เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

หลายคนคงจะมีปัญหาหรือความกระอักกระอ่วนใจเวลาที่จะต้องบอกเจ้านายในเรื่องเหตุผลของการ ลาออก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องยากในระดับหนึ่งทีเดียวหากจะจากงานที่เรารักและชอบไป ยิ่งเป็นสถานการณ์โรคระบาดโควิดอย่างนี้ ยิ่งไม่มีใครอยากจะออกไป แต่ในบางครั้งเราก็อาจจะมีเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องไป ซึ่งวันนี้ผมก็จะรวบรวมเหตุผลต่างๆ ของคนที่ลาออกให้ไว้ว่ามีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้จำเป็นต้องออกจากงานอันเป็นที่รักกันครับ

เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

ศึกษาต่อ

เหตุผลนี้ผมว่าเจ้านายคนไหนก็ต้องเคยได้ยินกันบ้าง เพราะการลาศึกษาต่อไม่ว่าจะตรี โท หรือ เอก หรือเรียนต่อต่างประเทศก็ตาม ล้วนก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับความก้าวหน้าของตัวเราและอาชีพที่มั่นคงขึ้น เพราะอาจจะนำมาเป็นส่วนเสริมสำหรับการเรียกเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย

ดูแลพ่อแม่

หลายๆ คนก็อาจจะมีเหตุผลที่ต้องไปดูแลบุพการี เพราะการดูแลพ่อแม่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีที่ลูกคนหนึ่งจะทำได้ เพราะบางทีหากงานหนักมากไปจนไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ ก็คงทำให้ไม่สบายใจเอาได้ โดยเฉพาะเจ้านาย ถ้ารู้ว่าจะไปดูแลพ่อแม่แล้วละก็ ก็คงไม่ปฏิเสธการลาออกของเราหรอกครับ

ช่วยที่บ้านทำงาน

บางคนก็อาจจะมีธุรกิจที่บ้านอยู่แล้วแต่อาจจะหาประสบการณ์จนบางทีก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปช่วยงานที่บ้านและบางคนอาจจะมีภาระที่บ้านที่ต้องกลับไปดูแลธุรกิจส่วนตัวอะไรทำนองนี้ หรือที่เรียกว่าธุรกิจครอบครัว (กงสี) นั่นเอง ซึ่งก็อาจจะอยู่ต่างจังหวัดหรือไกลออกไปอย่างเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อะไรอย่างนี้เป็นต้น

รวยแล้ว

บางคนอาจจะถูกหวยรวยข้ามคืน เป็นสิบๆ ล้านจนอาจจะต้องบอกลางานที่รักแล้วขอไปใช้ชีวิตทำอย่างอื่นบ้างเลยก็มี เพราะบางทีเมื่อมีเงินแล้วก็คงอยากจะไปทำตามความฝันของตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ทำธุรกิจส่วนตัวหรือท่องเที่ยว

ทำงานไม่ตรงสายงาน

บางคนเนื่องด้วยเจ้านายอาจจะใจดีไป เลยทำให้มีความเกรงใจเจ้านายค่อนข้างสูง ซึ่งในกรณีที่เป็นเหตุผลนี้ เจ้านายก็อาจจะเข้าใจได้ เพราะคงเห็นว่างานที่ตรงสายก็คงเป็นสิ่งที่เรารักมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่แล้ว อยู่ไปก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของงานแย่ลงได้และก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่เราได้ทำงานที่ตรงสาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแต่ละกรณีไป

ปัญหาของสุขภาพ

เมื่อเวลาของการทำงานได้ล่วงเลยไป ปัญหาอย่างหนึ่งที่จะต้องตามมาเลยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของสุขภาพซึ่งเมื่ออายุที่เยอะขึ้นโรคภัยต่างๆ ที่ตามมาก็ย่อมเยอะตาม ซึ่งก็คงใช้เป็นเหตุผลในการลาออกค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

ไปทำงานต่างประเทศ

อีกเรื่องเมื่อเราทำงานอยู่ที่เดิมนานๆ หลายๆ คนก็อาจจะเบื่อ และความเบื่อหน่ายนี่เองที่ทำให้เป็นเหตุผลของการอยากไปหาประสบการณ์ใหม่ในต่างแดน เพื่อเป็นการรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษา วัฒนธรรม อาหารการกิน และแนวคิดของทำงาน

