ศิลปะและวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา Show
ปัจจัยหนึ่งที่จะก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม คือ สภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ของประชาชนพลเมือง วัฒนธรรมและประเพณีสมัยกรุงศรีอยุธยา วัฒนธรรมที่สำคัญมีดังนี้ ๒. กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ประเพณีสำคัญที่นับเป็นพระราชพิธีสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งควรจะนำมาระบุไว้ได้แก่ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค จากประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เป็นประเพณีที่จัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี และในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นยุคที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุด ทางราชการได้จัดกระบวนพยุหยาตราเต็มยศขึ้นเรียกว่า “กระบวนพยุหยาตราเพชรพวง “ ปรากฏว่าต้องใช้คนตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ คนเข้าริ้วกระบวน อันนับเป็นริ้วกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่ยิ่งใหญ่และมโหฬารที่สุด เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลของเราเล็งเห็นความสำคัญของการจัดกระบวนพยุหยาตรา ทางชลมารค ซึ่งกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่จัดให้มีขึ้นครั้งล่าสุด เมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ เท่ากับเป็นการรักษาประเพณีประจำชาติไว้โดยแท้
๓. ประเพณีเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบเอ็ดนี้ สมัยกรุงศรีอยุธยามีพิธีแผ่นดินที่สำคัญมากอยู่พิธีหนึ่ง คือพิธีแข่งเรือ เรือหลวงที่เข้าแข่งชื่อเรือสมรรถไชยของพระเจ้าอยู่หัว กับเรือไกรสรสุข ของสมเด็จพระมเหสี การแข่งเรือนี้ยังเป็นการเสี่ยงทายอีกด้วย คือถ้าเรือสมรรถไชยแพ้ก็แสดงว่าข้าวเหลือเกลืออิ่ม พลเมืองเป็นสุข ถ้าสมรรถไชยชนะ บ้านเมืองก็จะมีเรื่องเดือดร้อน ๔. ประเพณีเดือนสิบสอง ประเพณีลอยกระทงในเดือนสิบสองเป็นประเพณีที่ประชาชนไทยนิยมชื่นชมกันหนักหนา เพราะก่อให้เกิดความสุขการสุขใจเป็นพิเศษนั่นเอง ก่อนที่จะนำคำประพันธ์ของ นายมี ที่บรรยายถึงเดือนสิบสองมาลงไว้ประกอบเรื่องก็ใคร่จะเขียนเสนอท่านผู้อ่าน ให้ทราบว่าในเดือนสิบสอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีประเพณีพระราชพิธีอะไรบ้าง มี (๑) พระราชพิธีจองเปรียงตามประทีป (ชักโคม) ในพระราชวังแลตามบ้านเรือนทั้งในรพระนครและนอกพระนครทั่วกัน กำหนด ๑๕ วัน (๒) ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ โปรดให้ทำจุลกฐิน คือทอดผ้าให้เสร็จในวันเดียวแล้ว (เอาผ้าผืนนั้นพระราชทานกฐิน) ๕. ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีสงกรานต์แต่ละแห่งย่อมผิดแผกแตกต่างกันไป และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หากจะกล่าวถึงพระราชพิธีละแลงสุก(เถลิงศก) เมื่อสงกรานต์แทน (๑) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จไป สรงน้ำพระพุทธปฏิมากร ศรีสรรเพชญ์ พระพิฆเนศวร (๒) โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะเข้ามาสรงน้ำ รับพระราชทานอาหารบิณฑบาต จตุปัจจัยทาน ที่ในพระราชวังทั้ง ๓ วัน (๓) ทรงก่อพระเจดีย์ทรายที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ และมีการฉลองพระเจดีย์ทรายด้วย (๔) ตั้งโรงท่อทานเลี้ยงพระแลราษฎรซึ่งมาแต่จตุรทิศ มีเครื่องโภชนาอาหารคาวหวาน น้ำกิน น้ำอาบและยารักษาโรค พระราชทานทั้ง ๓ วัน ๖. ประเพณีการลงแขกทำนา ประเพณีลงแขกทำนานับเป็นประเพณีอีกประเพณีหนึ่งที่ชาวกรุงศรีอยุธยารักษาเอา ไว้ คือ เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าว ชาวนาก็ช่วยกันเก็บเกี่ยว ร้องรำทำเพลงกันไปบ้าง