สัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร หรือสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง คือสัญญาซึ่งมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ว่าจ้าง (เช่น เจ้าของอาคาร บ้าน ผู้พัฒนาโครงการ) ฝ่ายหนึ่ง และผู้รับจ้าง (เช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง) อีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ ผู้ว่าจ้าง ว่าจ้างให้ผู้รับจ้าง ก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้างต่างๆ (เช่น บ้านพักอาศัย อาคาร สำนักงาน โรงงาน คลังสินค้า ถนน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ) ตามลักษณะ ขอบเขต คุณสมบัติ และมาตรฐานที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ซึ่งอาจเป็นการก่อสร้างขึ้นใหม่ หรือดัดแปลง ตกแต่ง หรือรื้อถอนอาคาร/สิ่งปลูกสร้างเดิมก็ได้ โดยที่ผู้ว่าจ้างตกลงจะชำระค่าจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานก่อสร้างนั้น โดย ผู้ว่าจ้างมักว่าจ้างผู้รับจ้างในการดำเนินการก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง เนื่องจาก ผู้รับจ้างมักเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ มีบุคคลากร วัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมในการก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง อีกทั้ง ยังช่วยให้ผู้ว่าจ้างมีความคล่องตัวสูงในการบริหารจัดการบุคคลากรที่นำมาใช้ในงาน/โครงการก่อสร้าง ในกรณีที่งานและ/หรือโครงการก่อสร้างนั้นสิ้นสุดลง การนำไปใช้ ในการจัดทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง ผู้จัดทำควรมีข้อพิจารณา ดังต่อไปนี้ ผู้จัดทำควรระบุรายละเอียดและข้อความสำคัญในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง โดยละเอียดและครบถ้วน เช่น
เมื่อผู้จัดทำระบุรายละเอียดและข้อความสำคัญในสัญญาครบถ้วนแล้ว ผู้จัดทำควรจัดทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้างเป็นลายลักษณ์อักษร และให้คู่สัญญาหรือตัวแทนผู้มีอำนาจของคู่สัญญา ลงนามในสัญญาดังกล่าวให้เรียบร้อย โดยอาจจัดทำคู่ฉบับของสัญญาอย่างน้อย 2 ฉบับ เพื่อให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายเก็บไว้ใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานได้ฝ่ายละอย่างน้อย 1 ฉบับ และ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายควรขอเอกสารแสดงตัวตนของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่ลงนามรับรองสำเนาถูกต้องมาเก็บไว้ประกอบสัญญาฉบับที่ตนเองถือไว้ด้วย เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง หนังสือรับรองและบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล (กรณีนิติบุคคล) คู่สัญญานำสัญญาที่ลงนามเรียบร้อยแล้วไปชำระอากรแสตมป์ ตามอัตรา ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้างและคู่ฉบับ ถือเป็นสัญญาจ้างทำของที่กฎหมายกำหนดให้ต้องชำระอากรแสตมป์ ข้อพิจารณา ก่อนการดำเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง เจ้าของอาคาร/สิ่งปลูกสร้างมีหน้าที่ต้องขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร/สิ่งปลูกสร้างกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น สำนักการโยธา หรือสำนักงานเขต) คู่สัญญาควรตกลงกันให้ชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของคู่สัญญาฝ่ายใดในการดำเนินการดังกล่าว และรวมถึงผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วย ในกรณีที่มีเอกสารอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร/สิ่งปลูกสร้าง (เช่น แบบแปลน แผนผัง ภาพจำลอง รายการวัสดุและอุปกรณ์) คู่สัญญาอาจพิจารณาแนบเอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา เพื่อความชัดเจนและความเข้าใจที่ตรงกันในขอบเขตงานของคู่สัญญา อันเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย อีกทั้ง ยังอาจสามารถช่วยป้องกันกรณีผู้รับจ้างหรือผู้รับเหมาทิ้งงานได้อีกด้วย ในการเข้าทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างฉบับนี้ ไม่ทำให้ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างมีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน เนื่องจากสัญญาว่าจ้างก่อสร้างเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งมุ่งเน้นผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ (เช่น งานก่อสร้าง ต่อเติม หรือรื้อถอน) และผู้รับจ้างจะมีอิสระในการดำเนินการงานให้สำเร็จลุล่วงตราบใดที่เป็นไปตามขอบเขตและข้อกำหนดในสัญญา ทั้งนี้ ผู้ใช้งานอาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือทางกฎหมาย: ความแตกต่างระหว่างสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความช่วยเหลือจากทนายความ คุณสามารถเลือกที่จะปรึกษาทนายความได้ในกรณีที่คุณต้องการความช่วยเหลือ ทนายความสามารถช่วยคุณได้โดยทำการตอบคำถามของคุณหรือให้ความช่วยเหลือในกระบวนการต่าง ๆ จะมีการเสนอตัวเลือกดังกล่าวไว้ให้คุณในตอนท้ายของเอกสาร แก้ไขแบบฟอร์มได้อย่างไร คุณกรอกแบบสอบถามสำหรับป้อนข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่าระบบของเราจะค่อย ๆ สร้างเอกสารขึ้นเองโดยอัตโนมัติตามคำตอบที่คุณกรอกเข้าไป ใบสั่งซื้อหรือใบสั่งจ้างเป็นเอกสารที่ออกโดยผู้ที่มีความประสงค์จะซื้อสินค้าจากผู้ขาย หรือผู้ที่ประสงค์ว่าจ้างใช้บริการจากผู้ให้บริการ โดยเป็นการแสดงข้อความถึงความประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการใด ปริมาณเท่าใด มีรายละเอียดอย่างไร รวมถึงเงื่อนไขการซื้อขาย หรือใช้บริการอื่นๆ ด้วย เช่น สถานที่ส่งสินค้า สถานที่ให้บริการ ระยะเวลาส่งมอบสินค้า ระยะเวลาการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียดตามใบเสนอราคา แคตตาล็อก หรือโบรชัวร์ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้ให้ไว้ก่อนหน้าแก่ผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการเพื่อการพิจารณาตัดสินใจ การนำไปใช้ ในการจัดทำใบสั่งซื้อหรือใบสั่งจ้าง ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้ใช้บริการ ควรระบุรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวกับการซื้อขาย หรือการใช้บริการโดยละเอียด และชัดเจน เช่น
นอกจากนี้ ผู้ชื้อหรือผู้ใช้บริการ รวมถึงตัวแทนของผู้ชื้อหรือผู้ใช้บริการที่มีอำนาจตัดสินใจในการซื้อหรือใช้บริการดังกล่าว (เช่น ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ พนักงานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มีอำนาจจัดซื้อจัดจ้าง) ควรจัดทำใบสั่งซื้อหรือใบสั่งจ้างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยอาจจัดทำสำเนาไว้เพื่อการอ้างอิงภายในก็ได้ รวมถึงลงนามในใบสั่งซื้อหรือใบสั่งจ้างดังกล่าว และดำเนินการจัดส่งให้แก่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่ต้องการจะซื้อสินค้า หรือใช้บริการด้วย โดยวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบเสนอราคา แคตตาล็อก หรือโบรชัวร์ (ถ้ามี) เพื่อผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้ดำเนินการต่อไป เช่น จัดส่งสินค้า หรือเริ่มให้บริการ แล้วแต่กรณี กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใบสั่งซื้อหรือใบสั่งจ้างที่มีข้อความรายละเอียดชัดเจน และมีเงื่อนไขตรงตามใบเสนอราคาที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้แจ้ง/ให้ไว้ กล่าวคือ มีเงื่อนไขที่เป็นสาระสำคัญตรงกัน เช่น ปริมาณ คุณภาพ มาตรฐาน ราคา การรับประกัน ระยะเวลาการจัดส่ง ระยะเวลาชำระเงิน ตรงตามเงื่อนไขที่ระบุ/เสนอไว้ในใบเสนอราคา แคตตาล็อก หรือโบรชัวร์ ถือเป็นคำสนองตามกฎหมายเกี่ยวกับสัญญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งก่อให้เกิดสัญญาผูกพันกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรือผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการ ผู้ขายจะปฏิเสธไม่ส่งสินค้าหรือไม่ขายสินค้าให้ไม่ได้ และเช่นเดียวกันกับการบริการ ความช่วยเหลือจากทนายความ คุณสามารถเลือกที่จะปรึกษาทนายความได้ในกรณีที่คุณต้องการความช่วยเหลือ ทนายความสามารถช่วยคุณได้โดยทำการตอบคำถามของคุณหรือให้ความช่วยเหลือในกระบวนการต่าง ๆ จะมีการเสนอตัวเลือกดังกล่าวไว้ให้คุณในตอนท้ายของเอกสาร แก้ไขแบบฟอร์มได้อย่างไร คุณกรอกแบบสอบถามสำหรับป้อนข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่าระบบของเราจะค่อย ๆ สร้างเอกสารขึ้นเองโดยอัตโนมัติตามคำตอบที่คุณกรอกเข้าไป |