเกต ควบคุมตวั แปร และลงข๎อสรปุ แนวคดิ สาคัญ ทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจติ วทิ ยาศาสตร์ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบด๎วย สมรรถนะย่อย จดุ ประสงคก์ ารปฏิบัติ ด้านทักษะ โครงงานวิทยาศาสตรแ์ ตํละประเภท ทีก่ ําหนดให๎ ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนอื้ หาสาระ การวเิ คราะหข์ อ๎ มลู การสรปุ ผลการทดลอง ทักษะการคํานวณ ทักษะการจําแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหวํางสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา 1.2.2 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ มี 5 ทักษะ ได๎แกํ
ทักษะการต้ังสมมติฐาน 1.3 จิตวิทยาศาสตร์ ปราศจากข๎อเทจ็ จรงิ สนับสนนุ อยํางเพยี งพอ มใี จกว๎าง ยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผ๎ูอื่น ไมํยึดม่ันในความคิดของ กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่ 1/18, คาบที่ 1-3/54) เรียน คณุ ลักษณะนิสัยทตี่ ๎องการให๎เกิดข้นึ และขอ๎ ตกลงในการเรียน นักเรียนดู นักวิทยาศาสตร์ค๎นพบส่ิงใหมํ ๆ นั้น นักวิทยาศาสตร์ต๎องทํางานเป็นข้ันตอน โดยวิธีการท่ีเรียกวํา วิธีการทาง 5.3 ครแู จ๎งจดุ ประสงคก์ ารเรียนขอ๎ 1–10 6. ขัน้ สอน วทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐาน วิทยาศาสตร์ และทกั ษะกระบวนการวิทยาศาสตรข์ ัน้ พน้ื ฐาน 7. ขน้ั สรปุ ชํวงท่ี 2 2.1 ครทู บทวนเนอ้ื หาทเี่ รียนในชวํ งที่ 1 สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้ การวดั และการประเมนิ ผล 70 ผํานเกณฑ์ 2. เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล รอ๎ ยละ 70 ผํานเกณฑ์ ผาํ นเกณฑ์ งานทม่ี อบหมาย ผลงาน/ช้ินงาน/ความสาเร็จของผ้เู รียน เอกสารอ้างองิ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 หน่วยที่ 2 หัวข้อเรื่อง ใบกจิ กรรมท่ี 2.1 ความหมายของโครงงาน วิทยาศาสตร์ แนวคดิ สาคัญ ตนเองตามความถนัดและความสนใจ โดยนําเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สมรรถนะย่อย จดุ ประสงค์การปฏบิ ัติ ดา้ นทกั ษะ 1. อธิบายความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์แตํละประเภท กําหนดให๎ งานทศ่ี ึกษา ดว๎ ยตนเอง ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มเี หตผุ ล รํวมมือ/ยอมรับความคดิ เหน็ สํวนใหญํ เน้อื หาสาระ ค๎นคว๎าด๎วยตนเองตามความถนัดและความสนใจ โดยนําเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทาง 2.2 จดุ มํงุ หมายของการทาํ โครงงาน
วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ไว๎ 5 ประการ ได๎แกํ 1. เพอ่ื ใหน๎ กั เรียนใชค๎ วามรูแ๎ ละประสบการณ์ เลือกทาํ โครงงานตามที่ตนสนใจ กิจกรรมการเรียนรู้
(สัปดาห์ที่ 2/18, คาบที่ 4-6/54) ความมีวินยั และความรบั ผิดชอบ 2.1 ครูนําตัวอยํางโครงงานวิทยาศาสตร์มาให๎นักเรียนดูอยํางน๎อย 2 โครงงาน แล๎วถามนักเรียน 2.2 ครูแจ๎งจุดประสงค์การเรียนร๎ูและให๎นักเรียนทําแบบทดสอบกํอนเรียน หนํวยท่ี 2 โครงงาน 3. ขั้นสอน โครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และทํากิจกรรมท่ี 2.1-2.6 โดยเน๎นให๎นักเรียนรํวมมือ 3.3 ขณะนักเรียนทํากิจกรรม ครูสังเกตการณ์ทํากิจกรรมกลุํมโดยใช๎แบบสังเกต
การปฏิบัติ 3.4 ครูและนักเรียนรํวมกันสรุปกิจกรรมที่ทําจากนั้นครูให๎ความร๎ูเร่ือง ความหมายของโครงงาน 3.5 ครใู ห๎นักเรียนทาํ ใบกจิ กรรมที่ 2.1-2.6 สอื่ และแหลง่ การเรียนรู้ แบบฝึกหัดหนํวยท่ี 2 และแบบทดสอบกํอนเรียนและหลังเรียน PowerPoint ประกอบการสอน ตัวอยําง 2. แหลํงการเรียนรู๎ หนังสือ วารสาร เก่ียวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ต การวดั และการประเมนิ ผล 70 ผาํ นเกณฑ์ 2. เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล ร๎อยละ 70 ผาํ นเกณฑ์ งานทีม่ อบหมาย ใบกิจกรรม ผลงาน/ช้นิ งาน/ความสาเร็จของผู้เรียน เอกสารอา้ งอิง แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 3 หนว่ ยท่ี 3 หัวข้อเรือ่ ง 3.1 ระบบของหนํวยวดั ใบกจิ กรรมท่ี 3.1 ระบบหนํวย SI 3.2 การวัด ใบกจิ กรรมท่ี 3.2 ระบบหนวํ ย SI ใบกจิ กรรมที่ 3.3 ระบบหนวํ ย SI ใบกิจกรรมที่ 3.4 การเปลยี่ นหนวํ ย SI ใบกิจกรรมท่ี 3.5 การวดั ใบกิจกรรมท่ี 3.6 การวดั แนวคิดสาคญั การวดั ปริมาณตําง ๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการเปรียบเทียบปริมาณที่ต๎องการวัดกับหนํวยที่ เป็นมาตรฐาน โดยอาศัยเคร่ืองมือวัดท่ีถูกต๎องและเหมาะสม การวัดประกอบด๎วยเคร่ืองมือวัด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ท่ีใช๎เปน็ ตวั กลางในการเปรียบเทียบคาํ ของปริมาณท่ตี ๎องการวัดกับมาตรฐาน วิธีการวัดต๎องเป็นวิธี ที่สะดวก ปลอดภัย และได๎คําท่ีละเอียดถูกต๎อง และหนํวยท่ีเป็นมาตรฐานเดียวกัน ปัจจุบันมีระบบหนํวยซึ่ง ประเทศตําง ๆ ได๎ตกลงใช๎รํวมกันเป็นมาตรฐานสากลเพ่ือใช๎ได๎ท่ัวโลก เรียกวํา ระบบหนํวยระหวํางชาติ หรือ เรยี กยอํ ๆ วาํ ระบบ SI ซ่งึ ประกอบดว๎ ย หนํวยฐาน หนํวยเสริม หนํวยอนพุ ทั ธ์ และคําอปุ สรรค สมรรถนะย่อย จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ดา้ นความรู้ ดา้ นทักษะ 1. บอกช่ือหนํวยวัดพื้นฐานในระบบอังกฤษ และระบบ 1. จาํ แนกองค์ประกอบของหนวํ ย SI เมตรกิ 