ได้ทั้งงานได้ทั้งความเบิกบานสำราญใจและไมตรีจิตมิตรภาพ ทุกวันนี้ก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ประเพณีนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง ความรักพวกพ้องของชาวกรุงศรีอยุธยา เป็นการปฏิบัติเข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า “ โบราณว่า ถ้าเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม” เท่ากับเป็นเครื่องยืนยันถึงลักษณะนิสัยใจคอของคนไทยในสมัยก่อนอีกกรณีหนึ่ง ๗. วัฒนธรรมทางวรรณกรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น กรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองมากที่สุดสุดจะพรรณนาให้จบสิ้นได้จะขอยกมากล่าวเฉพาะ วัฒนธรรมทางวรรณกรรมแต่อย่างเดียว ผู้เขียนวรรณกรรมสมัยเก่ามักจะขึ้นต้นเรื่องด้วยคำยกย่องพระเกียรติยศของพระ
มหากษัตริย์ไทย และสรรเสริญความงามความเจริญของเมืองไทย เช่น ลิลิตพระลอ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณคดีชิ้นเอก สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ และขุนช้างขุนแผน จัดเป็นวรรณกรรมที่มีความหมายเกี่ยวกับความเป็นระเบียบในการกินอยู่ ซึ่งนับเป็นความเจริญทางวัตถุ เช่นตอนชมเรือนขุนช้าง ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องในพระพุทธศาสนาเป็นส่วน ใหญ่ เนื่องจากมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก พระพุทธศาสนา ราษฎรส่วนใหญ่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างพระพุทธรูป เพื่อเป็นพุทธบูชา นอกจากศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อพระพุทธศาสนาแล้วยังมีศิลปะเพื่อการเฉลิมพระ เกียรติพระมหากษัตริย์
และศิลปะเพื่อรักษาพระราชอาณาเขตอีกด้วย เช่นพระบรมมหาราชวัง เครื่องราชูปโภคต่าง ๆ กำแพงเมือง และป้อมปราการต่าง ๆ รวมอยู่ด้วย ศิลปะในพระพุทธศาสนาหรือพุทธศิลป์ในระยะแรก ส่วนใหญ่รับอิทธิพลมาจากขอม จนถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงรับเอาศิลปะแบบสุโขทัยเข้ามาแทนที่ ศิลปะด้านต่าง ๆ มีดังนี้ ยุคที่ ๒ ตั้งแต่ สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จนสิ้นสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระบรมไตรโลกนาถเสด็จประทับที่พิษณุโลก บรรดาช่างหลวงจึงรับเอาศิลปนิยมแบบสุโขทัยมาเผยแพร่นิยมสร้างพระสถูปเป็น เจดีย์ทรงลังกาแบบสุโขทัย แต่ดัดแปลงให้สูงชะลูดกว่า อันเป็นลักษณะเฉพาะของเจดีย์สมัยอยุธยา เช่น เจดีย์ใหญ่ ๓ องค์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระเจดีย์ใหญ่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นต้น
ยุคที่ ๓ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จนสิ้นสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงปราบปรามเขมรสำเร็จจึงรับเอาวัฒนธรรมเขมรเข้ามา ลักษณะสถาปัตยกรรมในสมัยนี้จึงเป็นแบบอย่างตามขอมไม่ว่าจะเป็นปราสาทราชวัง หรือการสร้างวัดวาอาราม แต่นิยมทำกันเฉพาะสมัยพระเจ้าปราสาททองเท่านั้น นอกจากนี้ยังนิยมสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมหรือเจดีย์ไม้สิบสองขึ้นด้วย เช่น เจดีย์ที่วัดชุมพลนิกายาราม ที่บางประอิน เป็นต้น
ยุคที่ ๔ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสิ้นสุดสมัยอยุธยา ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นต้นมาไทยนิยมสร้างเจดีย์ไม้สิบสอง เช่น พระเจดีย์ใหญ่ วัดภูเขาทองที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงปฏิสังขรณ์ เป็นต้น นับเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของไทยแท้
