Apple เริ่มนำเทคโนโลยีชาร์จเร็วมาใช้กับ iPhone ในปี 2017 แต่ไม่ได้แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็วมาให้ในกล่อง ยกเว้น iPhone 11 Pro กับ iPhone 11 Pro Max ซึ่งหมายความว่า เจ้าของ iPhone รุ่นอื่นๆ ที่สนับสนุนการชาร์จเร็ว ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ชาร์จเร็วเพิ่มเติมจาก Apple หรืออาจเลือกซื้ออุปกรณ์ชาร์จเร็วจากผู้ผลิตบุคคลที่สาม iPhone SE รุ่นที่ 2, iPhone 11, และ iPhone XR รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วเช่นเดียวกัน โดยใช้โปรโตคอลการชาร์จ USB-Power Delivery ที่มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 18W สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ iPhone ส่วนใหญ่จากระดับ 0 – 50% ในเวลาเพียง 30 นาที แต่หลังจากนั้นอาจใช้เวลาราว 75 นาที เพื่อชาร์จจนเต็ม 100% แต่ก็ยังไวกว่าอุปกรณ์ชาร์จ 5W ที่แถมมาให้ในกล่อง อุปกรณ์ชาร์จเร็วที่ดีที่สุดสำหรับ iPhoneนอกจาก iPhone 11 Pro Series เจ้าของ iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone X, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, iPhone 11 และ iPhone SE รุ่นที่ 2 ต้องซื้ออุปกรณ์ชาร์จเร็วแยกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่า Apple วางขายด้วย แต่ถ้าต้องการประหยัดเงิน ต่อไปนี้คืออุปกรณ์ชาร์จเร็วจากผู้ผลิตบุคคลที่สามที่มีประสิทธิภาพเหมือนกัน
อุปกรณ์ชาร์จเร็วข้างต้น จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับสายเคเบิล USB-C to Lightning ซึ่งหาซื้อได้จากร้านค้าของ Apple หรือตามรายการด้านล่าง
นอกจากนี้ ผู้ใช้งาน iPhone ที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวอยู่เป็นประจำ อาจจะสนใจอุปกรณ์ชาร์จ iPhone ในรถยนต์เหล่านี้ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทราบว่าไอโฟนของเรานั้น สามารถรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกระแสไฟฟ้าสูงสุดกี่วัตต์ เพราะว่าไอโฟนแต่ละรุ่นนั้น รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุด ในการชาร์จแบตเตอรี่ไม่เท่ากัน เหตุผลที่เราต้องเลือกซื้อหัวชาร์จไอโฟน จากจำนวนวัตต์ที่เหมาะสม นั่นก็เป็นเพราะว่า หากเราทำการซื้อหัวชาร์จไอโฟนรุ่นเก่า ที่สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดเพียงแค่ 10W มาใช้งาน แต่ iPhone 13 Pro Max ของเรานั้นมีสเปคที่สามารถรองรับการชาร์จเร็วเทคโนโลยี Power Delivery ด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 27W นั่นทำให้กำลังไฟฟ้าหายไปถึง 17 วัตต์เลยทีเดียว การชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มจึงใช้เวลาในการชาร์จนานเมื่อเทียบกับการใช้หัวชาร์จไอโฟน ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงกว่าหรือเท่ากับ 27W นั่นเอง ทีนี้เพื่อนๆ อาจจะสงสัยกันแล้วใช่มั้ยครับ ว่า ไอโฟน iPhone 11 ชาร์จ 20W ได้ไหม หรือรุ่นต่างๆ ที่ใช้นั้นรองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดเท่าไหร่กัน เพื่อที่จะได้ใช้งานร่วมกับหัวชาร์จไอโฟนของเรา ซึ่งเราได้รวบรวมข้อมูลมาให้ทราบแล้วครับ
ส่วนการนำหัวชาร์จไอโฟน ที่สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดมากกว่า 27W มาใช้งานให้แก่ ไอโฟน 13 เช่น หัวชาร์จไอโฟน 60W หรือมากกว่านั้น ก็สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้เช่นเดียวกัน จากการทดสอบแล้ว กระแสไฟสูงสุดที่ iPhone 13 Pro Max สามารถรองรับได้ อยู่ที่ 27W ส่วน iPhone 13 Pro, iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะรองรับที่ประมาณ 23W ซึ่งเมื่อเพื่อนๆ ทราบว่าไอโฟน รุ่นที่เราใช้งานอยู่นั้นรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่กี่วัตต์ ก็จะเป็นหนึ่งในข้อมูลที่จะช่วยให้การเลือกซื้อหัวชาร์จไอโฟน หรืออะแดปเตอร์ iPhone ให้ง่ายดายยิ่งขึ้นไปอีก โดยการตรวจสอบเบื้องต้นว่าหัวชาร์จ iPhone รุ่นนั้นรองรับเทคโนโลยี Power Delivery หรือไม่ สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดกี่วัตต์ เพียงแค่นี้ การเลือกซื้อหัวชาร์จไอโฟนของเรา ก็ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ ครับ iPhone SE (2020) ที่เปิดตัวมานั้นรองรับการชาร์จที่กำลังไฟสูงสุดที่ 18W แต่ก็แกะกล่องมาพร้อมกับอะแดปเตอร์เพียง 5W เช่นกัน โดยทางเว็บไซต์ PhoneArena ได้ทำการทดสอบให้เราได้ทราบกันว่าเราควรเสียเงินซื้ออะแดปเตอร์ 18W มาหรือไม่ iPhone SE (2020) กับอะแดปเตอร์ 5W
iPhone SE (2020) กับอะแดปเตอร์ 18W
ถ้ามาเทียบกันแล้วอะแดปเตอร์ 18W นั้นจะมีความเร็วในการชาร์จช่วงแรกอย่างมากครับ ใช้เวลา 30 นาทีได้มา 55% จนถึงแบตเตอรี่ประมาณ 80% ก็จะลดกำลังไฟลงเพื่อป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม โดยอะแดปเตอร์ 5W นั้นชาร์จ 30 นาทีแรกได้เพียงแค่ 28% เท่านั้น ที่มา : PhoneArena Related Topics:AppleiPhone SE 2020 Up Next เตรียมทำใจ iOS 14 อาจไม่รองรับ iPhone SE, iPhone 6s และ iPhone 6s Plus Don't Miss ลือ! iPad Pro รุ่นรองรับ 5G อาจเปิดตัวปลายปี หลังชิป A14X มีแผนเผยโฉมภายในปีนี้ Advertisement You may like
|