จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคือ จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติทั้งในดินและน้ำ ทำหน้าที่กำจัดของเสีย ก๊าซและสารพิษต่าง ๆ ประโยชน์ของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงช่วยตรึงไนโตเจนในดิน เพิ่มไนโตเจนให้กับพืช เร่งการเจริญเติบโต ทำให้พืชแข็งแรงแล้วโตเร็วเป็น 3 เท่า Show
เป็นกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์ที่มีประโยชน์สูงและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช รู้จักกันมานานแล้วในชื่อฮอร์โมนไข่ เนื่องจากส่วนประกอบหลักคือไข่สด ซึ่งเป็นโปรตีนจากธรรมชาติที่หาได้ง่าย จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มีประโยชน์อย่างไรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (Photosybthetic Bacteria : PSB) เป็นแบคทีเรียที่สามารถพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ บทบาทสำคัญในกระบวนการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ (CO2 – Assimilation) รวมไปถึงการตรึงไนไตรเจน (Nitrogen Fixation) มีความสำคัญในระบบนิเวศน์ ซึ่งสัตว์ขนาดเล็กจำพวก ปลา กุ้ง หอย และปู สามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้ นอกจากภาคเกษตรแล้ว ยังมีการนำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปใช้ในการบำบัดน้ำเสียจากครัวเรือนและการทำปศุสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ด้านเกษตรสำหรับที่นำมาใช้ในการเกษตรและสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีม่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่สะสมกำมะถัน โดยแบคทีเรียชนิดนี้เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแสง จะเกิดกระบวนการใช้แสง ถ้าสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ไม่มีแสงก็เปลี่ยนระบบมาเป็นกระบวนการที่ไม่ต้องใช้แสง ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นจึงนำประโยชน์จากกระบวนการดำรงชีวิตนี้ มาใช้ในการ ปรับปรุงสภาพดิน ให้เหมาะสมกับการดูดซึมสารอาหารของพืช รวมไปถึงช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่พืช ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมสามารถใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ช่วยดับกลิ่นในครัวเรือน และในห้องน้ำได้ ใช้ทดแทน EM ในการกำจัดแบคทีเรียชนิดเลว ทั้งยังสามารถนำไปผสมกับน้ำหมักชีวภาพ หรือ ปุ๋ยชีวภาพสูตรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ดินได้ด้วย ที่สำคัญคือ ช่วยลด หรือกำจัดก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) ที่มีอยู่ในดิน และเปลี่ยนไฮโดรเจนซัลไฟด์ ให้กลายเป็นฮอร์โมน ที่พืชต้องการ ใช้บำบัดน้ำเสีย ได้ดีกว่า หัวเชื้อจุลินทรีย์ EM หรือเทียบเท่า ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อม และเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในน้ำ ให้เป็นตัวช่วยเสริมและกำจัดกลิ่นเหม็น ที่มาจากน้ำเสีย ละลายสารเคมีที่เป็นอันตรายในน้ำ รวมไปถึงสารแขวนลอยชนิดต่าง ๆ ทำให้ลดต้นทุนในการบำบัดน้ำเสียลงได้มาก ใช้ผสมกับหัวเชื้อจุลินทรีย์ EM ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในฟาร์มปศุสัตว์ โดยช่วยให้สัตว์มีสุขภาพดี โตไว ไม่เป็นโรค ทั้งยังช่วยลดจำนวนของแมลง และเชื้อโรคได้หลายชนิด ทำให้สัตว์แข็งแรง และมีภูมิต้านทานต่อโรคมากขึ้น เนื้อมีคุณภาพดีขึ้น หากใส่ในแหล่งน้ำ จะทำให้เพิ่มสารอาหารแก่สัตว์น้ำและพืชน้ำ ได้ประโยชน์หลายอย่าง
ทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้เอง กี่วันถึงจะแดงก่อนจะทำให้แดง ลองมาดูส่วนผสมกันก่อน อันดับแรกเริ่มให้เตรียมของมาดังนี้
