ภาวะความผิดปกติของลิ้นหัวใจแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ลิ้นหัวใจตีบ และลิ้นหัวใจรั่ว โดยสามารถเกิดขึ้นได้กับลิ้นหัวใจทั้ง 4 ลิ้น ซึ่งภาวะนี้ไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแต่ก็ไม่รุนแรง และจะแสดงอาการรุนแรงเมื่ออายุประมาณ 40 - 50 ปี จนทำให้ผู้ป่วยเจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียมากขึ้น เกือบๆ จะทุกการเคลื่อนไหว จำเป็นต้องรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา หากอาการยังไม่รุนแรงแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาและนัดติดตามอาการเป็นระยะ แต่ถ้าอาการรุนแรงและเข้ารับการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจแล้วก็ยังไม่เป็นผล หรือผู้ป่วยมีภาวะลิ้นหัวใจเสื่อมหรือเสียมาก จนไม่สามารถกลับมาทำงานตามเดิมได้อีก ก็จำเป็นต้องได้รับ “การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ” (Valve Replacement) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม Show
ลิ้นหัวใจเป็นอย่างไรลิ้นหัวใจมีทั้งหมด 4 ลิ้น ประกอบด้วย ลิ้นหัวใจไตรคัสปิด (Tricuspid valve), ลิ้นหัวใจพัลโมนิค (Pulmonic valve), ลิ้นหัวใจไมตรัล (Mitral valve) และ ลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดใน 4 ห้องหัวใจ ให้เป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้องและไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ หากลิ้นหัวใจชำรุด เสื่อมสภาพ หรือมีโรคที่รบกวนการทำงานของลิ้นหัวใจจนเกิดความผิดปกติ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนเกิดภาวะต่างๆ ทั้ง หัวใจโต เลือดคั่งในหัวใจ เลือดคั่งในปอด ตามมาได้ บางรายก็อาจเสียชีวิตได้เนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจมาแต่กำเนิด ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเสื่อมไวกว่าคนทั่วไป โดยอาจไม่มีอาการใดๆ ในวัยเด็ก หรือตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์ แต่จะเริ่มเหนื่อยง่าย ใจสั่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ ลิ้นหัวใจเสื่อมตามอายุ มักพบในวัยผู้สูงอายุ โรคหัวใจรูมาติก มักพบในเด็กอายุ 5 ขวบขึ้นไป โรคลิ้นหัวใจรั่วจากการติดเชื้อ และภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายและเกิดลิ้นหัวใจรั่วตามมา การรักษาโรคลิ้นหัวใจผู้ป่วยที่มีอาการลิ้นหัวใจไม่รุนแรง ชำรุดเพียงเล็กน้อย หรือปานกลาง แพทย์จะแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวและเฝ้าระวังติดตามอาการ และจะรักษาด้วยการให้ยาขับปัสสาวะเพื่อช่วยเสริมการทำงานของหัวใจให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก มีลิ้นหัวใจรั่วมาก จนกระทั่งกล้ามเนื้อที่พยุงการปิด-เปิด ลิ้นหัวใจเกิดการหย่อนยาน ปูด หรือหนา แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจ (Valve Repair) แก้ไขส่วนที่เสียหายของลิ้นหัวใจ แต่ถ้าอาการรุนแรง และเข้ารับการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจแล้วก็ยังไม่เป็นผล หรือผู้ป่วยมีภาวะลิ้นหัวใจเสื่อมหรือเสียมาก จนไม่สามารถกลับมาทำงานตามเดิมได้อีก ก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valve Replacement) ใหม่ ด้วยการเอาลิ้นหัวใจที่เสียหายออก และนำลิ้นหัวใจเทียมใส่เข้าไปแทน การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valve