���ʴդ�� ��ͧ�����·��ͺ���仹Ф� �ͺ�Ӷ����¹Ф� Show ����Դ��ҹ����� ��ͧ��è��Դ㺡ӡѺ���մ��� �й���騴����¹�繺���ѷ��� ��ѡ�ҹ 5 �� �� ��ͧ��һ�Сѹ�ѧ�������¹Ф� ��ǹ��ҹ����õ�ͧ�ա��仢�حҵ����������к�������¤�� �������þ���Եä�� ��ǹ����ͧ�������¨�����¹����ѷ ����Ѻ�ع������¹ 1 ��ҹ �դ������´ѧ����� 1.��Ҹ���������з�ǧ 6400 �ҷ 2. ��Һ�ԡ��ʹ�.4300 �ҷ (����������) ��ǹ��ҷӺѭ�� ������鹷�� 2000 �ҷ �������� ��ǹ�� �������Ѻ�͡��âͧ�١������������� ��ͧ�Ҵ١ѹ�ա���駤�� �������ʹ�.��Ҩ��պ�ԡ�ôѧ����� 1. �Ѵ��ѡ�ҹ�Ѻ���͡���������� ������Ф��� 2. ��Ẻ��й���� ���� �.�.30 �.�.�.1 3 53 3.�Ѵ����§ҹ���ի��� ��� 4. �ѹ�֡�ѭ�� ��ش����ѹ ���� ��� �Ѻ ���� ����� �բ��ʧ��µԴ����ͺ�������¹Ф� �ͺ�س�ҡ��� username/password ไม่ถูกต้อง กรุณาทำการกรอกใหม่ session ของการเข้าสู่ระบบได้สิ้นสุดแล้ว กรุณา reload หน้าเว็บอีกครั้งและเข้าสู่ระบบใหม่อีกครั้ง ท่านได้เข้าสู่ระบบอยู่แล้ว กรุณาออกจากระบบก่อนหากท่านต้องการเปลี่ยน user - สำเนาทะเบียนบ้านของผู้จดทะเบียนพาณิชย์ กรณีที่ผู้จดทะเบียนพาณิชย์ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านของสถานที่ตั้งร้าน ต้องแนบเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้ 1) หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 2) สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม - แผนที่ตั้งของร้าน - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี) - ค่าธรรมเนียม 50 บาท หลังจากจดทะเบียนพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องแสดงใบทะเบียนพาณิชย์ ไว้ที่สำนักงานในบริเวณที่เปิดเผยและมองเห็นได้ง่าย และต้องติดป้ายชื่อร้านที่ใช้ในการประกอบพาณิชย์ไว้หน้าร้านและร้านสาขา (ถ้ามี) บริเวณที่เปิดเผย 2. ภาษีที่ต้องเสีย สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่จดทะเบียนพาณิชย์ และเลือกเสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา จัดเป็นอาชีพเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ เงินได้ 40(8) หลักการเสียภาษีจะเหมือนบุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้ทั่วไป ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ 2.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีที่ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้ 120,000 บาท/ปี ต้องยื่นแบบฯ ภาษีแต่ไม่เสียภาษี ทว่าถ้าหากมีรายได้เกิน 150,000 บาท/ปี จึงต้องเสียภาษี โดยใช้วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามอัตราภาษีขั้นบันได ตั้งแต่ 5-35% โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ - ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน (รายได้ 6 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th - ครั้งที่ 2 ยื่นชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของปีถัดไป (รายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม โดยนำภาษีที่จ่ายครั้งแรกมาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ในครั้งที่ 2) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 8 เมษายน ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th 2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ภายใน 30 วัน และต้องทำการยื่นภาษีแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน 2.3 ภาษีป้าย ในกรณีที่ร้านอาหารมีการติดป้ายชื่อร้าน ยี่ห้อ เครื่องหมายการค้า หรือการโฆษณาร้าน เป็นต้น จะต้องเสียภาษีตามพ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 โดยเก็บภาษีตามลักษณะป้าย ดังนี้ - ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยล้วน อัตราภาษีป้าย 5,10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. - ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น อัตราภาษีป้าย 26, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. - ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ อัตราภาษีป้าย 50, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. 