นาย วิศิษฐ์ จันทร์วิเศษ : ผู้ถาม แต่ผู้ป่วยความดันโลหิตค่าล่างสูงอย่างเดียวผิดปกติ
( diastolic hypertension ) ขอถามว่า นพ. สุรเกียรติ อาชานานุภาพ : ผู้ตอบ ถ้าหากมีค่าบนหรือค่าล่าง ค่าใดค่าหนึ่งสูงเกินปกติ ก็ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนผู่ที่มีความดันค่าบนสูงเพียงอย่างเดียว โดยค่าล่างไม่สูง จะพบในกลุ่มผู้สูงอายุ กับผู้ที่มีความผิดปกติบางอย่าง ( เช่น คอพอกเป็นพิษ หลอดแดงใหญ่ตีบ ) ซึ่งจะมีวิธีการและการใช้ยาแตกต่างจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีค่าล่างสูง จึงได้จัดแยกประเภทไว้ต่างหาก ดังนั้นจึงขอตอบคำถามของคุณเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ 2. มีสาเหตุ การรักษา และการใช้ยาเหมือนกับผู้ที่มีค่าความดันสูงทั้ง 2 ค่า ส่วนยาลดความดันมีให้เลือกใช้อยู่หลายชนิด โดยควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งจะเลือกชนิดและปรับขนาดของยาได้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจึงควรเลือกติดตามรักษากับแพทย์ใกล้บ้านที่ไว้ใจคนใดคนหนึ่งเป็นประจำ ข้อสำคัญโรคนี้มักจะไม่มีอาการให้รู้สึก ( ได้ชื่อว่า “ นักฆ่าเงียบ ” หรือ “ มัจจุราชมืด ” ) 3. ข้อนี้ไม่จริงเสมอไปครับ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเพียงบางคนเท่านั้นครับที่อาจมีภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือโรคเกาต์ร่วมด้วย ซึ่งโรคเหล่านี้อาจเสริมให้เกิดโรคแทรกช้อนทางหัวใจและหลอดเลือดได้มากขึ้น ถ้าพบก็ต้องรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป Share:
ความดันต่ำ (Low Blood Pressure/Hypotension) เป็นภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ หรือมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
ในผู้ใหญ่ สำหรับบางรายที่มีภาวะความดันเลือดต่ำ แต่ไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ในทางการแพทย์ยังจัดว่าสุขภาพเป็นปกติดีและไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา โดยปกติหัวใจจะมีการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายอย่างสม่ำเสมอผ่านหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอย โดยอาศัยแรงดันภายในหลอดเลือดเป็นตัวช่วยสูบฉีด ซึ่งมีค่าการวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท และสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ค่า โดยตัวแรก (หรือตัวบน) เรียกว่า ค่าความดันโลหิตซีสโตลิค (Systolic Pressure) เป็นแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัว และตัวที่สอง (หรือตัวล่าง) เรียกว่าค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) เป็นแรงดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของผู้ใหญ่จะอยู่ระหว่าง 90/60 มิลลิเมตรปรอท และ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้น หากวัดค่าความดันโลหิตได้สูงต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท จึงทำให้เกิดภาวะความดันเลือดต่ำ แต่ถ้าค่าที่วัดได้สูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปจะจัดเป็นภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ ภาวะความดันโลหิตต่ำยังแบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะในแต่ละช่วงเวลาที่ค่าความดันโลหิตลดลง เช่น ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension) จะเกิดเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางอย่างทันทีทันใดจากการนั่งหรือนอนมาลุกขึ้นยืน หรือจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง ความดันโลหิตต่ำหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ (Postprandial Hypotension) ความดันโลหิตต่ำขณะยืนเป็นเวลานาน (Neurally Mediated Hypotension) หรือความดันโลหิตต่ำรุนแรงจนนำไปสู่อาการช็อก อาการของภาวะความดันโลหิตต่ำ ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำกว่าปกติโดยธรรมชาติมักไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่สำหรับผู้ที่เคยมีความดันโลหิตสูงแล้วลดลง แม้อาจไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยความดันโลหิตปกติก็ถือว่าเป็นภาวะผิดปกติที่ต้องรักษา ภาวะความดันโลหิตต่ำบางครั้งอาจเป็นผลมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกายจนเป็นผลให้ภาวะความดันโลหิตลดต่ำลง ผู้ป่วยจึงอาจพบอาการได้ดังนี้
อาการเหล่านี้มักจะเป็นชั่วคราว สำหรับผู้ป่วยที่เกิดอาการเล็กน้อยสามารถทำให้ดีขึ้นด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ หยุดทำกิจกรรมในขณะนั้น ค่อย ๆ นั่งพักหรือนอนลงชั่วครู่ แต่หากเป็นบ่อยหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เพราะอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติด้านอื่นจนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตต่ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานยา ไปจนถึงเป็นผลพวงมาจากความผิดปกติของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งสาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำที่พบได้บ่อยอาจมาจาก
อีกทั้งความดันโลหิตปกติสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายส่วน เช่น กิจกรรมที่ทำในขณะนั้น ความเครียด อุณหภูมิ อาหาร ช่วงเวลาในระหว่างวัน ล้วนส่งผลต่อค่าความดันโลหิตทั้งสิ้น การวินิจฉัยความดันโลหิตต่ำ สิ่งสำคัญที่แพทย์ต้องทราบก่อนทำการรักษา คือ ประเภทและระดับความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตต่ำที่ผู้ป่วยเป็น รวมไปถึงสภาวะที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เพื่อการวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง โดยปกติแพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น การตรวจร่างกายทั่วไป จากนั้นจะมีการตรวจวัดความดันโลหิตของผู้ป่วยว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และตรวจหาภาวะช็อก ซึ่งเป็นภาวะที่ค่อนข้างอันตราย นอกจากนี้ ในรายที่มีอาการรุนแรง มีอาการเกิดขึ้นบ่อย และการดูแลในเบื้องต้นไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นอาจจะต้องมีการตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมตามลักษณะอาการของผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น
การรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ จุดประสงค์ของการรักษาจะเป็นการมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมความดันโลหิตให้กลับมาสู่ภาวะปกติและบรรเทาอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไปตามหลายปัจจัย เช่น วัย สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย หรือการใช้ยา ทั้งนี้ วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของภาวะโลหิตต่ำและความรุนแรงของอาการเป็นหลัก ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำระดับไม่รุนแรงและมีสุขภาพแข็งแรงสามารถควบคุมภาวะความดันโลหิตต่ำได้ด้วยการปฏิบัติตนตามคำแนะนำทั่วไป ดังนี้
แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตต่ำจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือเกิดภาวะช็อกขึ้น จำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือและหาสาเหตุอย่างเร่งด่วนจากแพทย์ รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้นและเป็นอย่างต่อเนื่องก็ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธีด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะความดันโลหิตต่ำไม่รุนแรงอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการหกล้มได้มากที่สุด และอาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้สะโพกหักหรือกระดูกสันหลังร้าว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และส่งผลให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกายยากลำบากขึ้น มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา แต่ในรายที่มีความดันลดต่ำลงจนทำให้เกิดอาการรุนแรงงอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนจนทำให้หัวใจ สมอง หรืออวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสียหาย และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาไม่ทัน การป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะความดันโลหิตต่ำแต่ละชนิดมีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน การป้องกันอาจไม่สามารถทำได้เต็มที่ แต่สามารถช่วยลดความเสี่ยงด้วยการการปฏิบัติตนตามคำแนะนำ ดังนี้
|