พ ร บ การศึกษาแห่งชาติ (ฉบับ ปัจจุบัน)

พระราชบัญญัติ

การศึกษาแห่งชาติ

พ.ศ. ๒๕๔๒

แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

เป็นปีที่ ๕๔ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้
ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ

พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจ ากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่ง
มาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระท าได้โดยอาศัย

อ านาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยค าแนะน าและยินยอมของ

รัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒”

1[๑]
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

1[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖/ตอนที่ ๗๔ ก/หน้า ๑/๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๒

ื่
มาตรา ๓ บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และค าสั่งอนในส่วนที่ได้
บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้

“การศึกษา” หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพอความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
ื่
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้า

ทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อนเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้

บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
“การศึกษาขั้นพื้นฐาน” หมายความว่า การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา

“การศึกษาตลอดชีวิต” หมายความว่า การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษา


ื่
ในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธยาศัย เพอให้สามารถพฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง

ตลอดชีวิต

“สถานศึกษา” หมายความว่า สถานพฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย

ื่
สถาบัน มหาวิทยาลัย หน่วยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอนของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอานาจหน้าที่หรือมี
วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา
“สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน


“มาตรฐานการศึกษา” หมายความว่า ข้อก าหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพ ที่พงประสงค์
และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพอใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงส าหรับการ
ื่
ส่งเสริมและก ากับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพทางการศึกษา

“การประกันคุณภาพภายใน” หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ

คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือโดย
หน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่ก ากับดูแลสถานศึกษานั้น

“การประกันคุณภาพภายนอก” หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ

คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดยส านักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน
ื่
คุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่ส านักงานดังกล่าวรับรอง เพอเป็นการประกันคุณภาพ
และให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา
“ผู้สอน” หมายความว่า ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่าง ๆ

“ครู” หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งท าหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการ

ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน

“คณาจารย์” หมายความว่า บุคลากรซึ่งท าหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยใน

สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
“ผู้บริหารสถานศึกษา” หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษา

แต่ละแห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน

“ผู้บริหารการศึกษา” หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอก
สถานศึกษาตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป

“บุคลากรทางการศึกษา” หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมทั้ง

ผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ท าหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการ
สอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ
2[๒]
“กระทรวง” หมายความว่า กระทรวงศึกษาธิการ

“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

3[๓]
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมี
อ านาจออกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับ
ได้

หมวด ๑
บททั่วไป

ความมงหมายและหลักการ
ุ่


ื่
มาตรา ๖ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพอพฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อนได้
ื่
อย่างมีความสุข

2[๒] มาตรา ๔ นิยามค าว่า “กฎกระทรวง” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่

๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
3[๓]
มาตรา ๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๗ ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตส านึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการ


ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่
เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การ


กีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อนเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพงตนเอง มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วย
ึ่
ตนเองอย่างต่อเนื่อง

มาตรา ๘ การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้

(๑) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตส าหรับประชาชน

(๒) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(๓) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

มาตรา ๙ การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้

(๑) มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ

ื้
(๒) มีการกระจายอานาจไปสู่เขตพนที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น

(๓) มีการก าหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและ
ประเภทการศึกษา

(๔) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และการ

พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
(๕) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา

(๖) การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น

หมวด ๒

สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา

มาตรา ๑๐ การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษา
ขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

การจัดการศึกษาส าหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์

ึ่

สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพงตนเองได้
หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
การศึกษาส าหรับคนพการในวรรคสอง ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพการโดยไม่เสีย

ื่
ค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออนใดทาง
การศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในกฎกระทรวง

การจัดการศึกษาส าหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดย
ค านึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น

มาตรา ๑๑ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล

ได้รับการศึกษาภาคบังคับตามมาตรา ๑๗ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตลอดจนให้ได้รับการศึกษา

นอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับ ตามความพร้อมของครอบครัว

มาตรา ๑๒ นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว

องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอน มีสิทธิใน
ื่
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ ดังต่อไปนี้
(๑) การสนับสนุนจากรัฐ ให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดู และการให้การศึกษา

แก่บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล

ื้
(๒) เงินอดหนุนจากรัฐส าหรับการจัดการศึกษาขั้นพนฐานของบุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความ
ดูแลที่ครอบครัวจัดให้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายก าหนด

(๓) การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีส าหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมายก าหนด

มาตรา ๑๔ บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน

ื้
ื่
ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอน ซึ่งสนับสนุนหรือจัดการศึกษาขั้นพนฐาน มีสิทธิได้รับสิทธิ
ประโยชน์ตามควรแก่กรณี ดังต่อไปนี้
(๑) การสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูบุคคลซึ่งอยู่ในความ

ดูแลรับผิดชอบ
(๒) เงินอุดหนุนจากรัฐส าหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายก าหนด

(๓) การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีส าหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมายก าหนด

หมวด ๓

ระบบการศึกษา

มาตรา ๑๕ การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัย

(๑) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่ก าหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร
ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการส าเร็จการศึกษาที่แน่นอน

(๒) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการก าหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ

วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขส าคัญของการส าเร็จ
การศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของ

บุคคลแต่ละกลุ่ม


(๓) การศึกษาตามอธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ
ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ หรือแหล่ง

ความรู้อื่น ๆ

สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้
ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้


ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอธยาศัย
การฝึกอาชีพ หรือจากประสบการณ์การท างาน

ื้
มาตรา ๑๖ การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพนฐาน และการศึกษา
ระดับอุดมศึกษา

การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอดมศึกษา

การแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง
การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็นสองระดับ คือ ระดับต่ ากว่าปริญญา และระดับปริญญา

การแบ่งระดับหรือการเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอธยาศัย ให้เป็นไป

ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๗ ให้มีการศึกษาภาคบังคับจ านวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด เข้า

ื้
เรียนในสถานศึกษาขั้นพนฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
หลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๘ การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพนฐานให้จัดในสถานศึกษา
ื้
ดังต่อไปนี้


(๑) สถานพฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พฒนาเด็กก่อน




เกณฑ์ของสถาบันศาสนา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของเด็กพการและเด็กซึ่งมีความต้องการพเศษ
หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เรียกชื่ออย่างอื่น

(๒) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันพทธศาสนา
หรือศาสนาอื่น

(๓) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล
ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา

สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด


มาตรา ๑๙ การจัดการศึกษาระดับอดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือ

หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวกับสถานศึกษาระดับอดมศึกษา กฎหมายว่า
ื่
ด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้น ๆ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๒๐ การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ
สถานศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๒๑ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอนของรัฐ อาจจัดการศึกษา
ื่
เฉพาะทางตามความต้องการและความช านาญของหน่วยงานนั้นได้ โดยค านึงถึงนโยบายและมาตรฐาน
การศึกษาของชาติ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ก าหนดในกฎกระทรวง

หมวด ๔
แนวการจัดการศึกษา


มาตรา ๒๒ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพฒนา

ตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพฒนา
ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ

มาตรา ๒๓ การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษา

ตามอธยาศัย ต้องเน้นความส าคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม
ของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้

(๑) ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพนธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว
ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมือง

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(๒) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและ

ประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบ ารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

อย่างสมดุลยั่งยืน
(๓) ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้

ภูมิปัญญา

(๔) ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
(๕) ความรู้ และทักษะในการประกอบอาชีพและการด ารงชีวิตอย่างมีความสุข

มาตรา ๒๔ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด าเนินการ

ดังต่อไปนี้

(๑) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดย
ค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล

(๒) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มา

ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
(๓) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็น ท า

เป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง

(๔) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน
รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา

(๕) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และ

อ านวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการ

ประเภทต่าง ๆ

(๖) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา
ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ

มาตรา ๒๕ รัฐต้องส่งเสริมการด าเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุก



รูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พพธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อทยาน

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อนอย่างพอเพยง
ื่

และมีประสิทธิภาพ



มาตรา ๒๖ ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพจารณาจากพฒนาการของผู้เรียน
ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียน

การสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
ให้สถานศึกษาใช้วิธีการที่หลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ และให้น าผลการ

ประเมินผู้เรียนตามวรรคหนึ่งมาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย

ื้
มาตรา ๒๗ ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐานก าหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
ื่
ื้
ื่
พนฐานเพอความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การด ารงชีวิต และการประกอบอาชีพตลอดจนเพอ
การศึกษาต่อ
ื้
ให้สถานศึกษาขั้นพนฐานมีหน้าที่จัดท าสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่งใน
ส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอนพงประสงค์เพอเป็นสมาชิกที่
ื่


ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ

มาตรา ๒๘ หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาส าหรับบุคคลตาม
มาตรา ๑๐ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ต้องมีลักษณะหลากหลาย ทั้งนี้ ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่

ละระดับโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ

สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็นวิชาการ และวิชาชีพ ต้องมุ่งพฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้าน

ความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม

ส าหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่ง และวรรคสอง



ื่
แล้วยังมีความมุ่งหมายเฉพาะที่จะพฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้า วิจัย เพอพฒนาองค์ความรู้
และพัฒนาสังคม

มาตรา ๒๙ ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง
ื่
ส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอน
ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพอให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม
ื่
ื่
มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพอพฒนาชุมชนให้

สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ
พัฒนาระหว่างชุมชน


มาตรา ๓๐ ให้สถานศึกษาพฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการ
ส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา

หมวด ๕

การบริหารและการจัดการศึกษา

ส่วนที่ ๑

การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ

4[๔]
มาตรา ๓๑ กระทรวงมีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม และก ากับดูแลการศึกษาทุก

ระดับและทุกประเภท ก าหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพอการศึกษา
ื่
ื่
ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการกีฬาเพอการศึกษา รวมทั้งการติดตาม

ื่
ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาและราชการอนตามที่มีกฎหมายก าหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของ
กระทรวงหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวง

5[๕]
มาตรา ๓๒ การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงให้มีองค์กรหลักที่เป็นคณะบุคคล
ในรูปสภาหรือในรูปคณะกรรมการจ านวนสี่องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐาน
ื้

คณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการอดมศึกษา เพอพจารณาให้ความเห็นหรือให้ค าแนะน า