มีปัญหาในการเดินทาง

หลายๆ คนอาจจะเคยเจอปัญหานี้กันเนื่องจากการทำงานที่ไกลบ้าน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพราะกว่าจะมาถึงที่ทำงานก็คงมีหลากหลายปัญหา เช่น บ้านอาจจะอยู่ไกลที่ทำงาน ซึ่งก็คงเเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งบริษัทบางที่ก็อาจจะมีสวัสดิการด้านนี้เสริมให้ แต่ถ้าไม่มีเราก็ต้องแบกต้นทุนนี้เอง

บริษัทโดนผลกระทบ โควิด 19 

เนื่องจากบางครั้งบริษัทโดนพิษจากโรคระบาดโควิด จึงทำให้ต้องมีการ Lay Off พนักงานออกเพื่อพยุงให้บริษัทอยู่รอดต่อไป แต่คนที่โดนผลกระทบอย่างจังก็คงจะเป็นพนักงานอย่างเราที่ต้องขาดรายได้ 

สวัสดิการยังไม่ตอบโจทย์

หลายๆ คนก็อาจจะทนไม่ได้กับสวัสดิการที่บางบริษัทมีให้ไม่เพียงพอหรือให้แล้วก็อาจจะได้น้อยกว่าที่อื่น ไม่ว่าเป็นเรื่องของ ค่าล่วงเวลา, วันหยุด, โบนัส และค่าเดินทาง ซึ่งก็อาจจะเป็นสาเหตุนึงได้ที่ทำให้ต้องลาออก บริษัทเองก็ไม่ควรจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเช่นกัน


และถึงจะมีเหตุผลนานาประการทั้งหลายที่เป็นสาเหตุให้ต้องออกจากงาน แต่ผมว่าถ้าเราออกไปแล้วได้เจองานที่ใช่ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มเวลา และต่อให้จะไปเจอสิ่งที่ไม่ดีแต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ครับ ดังเช่น คำกล่าวของ Randy Pausch ที่พูดไว้ว่า “ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้รับ เมื่อคุณไม่ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ” และผมก็หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กันนะครับ 

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ 

  • 5 อันดับ ความต้องการของแรงงาน สายบริหาร ที่ตลาดยังต้องการคุณ
  • 90 วันอันตราย ทดลองงาน เริ่มทำงานใหม่ ทำยังไงให้ผ่านโปร!?
  • หางานกรุงเทพ กับ หางานเชียงใหม่ เลือกที่ไหนดี?

เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

 ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์  อาจารย์จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ออกมาเผย 7 เหตุผลที่ไปยื่นใบลาออกจากโรงเรียนดังให้ลูก แล้วให้มาเรียนโรงเรียนธรรมดาแถวบ้าน โดยระบุว่า 

เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

"โรงเรียนที่ดี"

โรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกของเราคือโรงเรียนอะไร? โรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โรงเรียนที่ถูกจัดอันดับในระดับต้นๆ มีเด็กโอลิมปิกวิชาการเกลื่อนโรงเรียน หรือโรงเรียนที่แสดงขึ้นบอร์ดหน้าโรงเรียนว่าเด็กจากโรงเรียนนี้สามารถเข้าหมอเข้าวิศวะหรือเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก

เมื่อวานนี้ ภรรยาของผมเพิ่งไปทำเรื่องการ "ลาออก" ของลูกสองคนจากโรงเรียนรัฐบาลไทยที่มีชื่อเสียงและมีคนอยากเข้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (ดังขนาดมีอัตราการสอบเข้า 1 ต่อ 30, ต้องกวดวิชาเข้าตั้งแต่อนุบาล, ถ้าอยากจ่ายแป๊ะเจี๊ะก็ 7 หลักขึ้นไป, จนเลยเถิดไปถึงมีบทสวดสำหรับพ่อแม่ต้องไปนั่งสวดหน้าประตูโรงเรียนเพื่อขอให้ลูกตัวเองสอบเข้าได้) แล้วมาเข้าเรียนโรงเรียนเล็กๆ แถวบ้าน (จากที่ต้องขับรถ 1.5 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที) แน่นอนว่าถ้ายังเรียนที่โรงเรียนมีชื่อนี้ต่อ ผมเชื่อว่าลูกของผมคงสามารถเข้าเรียนในคณะหรือในมหาวิทยาลัยดังๆ ได้อย่างไม่ยากนัก และเพราะเหตุใด ทางครอบครัวเราถึงตัดสินใจอะไรที่ดูบ้าๆ เช่นนี้

โรงเรียนดัง มีชื่อเสียง และออกจะเท่ห์หากบอกใครๆ ว่าลูกเราได้เรียนที่นี่ แต่ถ้าใครติดตามแนวคิดด้านการศึกษาของผมมาเรื่อยๆ น่าจะพอสรุปเหตุผลของการตัดสินใจของผมได้ว่า

1) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ต้องมีการสอบ ไม่ว่าจะสอบย่อย สอบกลางภาค หรือสอบปลายภาค ถ้าจะมีก็ขอให้จัดแบบไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า โดยสอบเพื่อประเมินครูและประเมินโรงเรียนเป็นหลัก ไม่ใช่ประเมินเด็ก การสอบคือการทำร้ายเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกถึงการแข่งขัน ทำให้เด็กต้องวิ่งลอกไปกวดวิชา ทำให้เด็กรักตัวเองมากกว่าจะรักส่วนรวมและสังคม (อาจจะจำได้ว่าผมเคยเขียนเรื่องเด็กโดดทำเวรเพื่อหนีไปกวดวิชามาแล้ว)

  2) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่จะสั่งการบ้าน หรือโครงการอะไรมาทำนอกห้องเรียน ผมคิดว่างานทุกอย่างควรเสร็จตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน เวลาหลังเลิกเรียน วันหยุด หรือช่วงปิดเทอม ควรเป็นเวลาที่เด็กได้ทำในสิ่งที่เขารักหรือมี passion กับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะดนตรี กีฬา ศิลปะ ทำงานเสริม เข้าวัดนั่งสมาธิ หรือนอนเล่นๆ อยู่บ้านก็ได้ การมีการบ้านมากมายเป็นอุปสรรคสำคัญที่เด็กไม่สามารถทำกิจกรรมที่เขาอยากทำนอกโรงเรียนได้ และสุดท้ายเด็กก็ไม่ประสบความสำเร็จใน passion ของตน เพราะมัวแต่ต้องไปเสียเวลาทำการบ้าน (และสอบ)

  3) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ต้องมีการกวดวิชา การกวดวิชาอาจจะทำให้ลูกของผมเป็นที่หนึ่งของห้อง ได้เกรด 4.0 หรืออาจสามารถไปสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ในระดับสูงขึ้นต่อได้ แต่ความสำเร็จ "ระยะสั้น" เหล่านี้มันไม่คุ้มค่ากับต้นทุน "ความเครียด" ที่ลูกผมจะได้รับเอาเสียเลย ใครจะไปรู้ว่าถ้าเครียดมากๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นบ่อเกิดไปสู่ "การฆ่าตัวตาย" ที่เราเห็นจากข่าวต่างๆ ที่ผ่านมาเมื่อเด็กกวดวิชาเหล่านั้นต้องโตเป็นวัยรุ่น (หรือเข้ามหาวิทยาลัย) ก็ได้ หรือต่อให้ไม่เกิดขึ้น แต่เท่าที่สังเกตุเป็นการส่วนตัว ผมเห็นว่าเด็กที่กวดวิชาโดยส่วนใหญ่จะมีบุคคลิกภาพที่ออกมาไม่ Smart เท่าเด็กที่ไม่ต้องกวดและได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวให้ได้ทำตาม Passion ของตัวเอง (ไม่เชื่อลองสังเกตุกันดูได้)

4) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่เน้นวัดความเก่งของคนแบบ "การตัดเสื้อตัวเดียวให้ใส่ทุกคน (One Size Fit All)" อย่างเช่นการวัดที่การเขียนในกระดาษคำตอบบนโต๊ะสอบ แล้วครูเอามาตรวจและประกาศให้ทราบกันหน้าชั้น แต่ผมชอบว่าวัดความสามารถแบบการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะสอบกระโดษเชือกในวิชาพละ ถ้านาย ก กระโดดเก่งอยู่แล้ว และนาย ข ยังกระโดดไม่เป็น ผมอยากเห็นระบบการศึกษาที่กำหนดให้นาย ก ต้องไปช่วยนาย ข ให้กระโดดให้ได้ มากกว่าที่จะวัดต่างคนต่างกระโดด การให้กำลังใจกัน การช่วยเหลือกัน การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งที่เราควรให้รางวัลกับสิ่งนั้นมากกว่าการเก่งเฉพาะบุคคล เพราะมันเป็นทักษะของผู้ใหญ่ที่ประเทศชาติต้องการมากกว่าคนเก่งที่เห็นแก่ตัว

