สตรีทอาร์ตเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพและความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่จำกัด ไม่ใช่แค่นั้น ทุกวันนี้สตรีทอาร์ตยังทำหน้าที่เป็นแลนด์มาร์กของเมือง ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางเสาะแสวงหา จึงไม่แปลกที่แทบจะทุกๆ เมืองทั่วโลกจะมีงานศิลปะแขนงนี้ปรากฏอยู่ตามมุมต่างๆ เพื่อคอยเรียกแขก ในกรุงเทพมหานครเองก็มีมุมที่ว่านี้อยู่ไม่น้อย ที่รอคอยให้ทุกคนแวะเวียนมาเก็บภาพความประทับใจกันได้ตลอดเวลา 1. คลองโอ่งอ่าง งานภาพวาดริมทางเดินคลองโอ่งอ่างมาจากการสร้างสรรค์โดยฝีมือของกลุ่มศิลปินชาวไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น ALEX FACE, Bigdel, Pakorn BNA, กลุ่ม Happening, Asin, Joker EB, Bonus TMC และ Mauy&MSV ด้วยรากเหง้าดั้งเดิมของพื้นที่แห่งนี้ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างวัฒนธรรมไทย จีน และอินเดีย สตรีทอาร์ตที่คลองโอ่งอ่างจึงเป็นภาพสะท้อนของวิถีชีวิตผู้คนที่อยู่อาศัยในแถบสำเพ็ง เวิ้งนาครเขษม รวมถึงสะพานหัน บอกเล่าเรื่องราวผ่านการขายผ้า ขายเพชรพลอย เครื่องดนตรี เกม และโมเดลตัวการ์ตูน ซึ่งเป็นการทำมาหากินของคนในละแวกนี้มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงทุกวันนี้ 2. เจริญกรุง เริ่มต้นได้ที่บริเวณซอยเจริญกรุง 32 ติดกับที่ทำการไปรษณีย์กลางก็จะพบกับงานศิลปะบนกำแพงทั้งสองฝั่ง โดยซอยนี้จะเชื่อมต่อกับพื้นที่ Warehouse 30 คอมมูนิตีที่มีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้างานสร้างสรรค์ ไปจนถึงแกลเลอรี ซึ่งสามารถเดินลัดไปยังซอยเจริญกรุง 30 ได้อีกด้วย หนึ่งในไฮไลต์ของซอยเจริญกรุง 30 นั้น นอกจากจะเป็นภาพวาดลายเส้นบนกำแพงของโรงแรม P&R แล้ว ยังมีอีกหนึ่งงานศิลปะบนกำแพงของสถานทูตโปรตุเกสที่มีชื่อว่า วิลส์ (Vhils) โดยอเล็กซานเดอร์ ฟาร์โต ศิลปินชาวโปรตุเกส ที่แปลกตาไม่ซ้ำใคร เพราะไม่ใช่งานศิลปะที่เกิดจากการพ่นสีลงบนกำแพง แต่เป็นการกระเทาะพื้นผิวส่วนนอกของกำแพงออกจนเป็นลวดลายที่โดดเด่น กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตรอกกัปตันบุชมาตั้งแต่ปี 2017 3. ตลาดน้อย ตึกแถวอายุเหยียบร้อยปีในตลอดน้อยกลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่มีใครเหมือน ในตรอกซอกซอยอันคดเคี้ยวมีอัญมณีซ่อนอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ เก๋งจีน โซว เฮง ไถ่ บ้านชาวจีนฮกเกี้ยนหลังสุดท้ายที่ยังคงอนุรักษ์ไว้จนทุกวันนี้ ด้วยการเข้ามาของโครงการบุกรุก (BUKRUK) เพื่อปรับเปลี่ยนโฉมหน้าย่านเก่าให้กลายเป็นย่านสร้างสรรค์ ตึกแถวในตลาดน้อยจึงได้รับการปะแป้งแต้มสีเสียใหม่ จนกลายเป็นหนึ่งในพิกัดชมสตรีทอาร์ตอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ที่มีภาพวาดสะท้อนวิถีชีวิตลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนที่ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมและสายสัมพันธ์ไว้อย่างเหนียวแน่น 4. ชุมชนหัวตะเข้ ชุมชนหัวตะเข้กลายมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเสน่ห์วันวานและปัจจุบัน ด้วยสภาพบ้านเรือนที่ให้บรรยากาศย้อนยุคราวกับไม่ได้อยู่ในเขตกรุงเทพฯ แต่กลับสอดแทรกไปด้วยการเข้ามาของคนรุ่นใหม่ ภายในตลาดจึงมีทั้งร้านอาหารที่อยู่คู่ชุมชนมาช้านานสลับไปกับคาเฟ่และเกสต์เฮาส์ที่คนรุ่นใหม่นิยมชมชอบ รวมไปถึงสีสันของงานศิลปะตามกำแพงที่มีพระเอกเป็นจระเข้ สอดคล้องกับชื่อของชุมชน ประดับประดาอยู่ตามกำแพง อันที่จริงแล้วศิลปะนั้นมีเรื่องราวความเป็นมาอยู่คู่กับชุมชนมานาน ด้วยเหตุผลหนึ่งคือชุมชนนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยช่างศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ตลาดแห่งนี้จึงเป็นทั้งแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ให้นักเรียนศิลปะมานั่งวาดรูปเล่น และยังเป็นที่ตั้งของบ้านสามครู พื้นที่ที่เปิดให้คนเข้ามาใช้เวลากับงานศิลปะได้อย่างเต็มที่ 5. ล้ง 1919 ตัวอาคารก่ออิฐถือปูนเชื่อมต่อกันสามด้าน เป็นลักษณะนิยมเมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 ปรากฏร่องรอยงานศิลปะลายเส้นจีนบนฝาผนังอยู่ตามวงกบหน้าต่าง ประตู ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวจีนในอดีตบางส่วน ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนกลับมางดงามอีกครั้ง และงานศิลปะบางส่วนในพื้นที่ของล้ง 1919 ก็ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นจุดถ่ายภาพที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็ต้องหยุดแวะเก็บภาพความประทับใจ พื้นที่ประวัติศาสตร์ไทย-จีนแห่งนี้ นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแกลเลอรีกลางแจ้งไว้อวดโฉมงานศิลปะจีนที่ดั้งเดิมและเก่าแก่แล้ว ยังมีร้านค้างานคราฟต์ ร้านอาหาร และอาคารจัดงานในโกดังเก่า และลานตรงกลางก็เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมที่มักจะคึกคักเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลใหญ่ของคนไทยเชื้อสายจีนด้วย งานศิลปะไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงแค่เป็นอาหารตาเท่านั้น แต่สิ่งที่เป็นมากกว่าคือการร้อยเรียงประวัติศาสตร์ และความเป็นไปในแต่ละพื้นที่ ให้ผู้มาเยือนได้ซึมซับเรื่องราวได้เพียงแค่เดินผ่านกำแพง Tag: travel, สตรีทอาร์ต |