2. เปรียบเทียบมมุ ระนาบในหนํวยเรเดียนกบั ของการวดั ด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะ ทีต่ อ๎ งการวัด ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนื้อหาสาระ หนวํ ยอนุพัทธ์ (Derived Units) และคาํ อุปสรรค (Prefixes) โดยการเปรยี บเทยี บกับคาํ ปริมาณมาตรฐานสากล ตามหนํวยในมาตราตําง ๆ ของเคร่ืองมอื เหลํานนั้ กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ที่ 3/18, คาบท่ี 7-9/54) สื่อและแหล่งการเรยี นรู้ หนํวยท่ี 3 และแบบทดสอบกํอนเรยี นและหลงั เรียน และ PowerPoint ประกอบการสอน หนวํ ยที่ 3 www.google.com การวัดและการประเมนิ ผล 70 ผํานเกณฑ์ 2. เกณฑ์การวดั และประเมินผล 70 ผาํ นเกณฑ์ งานท่ีมอบหมาย ใบกจิ กรรม ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสาเร็จของผู้เรียน เอกสารอา้ งองิ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 หนว่ ยที่ 4 ชอื่ วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชีวติ (20000–1301) เวลาเรียนรวม 54 คาบ หัวข้อเรอื่ ง ใบกจิ กรรมท่ี 4.1 ผลของแรงทาํ ใหว๎ ัตถุ มมุ แนวคดิ สาคญั การเปลี่ยนรูปรําง หนํวยวัดของแรงในระบบ SI คือ นิวตัน แรงที่เกิดข้ึนในธรรมชาติมีหลายชนิด ได๎แกํ สมรรถนะย่อย จดุ ประสงค์การปฏบิ ตั ิ ดา้ นทักษะ 1. อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรง เมอ่ื ถูกแรงตําง ๆ กระทาํ ดา้ นความรู้ ด้านทักษะ 5. อธิบายและคํานวณตัวแปรพื้นฐานที่เก่ียวข๎องกับการ 3. เขียนรูปแบบหางตํอหัวเพ่ือหาคําแรงลพั ธ์ เคลอ่ื นที่ 4. หาแรงลพั ธ์ของแรงทอ่ี ยูํในแนวเดยี วกัน 6. ยกตัวอยํางการนําความรู๎เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ไป 5. หาแรงลัพธ์ของ 2 แรงทที่ ํามุม 90 องศา ใชป๎ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาํ วนั 6. หาแรงลัพธข์ อง 2 แรงทที่ าํ มุม 7. ระบปุ ระเภทการเคลื่อนท่ีของวตั ถุแบบ ตําง ๆ 8. คํานวณปรมิ าณตาํ ง ๆ ที่เกยี่ วขอ๎ งกบั การ เคลอื่ นท่ีของวตั ถุ ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตผุ ล รวํ มมือ/ยอมรับความคดิ เห็นสวํ นใหญํ เนอื้ หาสาระ และรูปรํางของวัตถุได๎ ผลของแรงทําให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงตํอวัตถุที่ถูกกระทําดังตํอไปน้ี เชํน
วัตถุที่อยํูนิ่งเกิด 4.2 ชนิดของแรง เปน็ เกณฑ์ แบํงไดค๎ ือ แรงดงึ แรงอดั หรือแรงกด แรงบิด แรงเฉอื น เดยี ว เรียกวํา แรงลัพธ์
การหาแรงลพั ธ์ทําได๎ 2 วิธี ไดแ๎ กํ วธิ ีการสรา๎ งรูป และวธิ ีคํานวณ (Gravitation Force) แรงแมํเหล็ก (Magnetic Force) แรงไฟฟูาสถิติ (Electrostatic Force) และแรง 4.5 แรงเสียดทานและการใช๎ประโยชน์ ตรงขา๎ มกับทศิ การเคล่อื นทข่ี องวัตถเุ