Replacement) เป็นการผ่าตัดแบบวิธีมาตรฐาน คือ การเปิดแผลผ่าตัดกึ่งกลางหน้าอก เป็นการรักษาโรคลิ้นหัวใจผิดปกติ ในกรณีพยาธิสภาพของลิ้นหัวใจสูญเสีย หรือเสื่อมสภาพไปมากแล้ว เช่น ฉีกขาดมาก หรือมีหินปูนเกาะ ทำให้ศัลยแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดโดยการซ่อมแซมลิ้นหัวใจเดิมของผู้ป่วยได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ ด้วยการเอาลิ้นหัวใจที่เสียหายออก และนำลิ้นหัวใจเทียมใส่เข้าไปแทน ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบธรรมชาติที่ได้จากเนื้อเยื่อของหัวใจวัว หรือเนื้อเยื่อหัวใจหมู และลิ้นหัวใจเทียมจากสารสังเคราะห์ โลหะ โดยอายุของลิ้นหัวใจใหม่นี้จะอยู่ที่ประมาณ 10 ถึง 15 ปี ควบคู่กับการรับประทานยาเพื่อป้องกันเลือดแข็งตัว เตรียมตัวอย่างไรก่อนการผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจผู้ป่วยจะได้รับยาสลบ เพื่อทำให้หลับไปตลอดการผ่าตัดโดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะทำให้หัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ มีการใช้เครื่องบายพาสหัวใจและปอดทำงานแทนหัวใจจริง จากนั้นศัลยแพทย์ทางด้านหัวใจจะทำการผ่าตัดเปิดหน้าอก และนำลิ้นหัวใจที่เสียหายออก แล้วนำลิ้นหัวใจใหม่ใส่เข้าไปแทน เมื่อผ่าเปลี่ยนลิ้นหัวใจเสร็จ แพทย์จะทำให้หัวใจของผู้ป่วยกลับมาเต้นอีกครั้ง หลังจากนั้นจะซ่อมแซมกระดูกสันอก ก่อนทำการปิดปากแผลที่หน้าอก โดยเวลาในการทำการผ่าตัดเฉลี่ยประมาณ 4 ชม. เมื่อทำหัตถการเปลี่ยนลิ้นหัวใจแล้ว แพทย์อาจใช้การใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ตรวจดูการทำงานของลิ้นหัวใจใหม่ว่าทำงานได้อย่างเหมาะสมแล้วหรือไม่ การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยเปิดแผลผ่าตัดกึ่งกลางหน้าอก สามารถทำหัตถการอื่นร่วมด้วย เช่น การผ่าตัดลิ้นหัวใจร่วมกับการทำบายพาสหัวใจ หรือการผ่าตัดลิ้นหัวใจร่วมกับการเปลี่ยนเส้นเลือดแดงใหญ่ เป็นต้น ทำความรู้จักการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ใครบ้างที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด มีความเสี่ยงไหม ต้องเตรียมตัวอย่างไร หลังการผ่าตัดต้องดูแลตัวเองอย่างไร เผยแพร่ครั้งแรก 22 เม.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 24 ก.พ. 2020 เวลาอ่านประมาณ 11 นาทีแชร์บทความนี้ เรื่องควรรู้ ขยาย ปิด
การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจมีขึ้นเพื่อรักษาโรค หรือการบาดเจ็บที่ลิ้นหัวใจ โดยกระบวนการอาจมีการผ่าตัดหัวใจร่วมด้วย ทำความรู้จักลิ้นหัวใจหัวใจของมนุษย์มีอยู่ 4 ห้อง ทั้งนี้ 2 ห้องข้างบนจะมีขนาดเล็กเรียกว่า “อะเทรีย” ส่วน 2 ห้องข้างล่างจะมีขนาดใหญ่ เรียกว่า “เวนทริเคิล” เวนทริเคิลแต่ละห้องจะมีลิ้นหัวใจอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท กด
ลิ้นหัวใจสร้างจากเนื้อเยื่อที่เปิด-ปิดได้ โดยจะเปิดให้เลือดไหลเข้าไปในหัวใจเพื่อสูบฉีดไปทั่วร่างกาย และจะปิดเพื่อหยุดการรั่วไหลของเลือดกลับไปสู่หัวใจ (ลิ้นหัวใจจะสามารถเปิดได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น) ลิ้นหัวใจที่อยู่ช่องเวนทริเคิลซ้ายจะควบคุมการไหลเวียนของเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงเส้นเลือดแดงหลักของร่างกาย หรือเรียกว่า “เอออร์ต้า” นั่นเอง ทำไมจึงต้องมีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ?
หากลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เกิดอะไรขึ้นระหว่างการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ?
ความเสี่ยงในการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ บางอาการอาจส่งผลถึงชีวิต โดยผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดประเภทนี้ 1 ใน 50 คนจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดไม่นาน แต่ภาวะลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ้นหัวใจตีบนั้น เป็นความผิดปกติซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่แล้วหากไม่ยอมรับการรักษา นั่นทำให้แพทย์ต้องทำการเปรียบเทียบประโยชน์กับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดอย่างถี่ถ้วน แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท กด หากไม่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ มีวิธีรักษาอื่นๆ อีกไหม?แม้ว่า การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเป็นหัตถการรักษาภาวะของลิ้นหัวใจที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่หากร่างกายผู้ป่วยอ่อนแอเกินกว่าจะทนรับการผ่าตัดหัวใจได้ แพทย์อาจแนะนำวิธีรักษาแบบอื่นๆ ให้ วิธีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจแบบอื่นๆ มีดังต่อไปนี้
ทำไมจึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ?การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจจะจำเป็นอย่างมาก หากลิ้นหัวใจของคุณมีภาวะตีบ เกิดการรั่วไหล หรือมีสภาวะที่ส่งผลต่อลิ้นหัวใจ เรียกกันว่า “โรคลิ้นหัวใจ” ทำความรู้จักโรคลิ้นหัวใจโรคลิ้นหัวใจสามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ เป็นมาตั้งแต่เกิดกับเกิดจากสาเหตุอื่นๆ สาเหตุทั่วไปที่ก่อให้เกิดโรคลิ้นหัวใจ1. ความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เกี่ยวข้องกับอายุ อายุเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคลิ้นหัวใจเพราะเป็นการเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นตามอายุขัยของร่างกาย แคลเซียมจะเข้าไปเกาะสะสมบนลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิด-ปิดยาก กรณีนี้มักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 70 ถึง 80 ปีขึ้นไป แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ ตรวจหัวใจและหลอดเลือดวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 671 บาท ลดสูงสุด 5096 บาทจองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม! กด 2. ภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกมี 2 ชั้น เป็นภาวะผิดปกติของลิ้นหัวใจที่พบได้บ่อยที่สุด ปกติแล้วจะมีลิ้นเอออร์ติก 3 ชั้น (มีหน้าที่เป็นประตูให้เลือดไหลผ่าน) แต่ผู้ป่วยภาวะนี้จะเกิดมีลิ้นเอออร์ติกเพียง 2 ชั้น ผู้ที่มีภาวะผิดปกตินี้ลิ้นหัวใจยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่มักจะเริ่มแสดงอาการเมื่อมีอายุ 50 หรือ 60 ปีขึ้นไปแล้ว 3. ผลพวงจากภาวะโรคอื่นๆ ภาวะทางสุขภาพหลายอย่างส่งผลไปยังลิ้นหัวใจ และก่อให้เกิดโรคลิ้นหัวใจได้ เช่น
อาการของโรคลิ้นหัวใจโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกระยะแรกจะไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าจะพัฒนาไปเป็นระยะท้ายๆ แล้ว อาการที่รู้สึกได้จะเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเต็มที่
การทดสอบความผิดปกติของลิ้นหัวใจหากแพทย์สงสัยว่า ผู้ป่วยอาจมีปัญหาที่ลิ้นหัวใจ แพทย์จะส่งผู้ป่วยไปตรวจกับหทัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจโดยตรง หทัยแพทย์จะใช้การทดสอบต่างๆ เพื่อทำให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำมากยิ่งขึ้น การทดสอบที่หทัยแพทย์จะใช้เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของลิ้นหัวใจ มีดังนี้