ื่
แก่รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี และมีอ านาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายก าหนด

6[๖]
มาตรา ๓๓ สภาการศึกษา มีหน้าที่
(๑) พิจารณาเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬากับ

การศึกษาทุกระดับ

ื่
(๒) พจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาเพอด าเนินการให้เป็นไปตามแผน
ตาม (๑)

(๓) พิจารณาเสนอนโยบายและแผนในการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
(๔) ด าเนินการประเมินผลการจัดการศึกษาตาม (๑)

4[๔]
มาตรา ๓๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
5[๕]
มาตรา ๓๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
6[๖]
มาตรา ๓๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

(๕) ให้ความเห็นหรือค าแนะน าเกี่ยวกับกฎหมายและกฎกระทรวงที่ออกตามความใน

พระราชบัญญัตินี้
การเสนอนโยบาย แผนการศึกษาแห่งชาติ และมาตรฐานการศึกษา ให้เสนอต่อ

คณะรัฐมนตรี

ให้คณะกรรมการสภาการศึกษา ประกอบด้วย รัฐมนตรีเป็นประธาน กรรมการโดยต าแหน่ง
จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ


พระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการกลางอสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรศาสนาอน
ื่
และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีจ านวนไม่น้อยกว่าจ านวนกรรมการประเภทอื่นรวมกัน
ให้ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นนิติบุคคล และให้เลขาธิการสภาเป็นกรรมการและ

เลขานุการ

จ านวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ วาระการด ารง
ต าแหน่ง และการพ้นจากต าแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายก าหนด

7[๗]
ื้

มาตรา ๓๔ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐาน มีหน้าที่พจารณาเสนอนโยบาย
ื้


แผนพฒนามาตรฐานและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนฐานที่สอดคล้องกับแผนพฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติ การสนับสนุนทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการ
จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน


คณะกรรมการการอาชีวศึกษามีหน้าที่พจารณาเสนอนโยบาย แผนพฒนา มาตรฐานและ

หลักสูตรการอาชีวศึกษาทุกระดับ ที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และแผนการศึกษาแห่งชาติ การส่งเสริมประสานงานการจัดการอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน การสนับสนุน

ทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการอาชีวศึกษา โดยค านึงถึงคุณภาพและความเป็น
เลิศทางวิชาชีพ


คณะกรรมการการอุดมศึกษา มีหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผนพฒนา และมาตรฐานการ

อดมศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการศึกษา

แห่งชาติ การสนับสนุนทรัพยากร การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาระดับอดมศึกษา

โดยค านึงถึงความเป็นอสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของสถานศึกษาระดับปริญญาตามกฎหมายว่าด้วย

การจัดตั้งสถานศึกษาแต่ละแห่ง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

7[๗]
มาตรา ๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๓๕ องค์ประกอบของคณะกรรมการตามมาตรา ๓๔ ประกอบด้วย กรรมการโดย

ต าแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กร
วิชาชีพ และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีจ านวนไม่น้อยกว่าจ านวนกรรมการประเภทอื่นรวมกัน

จ านวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและ

กรรมการ วาระการด ารงต าแหน่งและการพนจากต าแหน่งของคณะกรรมการแต่ละคณะ ให้เป็นไปตามที่

กฎหมายก าหนด ทั้งนี้ ให้ค านึงถึงความแตกต่างของกิจการในความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละคณะ

ด้วย

ให้ส านักงานคณะกรรมการตามมาตรา ๓๔ เป็นนิติบุคคล และให้เลขาธิการของแต่ละ
ส านักงานเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ

มาตรา ๓๖ ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาเป็นนิติบุคคล และอาจ
จัดเป็นส่วนราชการหรือเป็นหน่วยงานในก ากับของรัฐ ยกเว้นสถานศึกษาเฉพาะทางตามมาตรา ๒๑

ให้สถานศึกษาดังกล่าวด าเนินกิจการได้โดยอสระ สามารถพฒนาระบบบริหาร และการ


จัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การก ากับดูแลของสภา
สถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้น ๆ

8[๘]
ื้
มาตรา ๓๗ การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพนฐานให้ยึดเขตพนที่การศึกษาโดย
ื้
ค านึงถึงระดับของการศึกษาขั้นพนฐาน จ านวนสถานศึกษา จ านวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสม
ื้
ด้านอื่นด้วย เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษา

ให้รัฐมนตรีโดยค าแนะน าของสภาการศึกษา มีอานาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาก าหนด
ื่
ื้
ื้
เขตพนที่การศึกษาเพอการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพนฐาน แบ่งเป็นเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษา
ื้
และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ื้
ในกรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพนฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
ื้
การก าหนดให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพนที่การศึกษาใด ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็น
ส าคัญ ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศก าหนดโดยค าแนะน าของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ในกรณีที่เขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจบริหารและจัดการได้ตามวรรคหนึ่ง กระทรวงอาจจัดให้มี
การศึกษาขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้เพื่อเสริมการบริหารและการจัดการของเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้

8[๘]
มาตรา ๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓

(๑) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา

อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ
ื้
(๒) การจัดการศึกษาขั้นพนฐานที่จัดในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตาม
อัธยาศัย