ขั้นตอนการทำก็ไม่ยาก นำไข่สดตีให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมอื่นตามลงไป เช่น น้ำปลา, นมเปรี้ยว, ผงชูรส, กะปิ, นม หรือน้ำตาล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนผสมที่เป็นตัวเร่ง ใช้แค่ 1 ช้อนชา (ใส่มากก็เปลือง เพราะไม่ได้ช่วยเร่งปฏิกิริยาอะไรมากมาย โดยหลักการก็ขึ้นอยู่กับแสงแดด) แล้วคนให้เข้ากันดี เสร็จแล้วนำไข่ที่ตีแล้วเทลงไปผสมกับน้ำสะอาดในขวด อัตราส่วน ไข่ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 ลิตรโดยประมาณ ใส่มากกว่านี้ก็เปลือง เพราะไม่ได้ช่วยเร่งปฏิกิริยาอะไรมากมาย โดยหลักการก็ขึ้นอยู่กับแสงแดด เมื่อเทส่วนผสมได้ที่แล้วก็เขย่าๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง จะได้น้ำสีขาวขุ่นๆ แล้วนำไปตากแดดในที่แดดส่องถึงทั้งวัน รอเวลาให้เกิดสีแดง
ทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้เอง ทำไมเป็นสีเขียว ไม่แดงขั้นตอนการหมัก เมื่อได้ส่วนผสมที่เข้ากันดี นำมาผสมลงในขวดเขย่าๆ ให้เข้ากันจนได้น้ำสีขาวขุ่น ก็นำไปตากแดด ทิ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 10 วัน น้ำในขวดก็จะเกิดการเปลี่ยนสี จากสีขาวขุ่นๆ ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเข้ม ภายใน 1 เดือนเป็นอย่างต่ำจะต้องได้สีสด สียิ่งแดงเข้มมากๆ ประสิทธิภาพจะยิ่งดีมากด้วย ทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้เอง ทำไมออกสีเขียว ทำไมไม่เป็นสีแดง หรือ ทำไมเป็นแต่สีแดง ไม่เคยเจอสีเขียว สีเขียวเป็นตะไคร่หรือเปล่า แล้วใช้รดผัก บำรุงดินได้ไหม หลากหลายคำถาม มีคำตอบตรงนี้… สาเหตุที่จุลินทรีย์สังเคราะ์แสงเป็นสีเขียว หรือสีแดง เป็นเพราะ “น้ำ” หากใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จะได้ทั้งสีเขียวและสีแดง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้มีอยู่ในธรรมชาติแล้วนั่นเอง เราเพียงแค่ ขยายและเพิ่มจำนวนมันให้มีมากขึ้นเท่านั้นเอง สีเขียว หรือ สีแดง?เพราะเป็นจุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่สีจะออกมามีทั้งเขียวและแดง
สีแดง หรือ สีเขียว ก็ใช้ได้ผลเหมือนกันถ้าน้ำไม่สกปรกมีเชื้อโรคหรือมีดินโคลนมากจนเกินไป (ซึ่งก็จะเกิดเป็นเชื้อรา และน้ำจะเน่า) ก็จะได้หัวเชื้อจุลินทรีย์อย่างแน่นอนภายใน 1 เดือน เมื่อตากแดดจนจุลินทรีย์ในขวดเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแล้ว (หากมีสีเขียวจัด ให้ตากแดดต่อไปจนกลายเป็นสีแดง) ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว โดยนำไปเป็นหัวเชื้อ ผสมน้ำ 10 ส่วน ใช้รดโคนพืชผัก ฉีดพ่นใบ ช่วยให้พืชผักเจริญเติบโตดี ฉีดพ่นโคนราก ดิน จะช่วยปรับสภาพดินให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ฉีดพ่นหรือราดให้ทั่วแปลงปลูกได้เรื่อยๆ วันเว้นวัน ไม่มีอันตรายใดๆ ยิ่งให้มากยิ่งดีกับดินและพืชผัก ข้อเสียคือจะเปลือง และอาจมีกลิ่นเท่านั้นเอง การขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเพียงนำหัวเชื้อไปผสมกับน้ำสะอาด ในอัตราส่วน หัวเชื้อ 1 ลิตร ผสมน้ำได้สูงสุด 10 ลิตร และเขย่าผสมนำไปตากแดดซ้ำอีก 1 เดือนก็จะได้หัวเชื้อนำมาใช้ซ้ำได้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ได้หัวเชื้อจุลินทรีย์ได้ไม่จำกัด
หมักหัวเชื้อทำเอง ก็สะดวกในการบำรุงพืชผักและดิน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซื้อปุ๋ย และฮอร์โมนต่างๆ ให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แถมยังใช้ได้ต่อเนื่องไม่มีผลเสียใดๆ รู้อย่างนี้ ไม่ลองทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้เองดูเองไม่ได้แล้ว โทษของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงแต่เดิมเรารู้กันว่า ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีประโยชน์ มักจะไม่เจอโทษหรือผลเสียหาย