สำนวนไทยที่เกี่ยวกับหนูมีมากมาย เช่น หนูตกถังข้าวสาร หมายถึงชายยากจนได้แต่งงานกับหญิงร่ำรวย หรือหญิงที่ฐานะไม่ดีได้แต่งงานกับเศรษฐี เปรียบเสมือนหนูตกลงไปในถังข้าวสารที่มีข้าวสารปริมาณมาก ดังนั้นถึงจะปีนขึ้นไม่ได้แต่หนูตัวนั้นก็ไม่มีวันอดตาย เช่นเดียวกันคนที่ได้แต่งงานกับคนร่ำรวยก็จะมีกินตลอดชาติ หรืออีกสำนวนหนึ่งคือ หนูติดจั่น หมายถึงคนที่จนปัญญาหาทางออกจากสถานการณ์ยากลำบากไม่ได้ คำว่าจั่นในที่นี้คืออุปกรณ์กักขังสัตว์มีรูปร่างคล้ายกรงตามปรกติเวลาเอ่ยถึงหนู หลายคนจะรู้สึกขยะแขยง เพราะเห็นว่าหนูเป็นสัตว์สกปรกน่าเกลียด เป็นพาหะแพร่กาฬโรค และชอบทำลายข้าวของ จึงสมควรถูกกำจัดโดยใช้กับดักหรือให้แมวฆ่า คนยุโรปโบราณเชื่อว่าหนูคือสัญลักษณ์ของความสูญเสีย คนอียิปต์นับถือหนูเป็นเทพเจ้า เพราะตระหนักว่าหนูฉลาดและมีวิธีเอาตัวรอดที่ดี ส่วนคนจีนถือว่าคนที่เกิดปีหนู (๒๔๕๕, ๒๔๖๗, ๒๔๗๙, ๒๔๙๑, ๒๕๐๓, ๒๕๑๕, ๒๕๒๗, ๒๕๓๙ และ ๒๕๕๑)เป็นคนมีสติปัญญาฉลาดฉับไว ในวัดฮินดูที่เมือง Deshnoke ประเทศอินเดียมีหนูกว่า ๒ หมื่นตัว ด้วยชาวเมืองถือว่าหนูคือเทพธิดา Karri Mata จุติลงมาบนโลกมนุษย์ ชาวโปแลนด์ก็มีตำนานเล่าว่า เจ้าชาย Popiel ได้ทูลเชิญพระประยูรญาติมาเสวยอาหาร แล้วทรงลอบวางยาพิษในเหล้าองุ่น เมื่อถูกจับได้พระองค์ทรงถูกสำเร็จโทษโดยถูกหนูนับพันตัวกัดจนสิ้นพระชนม์ ในไอร์แลนด์ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้าร้องเพลงจังหวะเร็ว ๆ ให้หนูฟัง หัวใจหนูจะเต้นเร็วและแรงจนขาดใจตาย กะลาสียุโรปสมัยโบราณนิยมเลี้ยงหนูไว้เตือนภัยจากเหตุเรือรั่วล่วงหน้า เพราะเวลาน้ำทะลักเข้าเรือ หนูจะวิ่งพล่านเป็นเวลานานก่อนคนจะรู้ตัว และหนูจะทิ้งเรือก่อนเรือจมเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะหนูว่ายน้ำเก่ง คือสามารถว่ายได้นานถึง ๓ วัน สำหรับความสามารถในการเตือนภัยนั้น ชาวจีนพบว่าก่อนที่คนจะรู้สึกตัวว่าแผ่นดินไหว หนูจะแสดงอาการกระสับกระส่ายก่อน Show
และถึงผู้หญิงทั่วไปจะเกลียดหนู แต่เมื่อ ๑๕๐ ปีก่อนนี้ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษโปรดการเลี้ยงหนูมาก อย่างไรก็ตามหนูที่พระองค์ทรงเลี้ยงยังไม่มากเท่า Roger Dier แห่งเมือง Petaluma ในแคลิฟอร์เนีย โดยสถิติกินเนสส์ได้บันทึกว่าเขาเลี้ยงหนูมากถึง ๑,๐๐๐ ตัวภายในบ้านที่มีห้องเพียงห้องเดียว เพราะรู้สึกสงสารลูกหนูซึ่งเดิมเขาตั้งใจจะนำไปให้งูเหลือมกินเป็นอาหาร แล้วหลังจากนั้นหนูก็เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกมันสืบพันธุ์เก่งและบ่อย นั่นคือภายในเวลา ๖ ชั่วโมง หนูตัวเมียอาจผสมพันธุ์ได้ถึง ๕๐๐ ครั้ง และใน ๑ ปี หนูตัวเมียจะติดสัด ๑๕ ครั้ง ด้วยเหตุนี้หนูตัวผู้ ๑ ตัว และหนูตัวเมีย ๑ ตัว จึงสามารถมีลูก หลาน เหลน โหลนได้ถึง ๒,๐๐๐ ตัวใน ๑ ปี ทั้งนี้เพราะลูกหนูโตเร็วจนสามารถสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุเพียง ๓-๔ เดือนเท่านั้นเอง นักสัตววิทยาได้เคยประมาณว่าในอเมริกามีหนูจำนวนมากพอ ๆ กับคน จากหนู ๕๖ ชนิดที่มนุษย์รู้จัก มีบางชนิดอาศัยอยู่ไกลผู้คน เช่นในป่าหรือใกล้บึง หนูที่พบแพร่หลายคือหนูดำ (Rattus rattus) สามารถพบเห็นได้ทั่วโลกเพราะมันชอบแอบซ่อนตัวเดินทางไปกับเรือ และเวลาอาหารขาดแคลนหนูจะกินมูลของมันเอง เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการพอสมควร หรือเวลาหิวมาก ๆ และไม่มีอาหารสด มันมักใช้ฟันกัดแทะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รายรอบ ไม่ว่าจะเป็นไม้ อิฐ หรือซีเมนต์ ดังนั้นฟันหนูจะกร่อนตลอดเวลา แต่ก็งอกใหม่ได้เร็ว เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยแห่ง National Institutes of Health ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ถ้าเขาให้หนูกินอาหารน้อยลง หนูจะมีชีวิตยืนนานขึ้น ปรกติหนูมีอายุยืนตั้งแต่ ๒-๓ ปี (นั่นหมายความว่าวิธีหนึ่งที่เราอาจใช้กำจัดหนูคือปล่อยให้มันกินอะไรก็ได้ ทุกวันนี้โลกกำลังเห็นบทบาทหนึ่งที่สำคัญมากของหนู นั่นคือการเป็นสัตว์ทดลองให้นักสรีรวิทยา นักเภสัชวิทยา นักพิษวิทยา และนักพยาธิวิทยา ใช้ทดลองหายารักษาโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคไขข้อ ฯลฯ เพราะก่อนที่แพทย์จะนำยาอะไรก็ตามไปใช้กับคน เขาต้องทดลองใช้ยานั้น ๆ ก่อนเพื่อความปลอดภัย ในเมื่อคนกับหนู (Rattus norve-gicus) มีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่เหมือนกันมาก ดังนั้นถ้ายาใดรักษาอาการไข้ของหนูได้ ยานั้นก็น่าจะรักษาอาการป่วยของคนให้หายได้ด้วยเช่นกัน ในทางกลับกัน ยาใดทำร้ายหนู ยานั้นก็ทำร้ายคนด้วย ความจริงนักวิทยาศาสตร์รู้จักใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองมานานร่วม ๔๐๐ ปีแล้ว ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ในปี ๒๑๖๔ (รัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม) Theophilus Muller และ Johannes Faber ได้ชำแหละหนูเพื่อศึกษาอวัยวะภายในเป็นครั้งแรก เมื่อถึงปี ๒๓๓๐ ตรงกับสมัยเอโดะในญี่ปุ่น มีตำรา Chingansodategusa ที่บรรยายวิธีเลี้ยงหนูให้ขนมีสีต่าง ๆ และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นักสัตววิทยายุโรปก็เริ่มนำหนูมาเลี้ยงในห้องทดลองเพื่อศึกษาผลกระทบที่เกิดจากภาวะขาดอาหารและออกซิเจนต่อร่างกาย ในปี ๒๔๒๐ นักพันธุศาสตร์ได้ทดลองผสมพันธุ์ระหว่างหนูที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันเพื่อศึกษาผลดีและผลเสียของการแต่งงานกันในเครือญาติ อีก ๑๒ ปีต่อมา นักจิตวิทยาได้ทดลองศึกษาความสามารถของหนูในการเอาตัวรอดจากที่กักขังและในภาวะคับขัน ในปี ๒๔๖๓ ได้มีการทดลองให้หนูกินไข่พยาธิตัวตืด ทำให้พบว่าหนูเป็นมะเร็งตับภายในเวลา ๖ เดือน เราจึงรู้ว่าพยาธิเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเป็นมะเร็งตับได้ ในปี ๒๕๐๖ แพทย์ได้ใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองหาสาเหตุและวิธีรักษาโรคความดันโลหิตสูง เมื่อถึงปี ๒๕๑๔ ได้มีการทดลองใช้หนูศึกษาการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และแพทย์ก็ได้พบว่าหนูที่บริโภค albumin (สารที่มีอยู่ในไข่ขาว) มากจะมีอาการปอดอักเสบด้วยโรคหืด ปัจจุบันหนูก็ยังเป็นสัตว์ทดลองตัวโปรดของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้หนูศึกษาผลการปลูกถ่ายอวัยวะ และหาวิธีรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคผิวหนัง โรคไขกระดูก โรคตับ โรคกระเพาะ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฯลฯ รวมถึงการทดลองใช้หนูเพื่อพัฒนายาที่ทันสมัยมาต่อสู้กับโรคร้ายเหล่านี้ด้วย ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะนักวิทยาศาสตร์จาก Baylor College of Medicine และสถาบันอื่นอีก ๒๐ สถาบันใน ๖ ประเทศ ได้รายงานรหัสพันธุกรรม (genome) ของหนูอย่างสมบูรณ์ ข้อมูลนี้ทำให้เรารู้ขั้นตอนวิวัฒนาการของหนูรู้ความสามารถในการดมกลิ่น (หนูมียีนกลิ่น ๒,๐๐๐ ตัว) ฯลฯ ข้อมูลยังแสดงอีกว่าหนูมีต้นกำเนิดในเอเชีย และบรรพสัตว์ของหนูได้แอบเดินทางไปในเรือที่ล่องตามแม่น้ำโวลกาจนถึงนอร์เวย์ และอีก ๒๐๐ ปีต่อมาก็ได้กลายเป็นหนูนอร์เวย์สีน้ำตาล (Rattus norvegicus) ที่สามารถกระโดดโลดเต้นได้ด้อยกว่าหนูเอเชีย อนึ่ง รหัสพันธุกรรมของหนูนอร์เวย์ยังแสดงอีกว่าดีเอ็นเอของมันมี ๒.๗๕ พันล้านคู่เบส ในขณะที่ดีเอ็นเอของคนมี ๒.๙ พันล้านคู่เบส และเมื่อ ๘๒ ล้านปีก่อน ต้นตระกูลของหนูและคนได้เริ่มแยกสายวิวัฒนาการ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานาน แต่ ณ วันนี้ โครโมโซมส่วนใหญ่ของคนกับหนูก็ยังเหมือนกันอยู่ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ T. Kono แห่ง Tokyo University of Agriculture ในญี่ปุ่น กับคณะนักวิทยาศาสตร์เกาหลี ก็ทำให้โลกตะลึงด้วยการรายงานว่าทีมวิจัยได้ให้กำเนิดหนูตัวหนึ่งโดยไม่ใช้เชื้อตัวผู้ในการผสมพันธุ์เลย หรือกล่าวง่าย ๆ ว่าหนูที่ชื่อ Kaguya ตัวนี้ไม่มีพ่อ แต่มีแม่ ๒ ตัว เหตุการณ์นี้คงทำให้ชายฉกรรจ์หลายคนประหวั่นพรั่นพรึง