สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม ( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม ) Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทรงเลิกทุกรกิริยา ท่านอิสสชิจึงได้ติดตามโกณฑัญญะหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และหลังจากแล้ว ได้เสด็จไปแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ว่าด้วยอริยสัจ ๔) โปรด ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้บวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับสหายทั้ง ๔ หลังจากบรรลุพระอรหัตแล้ว พระอัสสชิเถระได้เป็นหนึ่งในจำนวนพระสาวก ๖๐ รูป ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนารุ่นแรก ท่านได้ไปสั่งสอนประชาชนตามคามนิคมต่างๆ เป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน จึงไปยังเมืองราชคฤห์ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้างถวาย ท่านออกบิณฑบาตในเช้าวันหนึ่งในเมืองราชคฤห์ อิริยาบถอันสงบสำรวม ขณะเดินบิณฑบาตอยู่ ได้ประทับใจมาณพหนุ่มนามว่า อุปติสสะ ผู้พบเห็นเข้าโดยบังเอิญ อุปติสสะผู้นี้มีสหายชื่อ โกลิตะ เป็นศิษย์อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร หนึ่งในจำนวน “ครูทั้ง ๖” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น อุปติสสะและโกลิตะ เห็นความไม่มีแก่นสารแห่งคำสอนของสำนักตน จึงตกลงกันเงียบ ๆ ว่าจะแสวงหาแนวทางใหม่ ถ้าใครพบก่อนก็จะบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ อุปติสสะคิดว่าตนได้พบผู้ที่ควรเป็นอาจารย์ของตนแน่แล้ว จึงติดตามท่านไปห่างๆ ครั้นได้โอกาส ขณะพระเถระนั่งฉันภัตตาหารอยู่ จึงเข้าไปนมัสการ เรียนถามธรรมะจากท่าน พระเถระออกตัวว่า ท่านบวชไม่นาน ไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารได้ อุปติสสะกราบเรียนท่านว่าแสดงแต่โดยย่อก็ได้ พระเถระจึงกล่าวคาถาอันแสดงถึง “แก่น” แห่งอริยสัจ ๔ ความว่า อุปติสสะได้ฟังเพียงแค่นี้ก็ได้ “ดวงตาเห็นธรรม” (เกิดธรรมจักษุ) คือบรรลุโสดาปัตติผล จึงรีบไปบอกแก่โกลิตะผู้สหาย โกลิตะได้ฟังคาถานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงไปชวนอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่ออาจารย์ปฏิเสธ จึงได้พากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ณ พระเวฬุวัน ดังทราบกันทั่วไปแล้ว พระอัสสชิเถระไม่ปรากฏว่าท่านมีความเชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ เพราะไม่มีชื่อในทำเนียบเอตทัคคะ ท่านเป็นพระที่ภาษาชาวบ้านสมัยนี้เรียกกันว่า “สมถะ” คือ ชอบอยู่สงบเพียงลำพัง ท่านมีบุคลิกน่าเลื่อมใส สำรวมอินทรีย์ “การคู้ การเหยียด ซึ่งมือและเท้า การเหลียวดู เป็นไปอย่างสงบสำรวม น่าเลื่อมใสยิ่ง” ดังความคิดของอุปติสสะ เมื่อเห็นท่านเป็นครั้งแรก เพราะเหตุนี้เอง ท่านจึงได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากอุปติสสะ ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตรเถระ เมื่อทราบว่าท่านพำนักอยู่ ณ ทิศใด พระอัครสาวกจะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น เพื่อถวายความเคารพ “อาจารย์” ของท่าน ไม่ปรากฏว่าพระอัสสชิเถระมีอายุพรรษาเท่าใด ท่านนิพพานไปเงียบๆ โดยไม่มีกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ไหนเลย ในส่วนที่ไม่กล่าวถึงบ่อยนัก แต่ไม่มีใครลืมได้ ก็คือ คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทำไว้แก่พระพุทธศาสนา โดยได้เป็นผู้ชักชวนให้พระอัครสาวกทั้งสองมาบวช