 5) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่พอโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เรากลับไปเพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม วิชาใหม่ๆ เข้ามา แต่ไม่ไปลดวิชาเก่าที่ล้าสมัยไปแล้ว (ด้วยเหตุผลที่ว่า เราต้องช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมและของเก่าเอาไว้) ยกตัวอย่างเช่น พอประเทศจีนเริ่มพัฒนา โรงเรียนก็ใส่วิชาภาษาจีนเข้ามา (แต่ไม่ได้ไปลดวิชาภาษาไทย) หรือเมื่อโลกเข้าสู่ยุค 4.0 โรงเรียนก็ไปใส่วิชา Coding เข้ามา (แต่ยังคงต้องคัดไทยเหมือนเดิม) วิชาหลายวิชาที่เรียนในโรงเรียนในปัจจุบันจำเป็นเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว แต่มันไม่จำเป็นกับโลกอนาคต การศึกษาต้องสอนเด็กให้เป็น "ประชากรโลก (Global Citizen) ไม่ใช่ Old-School Local Citizen

  6) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาแบบ ท่อง ท่อง ท่อง (และมาสอบกับสิ่งที่ท่องมา) การศึกษาควรบูรณาการทุกวิชาเข้าร่วมกันได้ในลักษณะของ Project Based หรือ Problem Based Learning เช่น การให้เด็กเข้าไปดูปัญหาของชุมชนรอบๆ โรงเรียน และกำหนดให้เด็กทำโครงการที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาชุมชนให้ได้ ซึ่งโครงการเหล่านั้นอาจต้องใช้ทั้งวิชา สังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ พละศึกษา และอื่นๆ ซึ่งเด็กนอกจากจะได้ความรู้ในการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ แล้ว เด็กยังได้ความมีจิตสาธารณะเพิ่มเติมด้วย การสอนท่องๆๆ แล้วสอบกับการสอนให้คนประยุกต์และออกมาเป็นคนดี อันไหนจะดีกว่ากัน

 7) ผมไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาที่ "ไม่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตของเด็ก" (ตรงกันข้าม สิ่งต่างๆ ข้างต้นกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต) ช่วงเวลาเด็กประถมศึกษาอยู่ในช่วงของการสร้างสมองและร่างกายให้แข็งแรงและสูงใหญ่ ดังนั้น "การนอนและการกิน" มากๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรงเรียนที่เด็กไม่ต้องตื่นเช้ามาก ไม่ต้องเสียเวลานานกับการเดินทาง จึงเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด ยกตัวอย่างของประเทศจีนให้ความสำคัญในเรื่องส่วนสูงของเด็กนมากๆ โรงเรียนในกรุงปักกิ่งจะกำหนดความสูงขั้นต่ำของเด็กผู้ชายวัยรุ่นไว้ที่ 182 ซม และของผู้หญิงวัยรุ่นไว้ที่ 174 ดังนั้นถ้ามามัวแต่เรียนหัวโตอย่างเดียว เด็กเหล่านี้ก็จะไม่สามารถสูงใหญ่ได้ตามที่กำหนดไว้ ดังนั้นผมจึงอยากเห็นโรงเรียนที่ "บังคับ" ให้เด็กจะต้องวิ่งเล่นที่สนามให้มากๆ แทนที่จะมานั่งในห้องเรียน ดังนั้นวิชาที่สำคัญมากๆ ก็คือวิชาพละศึกษา ที่โรงเรียนควรต้องมีวิชานี้ทุกวัน (หรือถ้าไม่มีต้องมีช่วงเวลาพักให้เด็กได้วิ่งเล่นมากๆ)

โดยสรุป โรงเรียนที่ดีสำหรับผมก็คือ "โรงเรียนที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละครอบครัว" สำหรับครอบครัวของผม โรงเรียนที่เหมาะสมคือ ไม่ใช่เรื่องของชื่อเสียง แต่ต้องใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางนาน ลูกมีเวลานอนและมีเวลากินข้าวเช้าแบบไม่เร่งรีบ ไม่ต้องมีการบ้านหรือมีการสอบ (หรือมีให้น้อยที่สุด) เรียนกันแบบช่วยเหลือกันมากกว่าการแข่งขันกัน (แน่นอนว่าไม่ใช่ระบบ Home School) ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งการกวดวิชา (เพราะไม่มีสอบ จะกวดไปทำไม) เน้นพัฒนาทักษะชีวิต (เพราะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด) สร้างระบบที่สอนให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายของเด็กเป็นสำคัญ

แต่ทั้งนี้ โรงเรียนที่ดีของแต่ละบ้านก็คงไม่เหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่และลูกต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกันว่า "ครอบครัวเราจะไปในแนวทางไหน (สายชิลล์หรือสายกวด)"

จากความคิดเห็น 

เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

เหตุผลในการลาออกจากการเรียน

      สำหรับเรื่องนี้ก็นับว่เป็นเหตุผลที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทั้งนี้ก็เป็นเหตุผลและขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของพ่อแม่นะคะ