2.4 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต้องพิจารณาก่อนว่าพื้นที่ร้านอาหารเป็นของผู้ประกอบการเองหรือเช่า ในกรณีที่เช่าจะต้องทำการตกลงให้ชัดเจนกับเจ้าของพื้นที่ว่าภาษีในส่วนนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ต้องเสียหากเป็นที่ดินจะใช้การประเมินทุนทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างจะใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์สิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ มูลค่า 0-50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.30% มูลค่า >50 – 200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.40% มูลค่า >200 – 1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.50% มูลค่า >1,000 – 5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.60% มูลค่า >5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.70% เปิดร้านอาหารแบบจดบริษัท...นิติบุคคล การเปิดร้านอาหารที่ผู้ประกอบการต้องการทำธุรกิจในนาม "นิติบุคคล" ซึ่งสิ่งที่ต้องทำประกอบด้วย 1. จดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล การจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล หรือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้น ส่วนใหญ่จะนิยมจดอยู่ 2 ประเภท คือ บริษัทจำกัดกับห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล ค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากกว่าการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา (ทะเบียนการค้า) ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหาร จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ดังนี้ - ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กำหนดทุนจดทะเบียน และหาผู้ร่วมทุนเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท - กำหนดมูลค่าหุ้น และผู้ถือหุ้นสามารถจัดสรรกันเองได้ว่า ผู้ถือหุ้นจะถือหุ้นคนละจำนวนเท่าไร - ผู้ถือหุ้นทั้งหมดทำการเลือกกรรมการหนึ่งคนหรืออาจจะหลายคนก็ได้ ให้เข้ามาบริหารจัดการร้านอาหาร ซึ่งทั้งหมดจะต้องจดแจ้งไว้ในรายการที่จดทะเบียน และผู้ประกอบการต้องระบุวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายอาหาร หรือธุรกิจร้านอาหารในหนังสือรับรองนิติบุคคล ทั้งนี้ ร้านอาหารที่ขอจดทะเบียนนิติบุคคล หากอยู่กรุงเทพมหานคร ยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานทะเบียนพาณิชย์เขต ส่วนต่างจังหวัดสามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์จังหวัด โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลคือ - คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน - สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน - หนังสือหรือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล - หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ - สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ขอเลขที่บ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม - แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียงโดยสังเขป - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ผู้ประกอบร้านค้าไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี) - ค่าทำเนียมการจดทะเบียน 50 บาท หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการจะต้องผ่านกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ได้กำหนดไว้ในรายการจดทะเบียน 2. ภาษีที่ต้องเสีย เมื่อผู้ประกอบการร้านอาหารได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว กำไรที่เกิดขึ้นจะถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมีหลักการ (สำหรับกิจการที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี และมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้รับสิทธิภาษีอัตราของ SME) ดังนี้ กำไร 300,000 บาทแรก = ยกเว้นภาษี กำไร 300,001 – 3 ล้าน = ภาษี 15% กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป = ภาษี 20% โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ - ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) โดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี - ครั้งที่ 2 ยื่นแบบชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีป้าย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเหมือนกับรูปแบบบุคคลธรรมดา ความแตกต่างของการจดทะเบียนบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ระหว่างจดบริษัทนิติบุคคล หรือไม่จดยังคงอยู่ในรูปแบบบุคคลธรรมดาดีกว่า สามารถสรุปข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 แบบได้ดังนี้