เพราะถ้าเทคโนโลยีชีวภาพกรณีนี้สามารถนำมาใช้กับคนได้ ผู้ชายก็จะหมดบทบาทในการผลิตทายาทอย่างสิ้นเชิง เราหลายคนคงไม่รู้ว่าในความเป็นจริง สัตว์บางชนิด เช่น กิ้งก่า ผึ้ง นก ปลา เหา และสัตว์เลื้อยคลานบางชนิด มีกระบวนการให้กำเนิดทายาทโดยไม่ใช้เชื้อตัวผู้ (parthenogenesis) มาแต่ไหนแต่ไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หนู ก็สามารถทำได้ด้วย แล้ว Kono ก็ได้เปิดเผยว่า เขาประสบความสำเร็จครั้งนี้โดยใช้วิธีเปลี่ยนยีนในไข่ของหนูตัวเมียทั้ง ๒ ตัว แล้วหลอมรวมไข่ทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็นำไข่ผสมนี้ไปฝากในท้องของหนูตัวเมียอีกตัวหนึ่ง และ Kono ก็ได้ผลว่า จากการทดลอง ๑,๐๐๐ ครั้ง เขาประสบความสำเร็จเพียง ๖ ครั้งเท่านั้นเอง ส่วนอีก ๙๙๔ ครั้ง ลูกหนูที่คลอดออกมาถ้าร่างกายไม่ผิดปรกติก็ตายตั้งแต่อายุยังน้อย สถิตินี้แสดงให้เห็นว่าถ้าคนจะให้กำเนิดทารกที่มีอวัยวะครบ ๓๒ เชื้อตัวผู้และไข่ตัวเมียก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ความสำคัญของหนูในบทบาทสัตว์ทดลองของนักวิทยาศาสตร์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าสำคัญเมื่อ Mario Capecchiแห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ที่ซอลต์เลกซิตี สหรัฐอเมริกาเป็น ๑ ใน ๓ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ประจำปี ๒๕๕๐ จากการพบวิธีทำให้ยีนใด ๆ ของหนูหมดสมรรถภาพในการทำงาน ซึ่งเมื่อยีนตัวนั้นไม่ทำงานหนูก็อาจเป็นโรคต่าง ๆ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงสามารถรู้บทบาทของยีนแต่ละตัวได้ และถ้าพบว่ายีนนั้นทำงานบกพร่อง เขาก็จะหาวิธีแก้ไขยีนจนรู้วิธีป้องกันโรคแก่คนคนนั้นได้ในอนาคต จุดสนใจหนึ่งนอกเหนือจากผลงานของเขาแล้วก็คือชีวประวัติของ Capecchi เอง เขาเกิดที่เมือง Verona ในอิตาลี เมื่อปี ๒๔๘๐ บิดา Luciano เป็นนักบินในกองทัพอากาศ ส่วนมารดา Lucy Ramberg เป็นกวีที่ต่อต้านนาซี และเมื่อเธอโจมตีการปกครองลัทธินาซี เธอก็ถูกตำรวจลับจับส่งไปอยู่ค่ายกักกัน แต่ก่อนจะถูกจับ Lucy ได้ขายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อเป็นทุนทรัพย์ให้เพื่อนบ้านดูแล Capecchi แทนเธอ และเมื่อเงินหมด เด็กชาย Capecchi วัย ๕ ขวบจึงถูกขับออกจากบ้านให้ไปหาเลี้ยงชีพโดยการขอทานและขโมยของ เมื่อสงครามโลกสงบ Capecchi ซึ่งขณะนั้นอายุ ๙ ขวบก็ได้พบกับแม่ซึ่งตามหาเขาจนพบที่โรงพยาบาล แม่ของเขาอยู่ในสภาพไม่ใส่เสื้อและผ่ายผอม Capecchi จำแม่ไม่ได้ เพราะหน้าตาเธอเปลี่ยนไปมากจากที่ต้องเผชิญทุกข์ลำบากมาก่อนหน้านี้ Capecchi เริ่มเรียนหนังสือทั้งที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เลย ข้อจำกัดนี้ทำให้ครูถึงกับปรามาสเขาว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้ดี การถูกดูถูกเช่นนี้ทำให้ Capecchi มุ่งมั่นเรียนหนังสือมากจนสำเร็จระดับปริญญาเอก และเริ่มทำงานวิจัยโดยมี James D. Watson (ผู้พบโครงสร้างของดีเอ็นเอ แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับ Oliver Smithies แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาที่ Chapel Hill ในสหรัฐอเมริกา และ Sir Martin Evans แห่งมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ในอังกฤษ Capecchi กล่าวถึงบทบาทของคนเป็นครูว่าควรใส่ใจศิษย์ในเรื่องใด มากกว่าที่จะสนใจว่าศิษย์คนนั้นมาจากไหนหรือมีพื้นฐานความเป็นมาอย่างไร สำหรับเด็กขอทานที่ทะยานจนถึงรางวัลโนเบล ความคิดเช่นนี้น่ารับฟังครับ หนูมีน้ำดีไหมที่อยากกิน เพราะการกินมากจะทำให้อายุมันสั้นลง) ตามปรกติร่างกายหนูไม่มีเหงื่อ มันควบคุมอุณหภูมิในตัวโดยอาศัยการขยายตัวและหดตัวของเส้นเลือดที่หาง ตัวหนูไม่มีถุงน้ำดี ไม่มีทอนซิล แต่มีสะดือ และมีความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ ตกตึกสูง ๑๕ เมตรได้โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ
หนูมีประโยชน์อะไรบ้างหนู มีความสำคัญ ทั้งทางด้านสาธารณสุข และการเกษตรทั้งนี้ เพราะหนูเป็นสัตว์แทะ ที่มีคุณสมบัติ ทางด้านชีววิทยาในการแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมสภาพต่างๆ ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี ลักษณะนิสัยของ หนู ชอบการกัดทำลายวัสดุ สิ่งของเครื่องใช้และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เป็นประจำ เช่น ตู้ โต๊ะ เพดานบ้าน สายไฟ ...
หนูนามีดีไหมจริงๆ แล้วประโยชน์ที่ได้จากหนูนาก็คือ โปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ตามปกติ ยังมีไม่รายงานวิจัยแน่ชัดว่ามีคุณค่าทางสารอาหารที่พิเศษ หรือมากไปกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น หมู ไก่ วัว หรือไม่ แต่ที่เป็นที่นิยมเพราะเป็นเนื้อสัตว์ที่ชาวบ้านสามารถหาทานกันเองได้โดยไม่ต้องหาซื้อ และรสชาติที่ไม่เหมือนเนื้อหมู หรือไก่ธรรมดา ให้ความ ...
หนูมีนิสัยเป็นยังไงพฤติกรรมและนิสัยของหนู
หนู เป็นสัตว์ที่มีบริเวณอาณาเขตเป็นของตัวเอง มักหาอาหารจากบริเวณเดิมๆที่เคยกิน เลือกกินอาหารที่ไม่เน่าเสีย มักเดินเลาะตามตู้เก็บของ เฉลียวฉลาดในการสังเกตุ มีไหวพริบรวดเร็ว มักจะระมัดระวังตัวเองจากศัตรู มองหาสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลา หนูที่พบในเวลาในประเทศไทยมี 4 ประเภท ดังนี้
|