จะเริ่มการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเมื่อใด?หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจนัดมาตรวจสอบความทรุดโทรมของลิ้นหัวใจทุกๆ ปี แต่หากอาการรุนแรง แพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เนื่องจากหากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงต่อร่างกายอย่างมาก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่หัวใจของผู้ป่วยจะหยุดเต้นกะทันหันอีกด้วย การเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
กระบวนการเตรียมความพร้อมนี้มักจะให้ผู้ป่วยพักที่โรงพยาบาลล่วงหน้าการผ่าตัดประมาณ 5-7 วัน เพื่อให้เข้าใจและรับมือกับหลักกระบวนการทั้งหมดได้ ลิ้นหัวใจที่ถูกนำมาเปลี่ยนเป็นแบบไหน?ลิ้นหัวใจที่จะนำมาเปลี่ยนมี 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่
โดยทั่วไป หากผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่า 60 ปี แพทย์จะแนะนำให้ใช้ลิ้นหัวใจเทียม แต่หากมีอายุเกิน 60 ปี แพทย์จะแนะนำให้ใช้ลิ้นชีวภาพแทน ข้อดีข้อเสียระหว่างลิ้นหัวใจเทียมกับลิ้นหัวใจชีวภาพ1. ลิ้นหัวใจเทียม ข้อดี: ลิ้นหัวใจเทียมมีอายุการใช้งานยาวนานและคงทนอย่างมาก ข้อเสีย: มีโอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดเกาะบนพื้นผิวของลิ้นเทียมได้ นอกจากนี้ยังต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดไปตลอดชีวิต การเกิดลิ่มเลือดอาจก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ นอกจากนี้ลิ้นหัวใจเทียมจะส่งเสียงคลิ๊กออกมาเป็นบางครั้ง ในช่วงแรกอาจจะรู้สึกกังวล แต่มักจะเริ่มชินในเวลาไม่นาน 2. ลิ้นหัวใจชีวภาพ ข้อดี: มีความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดน้อยกว่าลิ้นหัวใจเทียม จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด นอกจากผู้ป่วยต้องรับประทานยาตัวนี้เนื่องจากสาเหตุอื่น ข้อเสีย: มีอายุการใช้งานไม่นานจึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุน้อย หรือผู้ที่ชอบออกแรง เพราะอาจทำให้ต้องมีการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจบ่อยครั้ง การพักฟื้นหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ จะส่งตัวผู้ป่วยจะเข้าห้อง ICU เพื่อใช้งานระบบสอดส่องกิจกรรมของหัวใจ ปอด และระบบอื่นๆ ของร่างกายเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง นอกจากนี้ผู้ป่วยยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดการพักฟื้น 5 ข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับการพักฟื้นหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ1. เครื่องช่วยหายใจ เครื่องช่วยหายใจเป็นเครื่องที่มีหน้าที่ควบคุมการหายใจให้แก่ผู้ป่วยแบบอัตโนมัติ ทำงานโดยการสับเปลี่ยนอากาศที่เต็มไปด้วยออกซิเจนให้เข้า-ออกปอด ผ่านท่อที่เรียกว่า "ท่อหลอดคอ (tracheal tube)" ที่สอดเข้าช่องปาก หรือจมูก ในขณะที่ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยจะไม่สามารถพูด หรือดื่มอะไรได้ และอาจรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวบ้าง หากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นจนทีมรักษาลงความเห็นว่า สามารถทำการหายใจโดยไม่ต้องมีตัวช่วยใดๆ แล้ว ทีมรักษาจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกและสวมใส่หน้ากากครอบปากและจมูกที่ปล่อยออกซิเจนให้แก่แทน 2. ความเจ็บปวด เช่นเดียวกับกระบวนการผ่าตัดประเภทอื่น ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกไม่สบายตัวบ้าง โดยขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหลังฤทธิ์ยาระงับประสาทหมดลง หากผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ แพทย์จะแนะนำการใช้ยาแก้ปวดให้ ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ผ่านการผ่าตัด อาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นตามแผลที่หายดีตามลำดับ 3. การย้ายไปรักษาต่อที่หอผู้ป่วย เมื่อทีมรักษาลงความเห็นว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้นจะให้ย้ายจาก ICU ไปยังหอผู้ป่วยผ่าตัด หรืออาจส่งไปแผนกดูแลอย่างใกล้ชิด (High Dependency Unit: HDU) สำหรับผู้ป่วยที่ยังต้องมีการจับตาดูสภาวะต่างๆ หลังการผ่าตัดอยู่ โดยผู้ป่วยจะยังคงมีท่อและสายต่างๆ ติดกับตัวอยู่ ได้แก่
ทีมรักษาจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มความอยากอาหารของผู้ป่วยและการทำให้ฟื้นตัวเร็วที่สุด โดยผู้ป่วยจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หลังการผ่าตัดประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับอัตราการฟื้นตัว นอกจากนี้อาจมีทีมเวชกรรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือนักกายภาพเข้ามาช่วยเหลือผู้ป่วย ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ทีมเวชกรรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือนักกายภาพ จะช่วยแนะนำแนวทางฟื้นฟูตนเองให้กลับเป็นปกติ และโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพหัวใจหลังการผ่านตัด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลต่อปัญหาของหัวใจในอนาคต 4. เวลาในการฟื้นตัว ระยะการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจจะแตกต่างกันไปตามบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพองค์รวมและความแข็งแรงของผูู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด กระดูกสันอกมักจะใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ในการฟื้นตัวจนหายดี และกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกหายดีเป็นปกติสมบูรณ์ทั้งหมดอาจใช้เวลามากถึง 2-3 เดือน 5. การกลับบ้าน ผู้ป่วยควรเตรียมตัวรับมือกับอาการที่อาจต้องประสบหลังจากนี้ โชคดีที่มักมีความรุนแรงไม่มากและมีระยะเวลาไม่นาน
6. การดูแลบาดแผล การผ่าตัดเปิดช่องอกจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ซึ่งแผลเป็นจะมีสีแดงในช่วงแรก และจะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้หลังจากแพทย์ถอดสายกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจากตัวแล้ว ระหว่างนั้นจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงน้ำร้อน หรือแช่ในอ่างน้ำจนกว่ารอยแผลจะหายดีแล้ว ควรล้างรอยแผลด้วยน้ำสบู่อ่อนขณะที่อาบน้ำ ในช่วงหนึ่งปีแรกหลังจากผ่าตัด ผู้ป่วยควรปกปิดรอยแผลจากแสงอาทิตย์เพื่อไม่ให้รอยแผลมีสีคล้ำ และต้องไปพบแพทย์ทันทีหากว่า
หากระหว่างขั้นตอนการเย็บปากแผลกรีดหน้าอก หากแพทย์ใช้ไหมเย็บแผลที่สามารถละลายได้ วัสดุดังกล่าวจะสลายไปภายในเวลา 3 สัปดาห์ แต่หากใช้วัสดุเย็บแผลอื่นๆ แพทย์จะนัดหมายล่วงหน้าเพื่อตัดไหมออกภายหลัง ความเสี่ยงหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นหลายอย่าง ส่วนมากมักเกิดขึ้นได้ยาก ภาวะข้างเคียงที่เป็นไปได้มีดังนี้