ลักษณะ บุคคลทั่วไป ข้อดี - จัดตั้งง่ายเหมาะกับกิจการขนาดเล็ก - จะได้กำไรหรือขาดทุน เจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบแต่พียงผู้เดียว - อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือเจ้าของ มีอิสระในการบริหารเต็มที่ - ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่ำ - อยากยกเลิกกิจการเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่าย - ข้อบังคบทางกฎหมายน้อย ข้อเสีย - เจ้าของรับผิดชอบในหนี้สิน ไม่จำกัดจำนวน - การหาเงินทุนเพิ่มอาจทำได้ยาก - ขาดความน่าเชื่อถือ - กิจการมีอายุอยู่ตราบเท่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ยืนยาวและไม่ต่อเนื่อง - เสียเปรียบด้านภาษีอากร
ลักษณะ บุคคล 3 คนขึ้นไป ลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่างๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุนแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล ข้อดี - ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระ - มีจำนวนหุ้นส่วนได้ไม่จำกัด - ซื้อ ขายหรือโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่นได้ - สามารถหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ (เสียภาษีจากกำไรสุทธิทางภาษี) - มีความน่าเชื่อถือ - เสียภาษีน้อยกว่าบุคคลธรรมดา ข้อเสีย - ขั้นตอนการจัดตั้งยุ่งยาก - จำนวนผู้ถือหุ้นที่ลดลง อาจเป็นเหตุให้เลิกบริษัทได้ - การเลิกบริษัทมีขั้นตอนยุ่งยาก - ค่าใช้จ่ายการดำเนินการสูงกว่า - ต้องจัดการเอกสาร ยุ่งยากวุ่นวายกว่าบุคคลธรรมดา - มีเรื่องภาษีต่างๆมากเกี่ยวข้องมากขึ้น สรุป จะเห็นได้ว่าตั้งแต่บรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดนี้ แม้ว่าทั้ง 2 รูปแบบ จะมีรายละเอียดที่เหมือนและแตกต่างกันไปบ้าง รวมถึงข้อดีและข้อเสียที่ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา มีธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีเจ้าของเพียงคนเดียว หรือต้องการเติบโตเป็นธุรกิจอาหารที่มีความมั่นคงในรูปแบบนิติบุคคลก็ตาม แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการร้านอาหารเองว่า ได้มองเป้าหมายของการทำธุรกิจร้านอาหารของตนเองไว้อย่างไร แล้วตัดสินใจไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ยาก เปิดร้านขายอาหารต้องจดทะเบียนอะไรบ้างเปิดร้านอาหาร ต้องจดทะเบียนร้านอย่างไร?. ในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตทุกแห่ง. ในส่วนของต่างจังหวัด ยื่นจดทะเบียนได้ที่เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ที่ร้านของเราตั้งอยู่ ต้องจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มประกอบกิจการ. เปิดร้านอาหารต้องมีใบอนุญาตไหมพื้นที่ประกอบกิจการเกิน 200 ตารางเมตรขึ้นไป
หากพื้นที่ประกอบกิจการของคุณเกิน 200 ตารางเมตรขึ้นไป คุณต้องยื่นเรื่องขอรับ “ใบอนุญาต” (ใบอนุญาตร้านอาหาร/ใบอนุญาตขายอาหาร) มีค่าธรรมเนียม 3,000 บาท
ร้านค้าเล็กๆต้องจดทะเบียนพาณิชย์ไหมตอบ คุณกาญ ผู้ประกอบการขายสินค้าเป็นประจำเหมือนอาชีพปกติโดยมีที่ตั้งสำนักงานมีลักษณะเป็นอาคารถาวร มีเลขที่อาคารชัดเจนตรวจสอบได้ ถือเป็นผู้เข้าข่ายต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งต้องจดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้เริ่มประกอบกิจการ
ขอใบอนุญาตเปิดร้านอาหารที่ไหนเมื่อเตรียมเอกสารทั้งหมดแล้ว สำหรับการจดทะเบียนร้านอาหารแบบนิติบุคคลสามารถยื่นจดได้ที่: ในเขตกรุงเทพ ยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่สำนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือที่กระทรวงพาณิชย์ กรณีต่างจังหวัด ยื่นจดที่พาณิชย์จังหวัดได้เลย
|