สมอ การเคลื่อนที่แบบหมนุ และการเคล่ือนที่แบบส่ัน เวลา กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ที่ 4/18, คาบท่ี 10-12/54) ความมวี ินัยและความรบั ผิดชอบ ถามนกั เรียนวาํ ภาพท้งั สองตํางกันอยํางไรและรํวมกันอภิปรายจนได๎ข๎อสรุปวํารถยนต์คันท่ีพังยับทั้งคันเนื่องจาก 2.2 ครูแจ๎งจุดประสงค์การเรียนร๎ูและให๎นักเรียนทําแบบทดสอบกํอนเรียน หนํวยที่ 4 แรงและ 3. ขัน้ สอน ให๎วัตถุเปลี่ยนรูปทรง โดยเน๎นให๎นักเรียนรํวมมือกันทํางาน แสดงความคิดเห็นกันภายในกลุํมและยอมรับฟัง 3.3 ขณะนักเรียนทํากิจกรรม ครูสังเกตการณ์ทํากิจกรรมกลํุมโดยใช๎แบบสังเกต การปฏิบัติ 3.4 ครูและนักเรียนรํวมกันสรุปกิจกรรมที่ทําจากน้ันครูให๎ความร๎ูเรื่อง ชนิดของแรง การหา 3.5 ครใู หน๎ ักเรียนทาํ ใบกจิ กรรมท่ี 4.2-4.5 4. ขั้นสรปุ สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้ หนํวยที่ 4 และแบบทดสอบกํอนเรียนและหลงั เรียน และ PowerPoint ประกอบการสอน www.google.com การวัดและการประเมินผล 70 ผาํ นเกณฑ์ 2. เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล ร๎อยละ 70 ผาํ นเกณฑ์ งานทีม่ อบหมาย ใบกิจกรรม 1. ผลการนําเสนองานจากใบกจิ กรรม เอกสารอา้ งองิ แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 5 หนว่ ยท่ี 5 หัวข้อเรือ่ ง ใบกิจกรรมที่ 5.1 กลํองปริศนา การจัดเรยี งอเิ ล็กตรอน แนวคิดสาคญั แบบจําลองอะตอม และตั้งทฤษฎีข้ึนมาเพื่อใช๎อธิบายปรากฏการณ์ตําง ๆ ท่ีเกิดขึ้นจากการทดลอง แบบจําลอง สมรรถนะย่อย จุดประสงค์การปฏิบัติ ด้านความรู้ ดา้ นทักษะ 1. ระบแุ บบจําลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์สมยั ตาํ ง ๆ 1. ใช๎ทกั ษะการสงั เกตและลงความเห็น 6. บอกจํานวนอนภุ าคมลู ฐาน เม่อื ทราบ 6. อธิบายความหมายของไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ เลขอะตอมและเลขมวลของธาตุ และระบธุ าตุทเ่ี ป็นไอโซโทป ไอโซโทน และไอโซบาร์ 7. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลยี ร์ของธาตุได๎ 7. นาํ ประโยชน์ของไอโซโทปไปใช๎ในงานตาํ ง ๆ เมื่อทราบเลขอะตอมและเลขมวล 8. บอกสตู รที่ใชแ๎ ละคํานวณจาํ นวนอิเลก็ ตรอนสงู สุดในแตลํ ะ 8. อธิบายความหมายของไอโซโทป 10. ระบุช่ือนักวิทยาศาสตร์ท่ีเสนอสัญลักษณ์ของธาตุโดยใช๎ และไอโซบาร์ 11. เขียนสัญลักษณ์ของธาตุและอธิบายการจัดตารางธาตุใน เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของธาตุ เมือ่ ทราบ ปจั จบุ นั เลขอะตอมของธาตุ 12. ระบุตําแหนํงท่ีอยูํในตารางธาตุ เมื่อทราบเลขอะตอม 11. เขยี นสัญลักษณ์ธาตุที่กาํ หนดให๎ ของธาตุ 12. ระบุความสัมพนั ธข์ องหมํูและคาบกบั 13. ระบุความสัมพันธ์ของการจัดเรียงอิเล็กตรอนกับหมูํและ การจดั เรยี งอิเล็กตรอน 14. บอกสมบัติของธาตทุ ่อี ยํใู นหมหํู รอื คาบเดยี วกนั ด้านคณุ ธรรม
จริยธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ใชอ๎ ปุ กรณ์ทดลองอยํางฉลาดและรอบคอบ เนอ้ื หาสาระ สร๎างแบบจําลองอะตอม และตั้งทฤษฎีขึ้นมาเพ่ือใช๎อธิบายปรากฏการณ์ตําง ๆ ท่ีเกิดขึ้นจากการทดลอง 5.2 อนุภาคมลู ฐานของอะตอม ยิงอนุภาคแอลฟาไปยังธาตุตําง ๆ และพบอนุภาคท่ีเป็นกลางทางไฟฟูาอยํูในนิวเคลียส และเรียกช่ือวํา 5.3 สัญลักษณ์นิวเคลยี ร์ และอิเล็กตรอน การเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์จะต๎องระบุเลขอะตอมไว๎ตรงมุมลํางซ๎าย และระบุเลขมวลไว๎ท่ีมุม เลขมวล สญั ลกั ษณข์ องธาตใุ ด ๆ เมื่อ X แทน สัญลกั ษณข์ องธาตใุ ด ๆ A แทน เลขมวล (= โปรตอน + นวิ ตรอน) Z แทน เลขอะตอม (= โปรตอน = อิเลก็ ตรอน) ดงั น้นั จาํ นวนนิวตรอน = A – Z (เลขมวล – เลขอะตอม) 5.4 ไอโซโทป ไอโซบาร์ และไอโซโทน นักวิทยาศาสตร์เรียกอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันมีเลขอะตอมเทํากันแตํมีเลขมวลตํางกันวํา ไอโซโทป เชํน ไฮโดรเจน มี 3 ไอโซโทป คอื 1 H ไอโซโทน หมายถงึ อะตอมของธาตตุ ํางชนิดกนั แตํมจี ํานวนนิวตรอนเทํากนั เชํน K39 กับ 40 Ca และไอโซบาร์ หมายถึง อะตอมของธาตุตํางชนิดกันท่ีมีเลขมวลเทํากัน
แตํเลขอะตอมตํางกัน เชํน 14 C กบั 14 N 5.5 การจดั เรียงอิเล็กตรอนในอะตอม จะมีจํานวนไมํเทํากัน โดยพบวํา ระดับพลังงานท่ีอยูํใกล๎นิวเคลียสที่สุด (n = 1) อิเล็กตรอนจะมีพลังงานตํ่าสุด 5.6 ธาตุและสัญลักษณธ์ าตุ กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่ 5/18, คาบที่ 13-15/54) ความมีวนิ ัยและความรับผดิ ชอบ สมัยโบราณเกี่ยวกับอะตอมวํา เป็นส่ิงท่ีเล็กที่สุดไมํสามารถแบํงแยกได๎ แตํปัจจุบันความคิดดังกลําวเปลี่ยนไป 2.2 แจ๎งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู๎ ข๎อ 1-5 ใหน๎ ักเรียนทราบ และใหท๎
ําแบบทดสอบกํอนเรียน เน๎นให๎ 3. ข้ันสอน กจิ กรรมดว๎ ยความซือ่ สตั ยห์ ๎ามเปิดดภู ายในกลอํ ง คําถามในกิจกรรมประกอบในการอภิปรายเพื่อให๎ได๎ข๎อสรุปวํา การศึกษาส่ิงท่ีมองไมํเห็นด๎วยตาเปลํา ถ๎ามี 3.4 ครูให๎ความรู๎ เรื่อง แบบจําลองอะตอมของดอลตัน แบบจําลองอะตอมของ ทอมสัน 3.5 ครใู หน๎ กั เรียนแตลํ ะกลํมุ ทาํ ใบกจิ กรรมที่ 5.1-5.3 ครูทําหน๎าท่ีสังเกตและให๎ข๎อแนะนําการทํา 4 . ขน้ั สรปุ เรียน และมอบหมายให๎ทําแบบฝึกหัดทา๎ ยบทข๎อ 1–6 เป็นการบ๎าน |