ในบางกรณี ภาวะข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีความอันตรายอย่างมาก ข้อมูลวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า "ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจประมาณ 2% จะเสียชีวิตในช่วง 30 วันแรกหลังการผ่าตัด" แพทย์สรุปไว้ว่า ความเสี่ยงดังกล่าวมีน้อยกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหากไม่ทำการรักษากับภาวะทางหัวใจเสียอีก ทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเป็นกระบวนการรักษาที่นับว่า "มีประสิทธิภาพที่สุดอยู่ดี" สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตหลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ1. การมีเพศสัมพันธ์หลังการผ่าตัดหัวใจ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยล้าและหายใจลำบากมากขึ้น นั่นย่อมส่งผลต่อชีวิตคู่ของผู้ป่วยแน่นอน แต่หลังจากนั้น เมื่อร่างกายฟื้นตัวอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันทีที่พร้อม แต่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงท่าที่มีความเสี่ยง หรือท่าที่ต้องออกแรงเยอะ เพื่อไม่ให้กระทบกับบาดแผลผ่าตัด สำหรับบางคน ประสบการณ์การป่วยหนักอาจส่งผลต่อความรู้สึกทางเพศด้วย โดยเฉพาะผู้ชายที่ความเครียดทางอารมณ์สามารถส่งผลไปสู่การเสื่อมสมรรถนะทางเพศได้ หากผู้ป่วยกังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็สามารถปรึกษากับคู่สมรส กลุ่มช่วยเหลือ หรือแพทย์ประจำตัวได้ 2. การขับรถหลังการผ่าตัด หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถเดินทางด้วยการนั่งรถได้ แต่แพทย์จะห้ามไม่ให้ผู้ป่วยขับรถจนกว่าเวลาจะผ่านไป 6 สัปดาห์นับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาล 3. การกลับไปทำงาน การกลับไปทำงานขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่ผู้ป่วยทำอยู่ หากไม่มั่นใจให้ปรึกษา หรือสอบถามกับศัลยแพทย์ก่อน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะสามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้หลังจากการพักฟื้น 6-8 สัปดาห์ นับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาล แต่หากเป็นงานประเภทแรงงานควรใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อย 3 เดือนก่อนจะกลับไปทำงาน ซึ่งต้องปรึกษาหารือกับผู้ดูแล หรือแผนกสุขภาพที่ทำงานของผู้ป่วยในเรื่องนี้ด้วย หลังผ่าตัดลิ้นหัวใจแล้ว นอกจากวินัยในการไปพบแพทย์ตามนัดแล้ว ใช่ยาตามที่แพทย์สั่งแล้ว ผู้ป่วยยังควรปรับการใช้ชีวิตใหม่ เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงการรับประทานของมัน ของทอด อาหารไขมันสูง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก หลีกเลี่ยงความเครียด รวมทั้งการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เพื่อให้หัวใจมีความแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น ดูแพ็กเกจตรวจหัวใจ ตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android 6 แหล่งข้อมูล กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่ Webmd.com, Heart-valve-surgery (https://www.webmd.com/heart-disease/aortic-valve-replacement-surgery), 17 December 2019. NHS.UK, Heart-valve-surgery (https://www.nhs.uk//conditions/aortic-valve-replacement/what-happens/), 17 December 2019. Medlineplus.gov, Heart-valve-surgery (https://medlineplus.gov/ency/article/002954.htm), 17 December 2019. Mayoclinic.org, Heart-valve-surgery (https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/heart-valve-surgery/about/pac-20384901), 16 December 2019. Hopkinsmedicine.org, Heart-valve-surgery (https://www.hopkinsmedicine.org/health/treatment-tests-and-therapies/heart-valve-repair-or-replacement-surgery), 17 December 2019. British Heart Foundation, Heart Valve Surgery (https://www.bhf.org.uk/informationsupport/treatments/valve-heart-surgery), 16 December 2019. ดูแหล่งข้อมูลเพิ่มบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7 ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน |