น้ำยาล้างห้องน้ำเป็นของใช้ที่คนส่วนใหญ่ต้องมีติดบ้านเพื่อกำจัดคราบสกปรกและลดการสะสมของเชื้อโรคบนพื้นผิวห้องน้ำ ซึ่งช่วยให้ห้องน้ำดูสะอาดและถูกสุขอนามัย แต่ในทางกลับกัน ฤทธิ์กัดกร่อนของสารเคมีในน้ำยาล้างห้องน้ำก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้เช่นกัน สารเคมีในน้ำยาล้างห้องน้ำอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง ดวงตา และระบบทางเดินหายใจ แม้ว่าอาการที่พบมักไม่รุนแรง แต่หากสัมผัสกับสารเคมีในน้ำยาล้างห้องน้ำติดต่อกันเป็นเวลานานหรือเกิดอุบัติเหตุจนได้รับสารนั้นเข้าสู่ร่างกายก็อาจเป็นอันตรายได้ มาดูกันว่าน้ำยาล้างห้องน้ำจะส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร ควรรับมือด้วยวิธีไหน และใช้อย่างไรให้ปลอดภัย อันตรายจากน้ำยาล้างห้องน้ำและวิธีรับมือน้ำยาล้างห้องน้ำแต่ละยี่ห้ออาจใช้สารเคมีที่แตกต่างกัน แต่กลุ่มที่พบได้บ่อยเป็นกลุ่มแอมโมเนีย คลอรีน และกรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric Acid) เพราะสารเคมีเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง ซึ่งช่วยกำจัดคราบฝังลึกและฆ่าเชื้อโรค ดังนั้นหากคุณสัมผัสน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีสารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ ก็อาจเกิดความผิดปกติตามช่องทางที่ได้รับดังต่อไปนี้ อาการทางผิวหนังการสัมผัสกับน้ำยาล้างห้องน้ำโดยตรงอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง แห้งกร้าน คัน ผิวลอก และเกิดผื่นแดงจากการอักเสบ หากสัมผัสกับสารเหล่านี้เป็นประจำ เป็นเวลานาน หรือสัมผัสกับสารที่มีความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนังที่รุนแรง อย่างผิวไหม้ เกิดตุ่มน้ำ และแผลพุพอง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แผลเป็น และผิวด่างตามมาได้ ดังนั้นก่อนล้างห้องน้ำ ควรสวมถุงมือที่ทนทานต่อสารเคมี หากผิวหนังสัมผัสกับน้ำยาล้างห้องน้ำ ควรทำความสะอาดผิวด้วยน้ำและสบู่ทันที และหมั่นทาโลชั่นเพื่อป้องกันผิวแห้ง ไม่ควรแกะเกาหรือถูผิวหนังเพราะจะทำให้ระคายเคืองมากยิ่งขึ้น หากพบอาการรุนแรง อย่างผิวไหม้ เป็นแผล หรือผิวอักเสบรุนแรง ควรไปพบแพทย์ อาการบริเวณดวงตาการสวมแว่นตาป้องกันระหว่างการล้างห้องน้ำอาจไม่ใช่วิธีที่คนไทยคุ้นชินกันสักเท่าไร แต่การสวมแว่นตาป้องกันเมื่อต้องสัมผัสกับสารเคมีสามารถช่วยปกป้องดวงตาได้ไม่น้อย เพราะสารเคมีสามารถระเหยปนเปื้อนในอากาศและลอยเข้าสู่ดวงตาได้ รวมถึงการขัดถูพื้นผิวในห้องน้ำอาจทำให้น้ำที่พื้นกระเด็นเข้าสู่ดวงตาได้เช่นกัน ซึ่งน้ำนั้นอาจมีทั้งเชื้อโรคและสารเคมีส่งผลให้เกิดอาการระคายเคือง แสบร้อน คันตา ตาแดง น้ำตาไหล ผิวหนังเปลือกตาอักเสบ และมองเห็นไม่ชัด ในกรณีที่รุนแรงอาจส่งผลต่อการมองเห็นระยะยาวและอาจทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นหากน้ำจากการล้างห้องน้ำกระเด็นเข้าตาหรือรู้สึกระคายเคืองตาหลังใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดต่อเนื่องกัน 5-15 นาที และหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพราะจะทำให้ดวงตาระคายเคืองและอักเสบมากขึ้น หากใส่คอนแทคเลนส์ ควรล้างตาด้วยวิธีข้างต้นก่อน แล้วค่อยถอดคอนแทคเลนส์ออก อาการภายในระบบทางเดินหายใจแม้ว่าน้ำยาล้างห้องน้ำจะอยู่ในรูปของเหลว แต่อย่างที่บอกไปว่าสารเคมีเหล่านี้สามารถระเหยปะปนในอากาศได้ ดังนั้นการสูดดมกลิ่นของน้ำยาล้างห้องน้ำระหว่างการทำความสะอาดก็อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทั้งโพรงจมูก คอ และปอด คุณอาจพบอาการแสบจมูก แสบคอ น้ำมูกไหล ไอจาม บางครั้งกลิ่นและฤทธิ์ของสารเคมีก็อาจทำให้รู้สึกเวียนหัวด้วยเช่นกัน อาการทางระบบทางเดินหายใจจากน้ำยาล้างห้องน้ำมักไม่รุนแรง และอาจหายได้เองหลังหยุดทำความสะอาดหรือได้รับอากาศที่ไม่ปนเปื้อน แต่หากคุณทำงานที่ต้องสูดดมสารเคมีจากน้ำยาล้างห้องน้ำทุกวันอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจและเพิ่มความเสี่ยงของโรคปอดได้ อาการภายในระบบทางเดินอาหารอาการผิดปกติจากน้ำยาล้างห้องน้ำในลักษณะนี้อาจพบได้น้อย แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือการฆ่าตัวตายก็ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งสิ้น เพราะฤทธิ์กัดกร่อนของสารเคมีจะทำลายเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร เมื่อรับประทานน้ำยาล้างห้องน้ำเข้าไปแล้วจะเกิดอาการแสบร้อนอย่างรุนแรงบริเวณริมฝีปาก ช่องปาก คอ ลำไส้ ปวดท้องอย่างรุนแรง ถ่ายเป็นเลือด คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว หายใจไม่ออก หมดสติ และเสียชีวิต หากมีการสำลัก สารเคมีอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากคุณเห็นคนที่รับประทานน้ำยาล้างห้องน้ำ ควรโทรเรียกรถพยาบาลหรือนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที ระหว่างนั้นห้ามล้วงคอหรือกระตุ้นให้ผู้ป่วยอาเจียนเด็ดขาดเพราะอาจทำให้ผู้ป่วยสำลักและขาดอากาศหายใจได้ วิธีใช้น้ำยาล้างห้องน้ำอย่างปลอดภัยแม้ว่าสารเคมีเหล่านี้จะเป็นอันตราย แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การศึกษาวิธีใช้ที่ถูกต้องจึงช่วยลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุและอาการผิดปกติจากการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำได้ โดยวิธีการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำให้ปลอดภัย ได้แก่
อย่างไรก็ตาม หากทำตามวิธีต่อไปนี้ แต่กลับพบอาการผิดปกติภายหลังหรือระหว่างการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นผื่นแดงคัน ผิวลอก น้ำมูกไหล แสบตา หรือหายใจไม่ออก ควรหยุดการทำความสะอาดทันทีและปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรถ่ายรูปรายชื่อส่วนประกอบและวิธีใช้บนฉลากไปให้แพทย์ดูด้วย เพราะอาจเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและการรักษา โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานสารเคมีเข้าไป |