๒. ประติมากรรม แถบภาคกลางของประเทศไทย ขอมเคยมีอำนาจอยู่ก่อนไทยจะตั้งอาณาจักรอยุธยา ฉะนั้นศิลปะแบบขอมหรือที่เรียกว่าแบบอู่ทอง จึงมีอิทธิพลในการสร้างพระพุทธรูปของไทย ในระยะแรกด้วยเหตุนี้พระพุทธรูปที่สร้างในสมัยเจ้าสามพระยา จึงเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง ๓. จิตรกรรม จิตรกรรมไทยเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน ภาพจิตรกรรมมักเป็นภาพพุทธประวัติและชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น เรื่องไตรภูมิ ในระยะแรกจิตรกรรมสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากศิลปะลพบุรี ศิลปะสุโขทัย และศิลปะลังกาปะปนกัน บางภาพจึงมีลักษณะแข็งและหนักสีที่ใช้มี ๓ สี คือ สีดำ สีขาว และสีแดง มีการปิดทองบ้างเพียงเล็กน้อย วิธีการระบายสี ใช้ระบายพื้นด้วยสีแดงอ่อน สลับสีแดงแก่ ใช้สีดำ สีขาว และทองเข้าช่วยให้ภาพมีสีชัดยิ่งขึ้น ต่อมาสมัยอยุธยาตอนกลางศิลปะสุโขทัยมีอิทธิพลมากขึ้น ภาพจะระบายด้วยสีหลายสี จนถึงสมัยอยุธยาตอนปลายจึงมีลักษณะเป็นจิตรกรรมไทยบริสุทธิ์ นิยมใช้สีหลายสีปิดบนรูปและลวดลาย ๔. ประณีตศิลป์ งานประณีตศิลป์สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีความเจริญถึงขีดสุดเหนือกว่าศิลปะแบบอื่น ๆ และเป็นมรดกตกทอดต่อมา คือ
๕. ดนตรีและนาฏศิลป์ ดนตรีและนาฏศิลป์สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีวิวัฒนาการสืบต่อมาจากสมัยเดิม ดังนี้ ๖. วรรณศิลป์ คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือ หรือศิลปะในทางวรรณกรรม หนังสือ
หรือวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดีถึงขั้นเป็นวรรณคดี สมัยอยุธยามีมากและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันสูงค่าอย่างหนึ่งของชาวไทย อยุธยามียุคทองของวรรณคดี ๒ สมัยด้วยกัน คือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้ประพันธ์วรรณคดี ส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา วีรกรรมของพระมหากษัตริย์ ความรัก และความสวยงามของธรรมชาติ วรรณคดีที่สำคัญในสมัยอยุธยา ได้แก่ จิตรกรรมในสมัยอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะใด *จิตรกรรมสมัยอยุธยา คือจิตรกรรมไทยประเพณีที่มีอายุเริ่มตั้งแต่การสถาปนากรุงศรีอยุธยา ขึ้นเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 1893 จนถึง พ.ศ. 2310 ลักษณะงานมีรูปแบบ องค์ประกอบ เทคนิค และ วัฒนธรรม ตามแบบจิตรกรรมไทยประเพณีภาคกลางที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย จีน เขมร และอิทธิพล
ศิลปะอยุธยาตอนปลายได้รับอิทธิพลจากศิลปะใด *ศิลปะอยุธยาตอนปลายสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2172 จนสิ้นสมัยอยุธยาใน พ.ศ. 2310เป็นช่วงเวลาที่ศิลปะเขมรเข้ามามีอิทธิพลอีกครั้ง เช่น ปรางค์ประธานวัดไชยวัฒนารามปราสาทพระนครหลวง นอกจากนี้ยังนิยมสร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมอยุธยา
การสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของชาวไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากอะไรชาวกรุงศรีอยุธยานับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ แต่ได้รับอิทธิพลขอม ศาสนาพราหมณ์ ที่แพร่หลายอยู่ก่อนหน้าการเข้ามาของ พุทธศาสนาอยู่มาก การผสมผสานกันของพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จึงเป็นลักษณะสำคัญของศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นใน ศิลปกรรมต่างๆ ได้แก่ งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ภาษาและวรรณคดี และ ...
ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายมีลักษณะอย่างไรระยะที่สาม ศิลปะอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ.2173 - 2310) เป็นศิลปะที่แสดงลักษณะเฉพาะอย่างเด่นชัดเป็นต้นแบบศิลปะให้กับศิลปะรัตนโกสินทร์ ศิลปะอยุธยาทั้งสามระยะส่วนมากเป็นศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับศิลปสุโขทัย
|