เพื่อเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา �����件֧��ҹ������ǡ��Դ �ѡ�ѹ�ԡҾҸ ��� �ä��ͧ��ǧ ���㹤��� ����ҷ���ҹ���ѧ�ҾҸ������ �����ȹ��ô��ôҨ��������ʴһѵ�Լ� �����������觢ͧ����� �� ��ҹ��Ѻ�ѹ���ԹԾ�ҹ ����觢�鹾�Шع�м���ͧ��¡��������Ѻ�ҵԷӬһ��Ԩ����Тͧ��ҹ �������ѰԸҵع�件��¾�к����ʴ� ��觾��ͧ���зѺ���� � ���વ�ѹ�������� ����ͧ���ѵ�� ��оط�ͧ���ô�������� ��è��ѰԸҵآͧ��������� � ���વ�ѹ�������ù�� ในที่สุดพระสารีบุตรก็ได้ดวงตาเห็นธรรม แต่พระสารีบุตรยังยังมิได้บรรพชา เนื่องด้วยต้องรักษาสัญญา ต้องนำคำสอนไปบอกสหายสนิท คือ โมคคัลลานปริพาชก เสียก่อน ท่านพระสารีบุตรจะไปบอกโมคคัลลานปริพาชกว่าอย่างไร ต้องติกตามต่อไปพระสารีบุตรเถระเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เป็นธรรมเสนาบดีและเอตทัคคะผู้เป็นเลิศด้านปัญญาผู้ทรงมีคุณูปการอย่างยิ่งยวดต่อพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรเมื่อแรกเกิดนั้นมีชื่อว่า "อุปติสสะ" เป็นบุตรของนางพราหมณี ชื่อ "สารี" และนายวังคันตะพราหมณ์ ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านอุปติสคามแห่งตำบลนาลกะ หรือตำบลนาลันทา ที่ท่านได้ชื่อว่า "อุปติสสะ" นี้เพราะเป็นบุตรแห่งสกุลอันประเสริฐสุดในอุปติสสคาม อุปติสสะนั้นมีน้องชายสามคน คือ พระจุนทะ พระอุปเสน พระเรวัตตะ และมีน้องสาวอีกสามคน คือ นางจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา ซึ่งล้วนออกบวชในบวรพุทธศาสนาและได้บรรลุพระอรหัตตผลในที่สุดทุกองค์ ในวันเดียวกับที่นางสารีพราหมณีได้ให้กำเนิดอุปติสสะนั้น นางโมคคัลลีพราหมณีในบ้านโกลิตะก็ได้ให้กำเนิดบุตรชื่อว่า "โกลิตะ" หรือต่อมาคือพระมหาโมคคัลลานะ เช่นกัน ครอบครัวของนางพราหมณีสารีนั้นมีความมั่งคั่งสมบูรณ์พร้อมมูลพอ ๆ กับครอบครัวของโกลิตะ นิสัยใจคอของทั้งอุปติสสะและโกลิตะก็คล้ายคลึงกัน ท่านทั้งสองได้คบหาและเล่าเรียนจนสำเร็จศิลปศาสตร์ทุกอย่างด้วยกันมาแต่เล็ก ๆ จนเติบใหญ่ นอกจากนี้ ครอบครัวของทั้งสองก็ยังเป็นสหายเกี่ยวเนื่องกันมาถึง ๗ ชั่วโคตร ทั้งสองจึงเป็นเพื่อนรักกันอย่างยิ่ง วันหนึ่ง อุปติสสะและโกลิตะไปเที่ยวเล่นในงานรื่นเริงประจำปีในกรุงราชคฤห์ แต่มิได้มีความสนุกสนานอย่างเคย เพราะญาณปัญญาเริ่มแก่กล้าทำให้มีสติปัญญาพิจารณาหาสาระในมหรสพและชีวิต ก็เกิดความสลดใจขึ้นว่า ไม่เห็นจะมีอะไรควรดูควรได้จากมหรสพนี้ คนที่แสดงเหล่านี้ทั้งหมดมีชีวิตไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็จะล้มหายตายจากกันไป เราทั้งหลายควรจะแสวงหาโมกขธรรมเครื่องหลุดพ้นจากบ่วงเช่นนี้ สองวันต่อมาจึงพากันไปบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก ณ กรุงราชคฤห์นั้นเอง และสำเร็จการศึกษาในสำนักนั้นโดยใช้เวลาเพียงสองสามวัน เมื่อจบแล้วก็ออกจากสำนัก แต่ยังไม่พึงพอใจเพราะเห็นว่าความรู้จากสำนักนั้นหาใช่ที่ตนค้นหาไม่ จึงตกลงแยกกันไปตามหาครูผู้สามารถสอนความจริงของโลกให้ประจักษ์ได้อย่างแท้จริง และสัญญากันว่า หากผู้ใดระหว่างเราสองคน ใครได้บรรละอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกคน สมัยนั้น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร แล้วได้ส่งพระสาวกออกประกาศคำสอน ส่วนพระองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์ พระอัสสชิผู้เป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุอรหัตตผลแล้ว วันหนึ่งท่านถือบาตรและจีวร ไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาตแต่เช้าตรู่ อุปติสสะได้พบพระอัสสชิเถระ ก็เกิดความประทับใจในอิริยาบถน่าเลื่อมใสสำรวมดีของท่านพระอัสสชิเถระ ผู้มีอินทรีย์ฝึกดีแล้ว จึงเกิดความคิดว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระอรหันต์ จึงได้ตามท่านพระอัสสชิเถระไปข้างหลัง รอคอยโอกาสอยู่ แล้วสอบถามว่าใครเป็นศาสดาของท่านพระอัสสชิ และสอนอย่างไร ท่านพระอัสสชิเถระได้แสดงความลึกซึ้งในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้ เมื่ออุปติสสะได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน หลังจากนั้น อุปติสสะกราบลาพระอัสสชิเถระ แล้วนำธรรมะที่ได้รับฟังมา ไปบอกเพื่อนสนิทคือโกลิตะ จนได้บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน ทั้งสองได้ไปชักชวนสัญชัยปริพาชกให้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่สัญชัยปริพาชกปฏิเสธ ทั้งสองจึงได้พาปริพาชก ๒๕๐ คน ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ หลังจากฟังธรรมครั้งนั้น ปริพาชก ๒๕๐ คน บรรลุอรหัตผล แต่อุปติสสะและโกลิตะยังคงบรรลุเพียงโสดาบันเช่นเดิม พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมดด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภายหลังบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านอุปติสสะมีชื่อเรียกใหม่ว่าพระสารีบุตร ส่วนโกลิตะได้ชื่อว่าพระมหาโมคคัลลานะ พระสารีบุตรใช้เวลาล่วงเลยไปครึ่งเดือนนับจากวันบวชจึงจะบรรลุพระอรหัตตผลที่ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชกูฏ นครราชคฤห์ โดยเหตุเพราะพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร โดยทีฆนขะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลถามปัญหา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับทิฏฐิและเวทนา เมื่อได้ฟังพระธรรมนั้นทีฆนขะได้บรรลุโสดาบัน ส่วนพระสารีบุตรผู้กำลังถวายงานพัดพระพุทธองค์ ก็ได้ยินธรรมเหล่านั้นอยู่ด้วย จึงได้ส่งญาณพิจารณาตามพระเทศนาจึงได้บรรลุที่สุดแห่งอรหัตตมรรค สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง ซึ่งในวันนั้นคือวันเพ็ญเดือนมาฆะ โดยมีเหตุการณ์สำคัญถัดไปคือ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ให้กับพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป รวมพระอัครสาวกทั้งสองด้วย หลังจากพระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ จำพรรษาและแสดงพระอภิธรรม ณ ดาวดึงส์ เสด็จลงมา ณ ประตูเมืองสังกัสสะ พระสารีบุตรพร้อมทั้งภิกษุ ภิกษุณี และสาธุชนจำนวนมากมาเฝ้ารอรับเสด็จ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถามปัญหาในวิสัยของปุถุชนเป็นต้น พวกปุถุชนแก้ปัญหาได้ในวิสัยของตนเท่านั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระโสดาบันได้ พระอริยบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้นก็เหมือนกัน ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระอริยบุคคลทั้งหลาย มีพระสกทาคามีเป็นต้น พระมหาสาวกที่เหลือไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระมหาโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระสารีบุตรเถระได้ แม้พระสารีบุตรเถระก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระพุทธเจ้าได้เหมือนกัน ในครั้งนั้น มหาชนจึงได้รู้จักพระสารีบุตรว่าเป็นผู้เลิศทางปัญญา โดยพระพุทธดำรัสที่ว่า “พระสารีบุตรเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก” นอกจากจะเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาและเป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศด้านปัญญาแล้ว