(๓) การจัดการศึกษาขั้นพนฐานส าหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ
ื้
(๔) การจัดการศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาที่ให้บริการในหลายเขตพื้นที่การศึกษา

9[๙]
ื้
ื้
มาตรา ๓๘ ในแต่ละเขตพนที่การศึกษา ให้มีคณะกรรมการและส านักงานเขตพนที่
ื้
การศึกษามีอานาจหน้าที่ในการก ากับดูแล จัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพนฐานในเขตพนที่
ื้

การศึกษาประสาน ส่งเสริมและสนับสนุนสถานศึกษาเอกชนในเขตพนที่การศึกษา ประสานและส่งเสริม
ื้
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานการศึกษา ส่งเสริม
และสนับสนุนการจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน

ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลายในเขตพื้นที่การศึกษา
ื้
คณะกรรมการเขตพนที่การศึกษาประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรเอกชน
ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพครู ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพบริหาร
การศึกษา ผู้แทนสมาคมผู้ปกครองและครู และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

จ านวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและ

กรรมการ วาระการต ารงต าแหน่ง และการพ้นจากต าแหน่ง ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง
ให้ผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ

เขตพื้นที่การศึกษา

ในการด าเนินการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสถานศึกษาเอกชนและองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นว่าจะอยู่ในอานาจหน้าที่ของเขตพนที่การศึกษาใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศก าหนดโดย

ื้
ค าแนะน าของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 10[๑๐]

มาตรา ๓๙ 11[๑๑] ให้กระทรวงกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้าน
วิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไปไปยังคณะกรรมการ และส านักงานเขตพนที่
ื้
การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง

9[๙]
มาตรา ๓๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
10[๑๐]
มาตรา ๓๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓

หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอ านาจดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง

ื้

มาตรา ๔๐ 12[๑๒] ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพนฐาน สถานศึกษาระดับอดมศึกษา
ื่
ระดับต่ ากว่าปริญญา และสถานศึกษาอาชีวศึกษาของแต่ละสถานศึกษาเพอท าหน้าที่ก ากับและส่งเสริม
สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กร
ื่
ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนศิษย์เก่าของสถานศึกษา ผู้แทนพระภิกษุสงฆ์หรือผู้แทนองค์กรศาสนาอนในพนที่
ื้
และผู้ทรงคุณวุฒิ

สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับต่ ากว่าปริญญาและสถานศึกษาอาชีวศึกษาอาจมีกรรมการ
เพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายก าหนด

จ านวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและ

กรรมการ วาระการด ารงต าแหน่ง และการพ้นจากต าแหน่ง ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง
ให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการสถานศึกษา

ความในมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่สถานศึกษาตามมาตรา ๑๘ (๑) และ (๓)

ส่วนที่ ๒
การบริหารและการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

มาตรา ๔๑ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิจัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งหรือทุก

ระดับตามความพร้อม ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่น

มาตรา ๔๒ ให้กระทรวงก าหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัด

การศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีหน้าที่ในการประสานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ให้สามารถจัดการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งการเสนอแนะการจัดสรร
งบประมาณอุดหนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

11[๑๑]
มาตรา ๓๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
12[๑๒]
มาตรา ๔๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

ส่วนที่ ๓

การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน

มาตรา ๔๓ การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชนให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการก ากับ
ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมิน

คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ

มาตรา ๔๔ ให้สถานศึกษาเอกชนตามมาตรา ๑๘ (๒) เป็นนิติบุคคล และมีคณะกรรมการ

บริหารประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ผู้รับใบอนุญาต ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทน

ครู ผู้แทนศิษย์เก่า และผู้ทรงคุณวุฒิ
จ านวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและ

กรรมการ วาระการด ารงต าแหน่ง และการพ้นจากต าแหน่ง ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎระทรวง

มาตรา ๔๕ ให้สถานศึกษาเอกชนจัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภท การศึกษาตามที่
กฎหมายก าหนด โดยรัฐต้องก าหนดนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเอกชนในด้าน

การศึกษา

ื้
การก าหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาของรัฐของเขตพนที่การศึกษาหรือขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ค านึงถึงผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของเอกชน โดยให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการ


เขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับฟงความคิดเห็นของเอกชนและประชาชนประกอบการ
พิจารณาด้วย 13[๑๓]
ให้สถานศึกษาของเอกชนที่จัดการศึกษาระดับปริญญาด าเนินกิจการได้ โดยอสระ สามารถ


พฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้
การก ากับดูแลของสภาสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

มาตรา ๔๖ รัฐต้องให้การสนับสนุนด้านเงินอดหนุน การลดหย่อนหรือการยกเว้นภาษี และ

ื่
สิทธิประโยชน์อย่างอนที่เป็นประโยชน์ในทางการศึกษาแก่สถานศึกษาเอกชนตามความเหมาะสม รวมทั้ง
ส่งเสริมและสนับสนุนด้านวิชาการให้สถานศึกษาเอกชนมีมาตรฐานและสามารถพึ่งตนเองได้

13[๑๓]
มาตรา ๔๕ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

หมวด ๖

มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

มาตรา ๔๗ ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพอพฒนาคุณภาพและมาตรฐาน
ื่

การศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก
ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ให้เป็นไปตามที่ก าหนดใน

กฎกระทรวง

มาตรา ๔๘ ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน

สถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้อง
ด าเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดท ารายงานประจ าปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อน าไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพอรองรับการประกัน
ื่
คุณภาพภายนอก

มาตรา ๔๙ ให้มีส านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็น


องค์การมหาชนท าหน้าที่พฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และท าการประเมินผลการจัด
การศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยค านึงถึงความมุ่งหมายและหลักการและแนวการ
จัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้

ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปี

นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

มาตรา ๕๐ ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่มีข้อมูล


เกี่ยวข้องกับสถานศกษา ตลอดจนให้บุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วน

เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาให้ข้อมูลเพมเติมในส่วนที่พจารณาเห็นว่า เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของ
ิ่
สถานศึกษา ตามค าร้องขอของส านักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือ
หน่วยงานภายนอกที่ส านักงานดังกล่าวรับรอง ที่ท าการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษานั้น

มาตรา ๕๑ 14[๑๔] ในกรณีที่ผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ตามมาตรฐานที่

ก าหนด ให้ส านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา จัดท าข้อเสนอแนะ การปรับปรุงแก้ไข
ื่
ต่อหน่วยงานต้นสังกัด เพอให้สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่ก าหนด หากมิได้ด าเนินการ
ดังกล่าว ให้ส านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษารายงานต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้น

ื้

พนฐาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา หรือคณะกรรมการการอดมศึกษา เพอด าเนินการให้มีการปรับปรุง
ื่
แก้ไข

หมวด ๗
ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา

มาตรา ๕๒ ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพฒนาครู คณาจารย์ และ

บุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการก ากับและ
ประสานให้สถาบันที่ท าหน้าที่ผลิตและพฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อม

และมีความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนาบุคลากรประจ าการอย่างต่อเนื่อง


รัฐพงจัดสรรงบประมาณและจัดตั้งกองทุนพฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
อย่างเพียงพอ

มาตรา ๕๓ ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา มีฐานะเป็น

องค์กรอิสระภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพ ในก ากับของกระทรวง มีอ านาจหน้าที่ก าหนดมาตรฐานวิชาชีพ

ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ก ากับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา

ื่
ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอน ทั้งของรัฐและ
เอกชนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายก าหนด
การจัดให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการ

ศึกษาอื่น คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามที่
กฎหมายก าหนด

14[๑๔]
มาตรา ๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕


ความในวรรคสองไม่ใช้บังคับแก่บุคลากรทางการศึกษาที่จัดการศึกษาตามอธยาศัย

ื้
สถานศึกษาตามมาตรา ๑๘ (๓) ผู้บริหารการศึกษาระดับเหนือเขตพนที่การศึกษาและวิทยากรพเศษทาง
การศึกษา
ความในมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาใน

ระดับอดมศึกษาระดับปริญญา

มาตรา ๕๔ ให้มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยให้ครูและบุคลากร

ทางการศึกษาทั้งของหน่วยงานทางการศึกษาในระดับสถานศึกษาของรัฐ และระดับเขตพนที่การศึกษาเป็น
ื้
ข้าราชการในสังกัดองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยยึดหลักการกระจายอานาจการ

บริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายก าหนด

มาตรา ๕๕ ให้มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์เกื้อกูล


อื่น ส าหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้มีรายได้ที่เพยงพอและเหมาะสมกับฐานะทางสังคม
และวิชาชีพ

ื่

ให้มีกองทุนส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพอจัดสรรเป็นเงินอดหนุน
งานริเริ่มสร้างสรรค์ ผลงานดีเด่น และเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง


มาตรา ๕๖ การผลิตและพัฒนาคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา การพฒนา มาตรฐาน
และจรรยาบรรณของวิชาชีพ และการบริหารงานบุคคลของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐในสถานศึกษา

ระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคล ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษาแต่ละแห่งและกฎหมายที่
เกี่ยวข้อง

มาตรา ๕๗ ให้หน่วยงานทางการศึกษาระดมทรัพยากรบุคคลในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการ
จัดการศึกษาโดยน าประสบการณ์ ความรอบรู้ ความช านาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลดังกล่าวมาใช้

เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาและยกย่องเชิดชูผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา

หมวด ๘

ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา

มาตรา ๕๘ ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน
ทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชนเอกชน องค์กรเอกชน องค์กร

วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศมาใช้จัดการศึกษาดังนี้

ื่
(๑) ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพอการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษี
เพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายก าหนด

(๒) ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชน องค์กร

เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ระดมทรัพยากรเพอการศึกษา
ื่
โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอนให้แก่สถานศึกษา และมี
ื่
ส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจ าเป็น
ทั้งนี้ ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมและให้แรงจูงใจในการระดมทรัพยากร

ดังกล่าว โดยการสนับสนุน การอดหนุนและใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี ตามความเหมาะสมและ

ความจ าเป็น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายก าหนด

มาตรา ๕๙ ให้สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล มีอานาจในการปกครอง ดูแล บ ารุงรักษา



ใช้ และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา ทั้งที่เป็นที่ราชพสดุ ตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพสดุ
และที่เป็นทรัพย์สินอื่น รวมทั้งจัดหารายได้จากบริการของสถานศึกษา และเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ไม่ขัด

หรือแย้งกับนโยบาย วัตถุประสงค์ และภารกิจหลักของสถานศึกษา
บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลได้มาโดยมีผู้อทิศให้ หรือโดยการ

ซื้อหรือแลกเปลี่ยนจากรายได้ของสถานศึกษา ไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุ และให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถานศึกษา

บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล รวมทั้งผลประโยชน์ที่
เกิดจากที่ราชพสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อ

ทรัพย์สินหรือจ้างท าของที่ด าเนินการโดยใช้เงินงบประมาณไม่เป็นรายได้ที่ต้องน าส่งกระทรวงการคลังตาม
กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

บรรดารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษาของรัฐที่ไม่เป็นนิติบุคคล รวมทั้งผลประโยชน์


ที่เกิดจากที่ราชพสดุ เบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาลาศึกษา และเบี้ยปรับที่เกิดจากการผิดสัญญาการซื้อ

ทรัพย์สินหรือจ้างท าของที่ด าเนินการโดยใช้เงินงบประมาณให้สถานศึกษาสามารถจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการ

จัดการศึกษาของสถานศึกษานั้น ๆ ได้ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังก าหนด

มาตรา ๖๐ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความส าคัญสูงสุด

ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศโดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา ดังนี้

(๑) จัดสรรเงินอดหนุนทั่วไปเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมแก่ผู้เรียนการศึกษาภาค
บังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดโดยรัฐและเอกชนให้เท่าเทียมกัน

(๒) จัดสรรทุนการศึกษาในรูปของกองทุนกู้ยืมให้แก่ผู้เรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย
ตามความเหมาะสมและความจ าเป็น

ื่
(๓) จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอนเป็นพเศษให้เหมาะสม และ

สอดคล้องกับความจ าเป็นในการจัดการศึกษาส าหรับผู้เรียนที่มีความต้องการเป็นพเศษแต่ละกลุ่มตามมาตรา

๑๐ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ โดยค านึงถึงความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและความเป็นธรรม

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ก าหนดในกฎกระทรวง
(๔) จัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายด าเนินการ และงบลงทุนให้สถานศึกษาของรัฐตาม

นโยบายแผนพฒนาการศึกษาแห่งชาติ และภารกิจของสถานศึกษา โดยให้มีอสระในการบริหารงบประมาณ


และทรัพยากรทางการศึกษา ทั้งนี้ ให้ค านึงถึงคุณภาพและความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษา


(๕) จัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอดหนุนทั่วไปให้สถานศึกษาระดับอดมศึกษาของรัฐที่
เป็นนิติบุคคล และเป็นสถานศึกษาในก ากับของรัฐหรือองค์การมหาชน
(๖) จัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ าให้สถานศึกษาเอกชน เพื่อให้พึ่งตนเองได้

(๗) จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของรัฐและเอกชน


มาตรา ๖๑ ให้รัฐจัดสรรเงินอดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน
ื่
องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอน ตามความเหมาะสม
และความจ าเป็น

มาตรา ๖๒ ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผล
การใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการศึกษา แนวการจัดการศึกษาและคุณภาพ

มาตรฐานการศึกษา โดยหน่วยงานภายในและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบภายนอก

หลักเกณฑ์ และวิธีการในการตรวจสอบ ติดตามและการประเมิน ให้เป็นไปตามที่ก าหนดใน
กฎกระทรวง

หมวด ๙

เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

ื้
ื่
มาตรา ๖๓ รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวน าและโครงสร้างพนฐานอนที่จ าเป็นต่อการส่ง
ื่
ื่
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอน เพอใช้ประโยชน์ส าหรับการศึกษา

ในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอธยาศัย การทะนุบ ารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความ
จ าเป็น

มาตรา ๖๔ รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพฒนาแบบเรียน ต ารา หนังสือ

ทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถใน

ื่
การผลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพฒนาเทคโนโลยีเพอการศึกษา
ทั้งนี้ โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

ื่
มาตรา ๖๕ ให้มีการพฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพอการศึกษา เพอให้
ื่

มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพ และ
ประสิทธิภาพ

มาตรา ๖๖ ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพอการศึกษา
ื่
ื่
ในโอกาสแรกที่ท าได้ เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพยงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพอการศึกษาในการแสวงหาความรู้

ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

ื่

มาตรา ๖๗ รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพฒนา การผลิตและการพฒนาเทคโนโลยีเพอ

การศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพอการศึกษา เพอให้เกิดการใช้ที่
ื่
ื่
คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย

ื่
มาตรา ๖๘ ให้มีการระดมทุน เพอจัดตั้งกองทุนพฒนาเทคโนโลยีเพอการศึกษาจากเงิน
ื่

อุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทาน และผลก าไรที่ได้จากการด าเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ

และโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรประชาชน รวมทั้งให้มีการลดอตรา
ค่าบริการเป็นพิเศษในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อการพัฒนาคนและสังคม

ื่

ื่
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนเพอการผลิต การวิจัยและการพฒนาเทคโนโลยีเพอ
การศึกษา ให้เป็นไปตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๖๙ รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางท าหน้าที่พจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริม

และประสานการวิจัย การพฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและ

การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๗๐ บรรดาบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และค าสั่งเกี่ยวกับ
การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป

จนกว่าจะได้มีการด าเนินการปรับปรุงแก้ไขตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๗๑ ให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาที่มีอยู่ในวันที่

พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับยังคงมีฐานะและอานาจหน้าที่เช่นเดิม จนกว่าจะได้มีการจัดระบบการบริหารและ

การจัดการศึกษาตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับ

มาตรา ๗๒ ในวาระเริ่มแรก มิให้น าบทบัญญัติ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๑๗ มาใช้
บังคับ จนกว่าจะมีการด าเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญ

แห่งราชอาณาจักรไทยใช้บังคับ

ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ด าเนินการออกกฎกระทรวงตาม
มาตรา ๑๖ วรรคสอง และวรรคสี่ ให้แล้วเสร็จ

ภายในหกปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้กระทรวงจัดให้มีการประเมินผล
ภายนอกครั้งแรกของสถานศึกษาทุกแห่ง

มาตรา ๗๓ ในวาระเริ่มแรก มิให้น าบทบัญญัติในหมวด ๕ การบริหารและการจัดการศึกษา

และหมวด ๗ ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา มาใช้บังคับจนกว่าจะได้มีการด าเนินการให้เป็นไป

ตามบทบัญญัติในหมวดดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติครู พทธศักราช ๒๔๘๘ และ
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งต้องไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๗๔ ในวาระเริ่มแรกที่การจัดตั้งกระทรวงยังไม่แล้วเสร็จ ให้นายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

ื่
และให้มีอานาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพอปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่
เกี่ยวกับอ านาจหน้าที่ของตน
เพอให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่ต้องด าเนินการก่อนที่การจัดระบบบริหาร
ื่
การศึกษาตามหมวด ๕ ของพระราชบัญญัตินี้จะแล้วเสร็จ ให้กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัยและ
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ท าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี 15[๑๕]

มาตรา ๗๕ ให้จัดตั้งส านักงานปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นองค์การมหาชนเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้น

โดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนเพื่อท าหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอการจัดโครงสร้าง องค์กร การแบ่งส่วนงานตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๕ ของ

พระราชบัญญัตินี้

(๒) เสนอการจัดระบบครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๗
ของพระราชบัญญัตินี้

(๓) เสนอการจัดระบบทรัพยากรและการลงทุนเพอการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๘
ื่
ของพระราชบัญญัตินี้
ื่
(๔) เสนอแนะเกี่ยวกับการร่างกฎหมายเพอรองรับการด าเนินการตาม (๑) (๒) และ (๓) ต่อ
คณะรัฐมนตรี

(๕) เสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ และค าสั่งที่บังคับ
ใช้อยู่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินการตาม (๑) (๒) และ (๓) เพอให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัตินี้ต่อ
ื่
คณะรัฐมนตรี
(๖) อ านาจหน้าที่อื่นตามที่ก าหนดในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน

ทั้งนี้ ให้ค านึงถึงความคิดเห็นของประชาชนประกอบด้วย

15[๑๕]
มาตรา ๗๔ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๗๖ ให้มีคณะกรรมการบริหารส านักงานปฏิรูปการศึกษาจ านวนเก้าคน
ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความสามารถ มี

ประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา การบริหารรัฐกิจ การบริหารงานบุคคล

การงบประมาณ การเงินและการคลัง กฎหมายมหาชน และกฎหมายการศึกษา ทั้งนี้ จะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่ง
มิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐรวมอยู่ด้วย ไม่น้อยกว่าสามคน

ให้คณะกรรมการบริหารมีอานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษา และแต่งตั้ง
คณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมายได้
ให้เลขาธิการส านักงานปฏิรูปการศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะ

กรรมการบริหาร และบริหารกิจการของส านักงานปฏิรูปการศึกษาภายใต้การก ากับดูแลของคณะกรรมการ

บริหาร
คณะกรรมการบริหารและเลขาธิการมีวาระการด ารงต าแหน่งวาระเดียวเป็นเวลาสามปี เมื่อ

ครบวาระแล้วให้ยุบเลิกต าแหน่งและส านักงานปฏิรูปการศึกษา

มาตรา ๗๗ ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการบริหารส านักงานปฏิรูปการศึกษาคณะ
หนึ่งจ านวนสิบห้าคน ท าหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการบริหารจ านวนสอง

เท่าของจ านวนประธานและกรรมการบริหาร เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้ง ประกอบด้วย

(๑) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ านวนห้าคน ได้แก่ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัด
ทบวงมหาวิทยาลัย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และ

ผู้อ านวยการส านักงบประมาณ

(๒) อธิการบดีของสถาบันอดมศึกษาของรัฐและเอกชนที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งคัดเลือกกันเอง

จ านวนสองคน และคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนที่มีการสอนระดับ

ปริญญาในสาขาวิชาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษา ซึ่งคัดเลือกกันเองจ านวนสามคน ในจ านวนนี้

จะต้องเป็นคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐไม่น้อยกว่าหนึ่งคน
(๓) ผู้แทนสมาคมวิชาการ หรือวิชาชีพด้านการศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งคัดเลือกกันเอง

จ านวนห้าคน
ให้คณะกรรมการสรรหาเลือกกรรมการสรรหาคนหนึ่ง เป็นประธานกรรมการ และเลือก

กรรมการสรรหาอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหา

มาตรา ๗๘ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส านักงานปฏิรูป

การศึกษา และมีอ านาจก ากับดูแลกิจการของส านักงานตามที่ก าหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน
นอกจากที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส านักงานปฏิรูป

การศึกษา อย่างน้อยต้องมีสาระส าคัญ ดังต่อไปนี้

(๑) องค์ประกอบ อานาจหน้าที่ และวาระการด ารงต าแหน่งของคณะกรรมการบริหารตาม

มาตรา ๗๕ และมาตรา ๗๖

(๒) องค์ประกอบ อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา และ
การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร ตามมาตรา ๗๗

(๓) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามรวมทั้งการพนจากต าแหน่งของคณะกรรมการบริหาร
เลขาธิการ และเจ้าหน้าที่

(๔) ทุน รายได้ งบประมาณ และทรัพย์สิน
(๕) การบริหารงานบุคคล สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่น

(๖) การก ากับดูแล การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน
(๗) การยุบเลิก

(๘) ข้อก าหนดอื่น ๆ อันจ าเป็นเพื่อให้กิจการด าเนินไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย

นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ก าหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรม และสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้
มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและ

สังคม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตส านึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


อนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดการศึกษา
ื่

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพอการพฒนาประเทศ พฒนาวิชาชีพครู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ

และวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งในการจัดการศึกษาของรัฐ ให้ค านึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นและเอกชน ตามที่กฎหมายบัญญัติและให้ความคุ้มครองการจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและ
เอกชนภายใต้การก ากับดูแลของรัฐ ดังนั้น จึงสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ เพอเป็นกฎหมาย
ื่
แม่บทในการบริหารและจัดการการศึกษาอบรมให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร

ไทยดังกล่าว จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ 16[๑๖]

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปฏิรูประบบ
ราชการ โดยให้แยกภารกิจเกี่ยวกับงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ไปจัดตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรม และโดยที่

เป็นการสมควรปรับปรุงการบริหารและการจัดการศึกษาของเขตพนที่การศึกษา ประกอบกับสมควรให้มี
ื้


คณะกรรมการการอาชีวศึกษาท าหน้าที่พจารณาเสนอนโยบาย แผนพฒนา มาตรฐานและหลักสูตรการ

อาชีวศึกษาทุกระดับที่สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการ
ศึกษาแห่งชาติ สนับสนุนทรัพยากร ติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการอาชีวศึกษาด้วย จึง

จ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ 17[๑๗]

ื้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การจัดการศึกษาขั้นพนฐาน
ประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ซึ่งมีระบบการบริหารและการจัดการศึกษา
ื้
ของทั้งสองระดับรวมอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละเขตพนที่การศึกษา ท าให้การบริหารและการจัด

16[๑๖]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๒๓ ก/หน้า ๑๖/๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๕
17[๑๗]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนที่ ๔๕ ก/หน้า ๑/๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓

ื้
ื้
การศึกษาขั้นพนฐานเกิดความไม่คล่องตัวและเกิดปัญหาการพฒนาการศึกษา สมควรแยกเขตพนที่การศึกษา

ื้
ื้
ื่
ออกเป็นเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพนที่การศึกษามัธยมศึกษา เพอให้การบริหารและการจัด
การศึกษามีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาแก่นักเรียนในช่วงชั้นประถมศกษาและมัธยมศึกษาให้

สัมฤทธิผลและมีคุณภาพยิ่งขึ้น จึงจ าเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ปัจจุบันใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใด

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

พร บ่ การศึกษาแห่งชาติ มี กี่ ฉบับ

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 มีการปรับปรุง 4 ฉบับ ได้แก่ 1. พ.ร..การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 ประกาศใช้ 19 สิงหาคม 2542 2. พ.ร..การศึกษาแห่งชาติ(ฉบับที่2)พ.ศ. 2545 ประกาศใช้19 ธันวาคม 2545 3. พ.ร..การศึกษาแห่งชาติฉบับที่3 (พ.ศ.2553) ประกาศใช้22 กรกฎาคม2553 4. พ.ร..การศึกษาแห่งชาติฉบับที่4 (พ.ศ.2562) ประกาศใช้ ...

พระราชบัญญัติการศึกษาไทยฉบับปัจจุบันเริ่มใช้ในปี พ.ศ.ใด

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ..2542.

พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (ฉบับที่ 1) มีทั้งหมดกี่หมวดกี่มาตรา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. ๒๕๔๒ หมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา หมวด ๓ ระบบการศึกษา หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา ๑๓ หมวดการบริหารและการจัดการศึกษา ๑๗