แต่ปัจจุบันมันเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากการใช้จุลินทรีย์ที่เกิดจากการหมักดองประเภทนี้ มันจะทำให้เราได้จุลินทรีย์จริง หรือ อาจได้เชื้อโรคที่เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ มีคนสงสัยกันไหมในข้อนี้ ตามที่หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าในส่วนของการปนเปื้อนของหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง และนำมาซึ่งเชื้อที่สามารถก่อโรคระบาดสู่เกษตรกรผู้ใช้ เนื่องจากผลของการใช้ของหมักมาเป็นอาหารให้หัวเชื้อและเกิดการปนเปื้อน ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับโทษของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงที่ปนเปื้อน จากผู้ใช้จริงข้อสังเกตุคือ “ถ้าสีแดงที่พบนั้น คือ แบคทีเรียสังเคราะห์แสงจริง น้ำสีแดงหรือสีเขียวก็ไม่ควรจะมีสีเมื่อหมักตั้งไว้ในที่ร่ม เนื่องจากไม่เกิดการสังคราะห์แสงจริง (ไม่โดนแสง)” ข้อพิสูจน์แล้วคือ “จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถเจริญได้ทั้งในแบบใช้แสงและไม่ใช้แสง แต่ก็ยังไม่จบที่ว่า เชื้อที่ก่อโรคสามารถพบได้ตามธรรมชาติทั่วไป เพราะในธรรมชาติ มีจุลินทรีย์หลายชนิดที่สร้าง pigment เม็ดสีในเซลล์ได้ เช่น ยีสต์ รา รวมถึงแบคทีเรีย ถึงจะไม่มีกระบวนการสังเคราะห์แสงแต่เซลล์ก็ยังแดงได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลายคนกลัว ว่าการใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ได้ผ่านการทำอย่างถูกวิธี จะมีการปนเปื้อนของเชื้อที่ก่อโรคตั้งแต่คราวแรก และอาจทำให้เกิดโทษมากกว่าได้ประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน สรุป : แม้ว่าการทำหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้เอง แบบไม่ได้มาตรฐาน (เฉพาะในห้องแลปเท่านั้นที่จะไม่มีการปนเปื้อน) แต่ในความเป็นจริง ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ระดับการปนเปื้อนจากการผลิตหัวเชื้อ จะสร้างเชื้อก่อโรคจนทำให้เกิดอันตรายต่อเกษตรกรได้จริง เพราะถึงอย่างไร การทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ย่อมได้ประโยชน์มากกว่าโทษอย่างแน่นอน จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้ทุกวันได้ไหมการใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เวลาไหนดี
ต้องบอกก่อนว่าจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมันเป็นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ ทนทานต่อสภาวะที่มีแสง และไม่มีแสง มีอากาศ และไม่มีอากาศได้ ฉะนั้นการใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จึงสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลาของวัน แต่ผมแนะนำว่าควรใช้ในช่วงเช้าจะดีที่สุด
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทำกี่วันถึงจะใช้ได้อายุของเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงในภาชนะบรรจุพร้อมขายสามารถอยู่ได้ 1 ปี ใช้โปรตีนเป็นอาหารของเชื้อโดยใช้ ไข่สดมาตีให้เข้ากันทั้งไข่แดง ไข่ขาว น าขวด ภาชนะที่มีสีขาว (แสงแดดส่องทะลุได้) มาบรรจุหัวเชื้อที่น ามาขยาย
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกินอะไรเป็นอาหารอาหารที่ใช้เลี้ยงจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ไข่ 2 น้ำเต้าหู้จืดๆ 3 น้ำต้มเนื้อ หมู ไก่ ปลา กุ้ง
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมีประโยชน์อย่างไรบ้างประโยชน์ของการสังเคราะห์แสง. เป็นกระบวนการสร้างอาหารเพื่อการดำรงชีวิตของพืช. เป็นกระบวนการซึ่งสร้างสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเจริญ เติบโตของพืช. เป็นกระบวนการซึ่งให้ก๊าซออกซิเจนแก่บรรยากาศ. ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ให้อยู่ในสภาวะสมดุล. |