ท่านพระสารีบุตรยังมีคุณความดีและเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในพระพุทธศาสนาอีกมากมาย อาทิ ๑. พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน ตัวอย่างครั้งหนึ่งที่กรุงเทวทหะ ภิกษุพากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ทูลลาจะไปปัจฉาภูมิชนบท พระองค์ตรัสให้ไปลาพระสารีบุตร เพื่อท่านพระสารีบุตรจะได้แนะนำสั่งสอน ในการไปของพวกเธอ จะได้ไม่เกิดความเสียหาย ๒. ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นคู่กับพระมหาโมคคัลลานะ เช่น ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคบกับสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด... สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนสูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย ๓. มีคำเรียกยกย่องพระสารีบุตร อีกอย่างหนึ่งว่า พระธรรมเสนาบดี ซึ่งเป็นคู่กับพระบรมศาสดาว่า พระธรรมราชา ๔. พระสารีบุตรเป็นผู้มีปฏิภาณในการแสดงพระธรรมเทศนา คือ ชี้แจงแสดงให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน ๕.ท่านเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที พึงเห็นตัวอย่างได้จากเมื่อท่านได้ฟังธรรมเทศนาที่พระอัสชิแสดง ได้ธรรมจักษุแล้วมาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็นับถือพระอัสสชิว่าเป็นอาจารย์ ทำการเคารพอยู่เสมอ แม้ได้ยินข่าวว่าพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เมื่อท่านจะนอน ท่านจะนมัสการไปทางทิศนั้นก่อน แล้วนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น อีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรยังราธพราหมณ์ให้อุปสมบท เพราะระลึกถึงคุณที่ราธพราหมณ์ได้ถวายบิณฑบาตแก่ท่านเพียงทัพพีเดียว ๖. ท่านเป็นผู้เสนอความคิดให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความมั่นคงแห่งพระสัทธรรม ๗. ท่านได้นำคำสอนของพระพุทธองค์จัดเป็นหมวดหมู่ ๘. เป็นพระเถระรูปแรกที่คิดทำสังคายนา ๙. เป็นพระอุปัชฌาย์ของสามเณรรูปแรก คือ สามเณรราหุล ๑๐. ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านพระสารีบุตรพิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนจะสิ้นแล้ว ปรารถนาจะไปโปรดมารดา คือ นางสารี ที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ เมื่อท่านไปถึงบ้านเดิมแล้ว ได้เกิดปักขันทิกาพาธขึ้นในคืนนั้น ในเวลาที่พระสารีบุตรกำลังอาพาธอยู่นั้น ท่านได้เทศนาโปรดมารดา จนนางสารีได้บรรลุโสดาบัน การที่บุตรได้ชักนำบุพการีให้นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนได้มรรคผล นับเป็นการตอบแทนคุณอย่างยอดเยี่ยม คืนนั้น เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง พระสารีบุตรก็ปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิดในบ้านเดิมของท่านที่เมืองนาลันทาหลังจากที่ได้ไปเทศนาโปรดมารดาในคืนนั้นเอง รุ่งขึ้น พระจุนทะผู้เป็นน้อง ได้ทำฌาปนกิจสรีระพระเถระเจ้า เสร็จแล้วจึงเก็บอัฏฐิธาตุของท่าน นำไปถวายพระบรมศาสดา ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี พระพุทธองค์ทรงโปรดให้ก่อเจดีย์บรรจุอัฏฐิธาตุของพระสารีบุตร ไว้ ณ ที่นั้น นอกจากคุณูปการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว ท่านพระสารีบุตรยังเป็นพระอัครสาวกผู้มีพระภาษิตที่ได้แสดงวาทธรรมไว้มากมายที่สุดองค์หนึ่ง |