บางคนอาจจะเลือกความเสี่ยงมาก ๆ เพื่อลุ้นเอากำไรเยอะ เพราะเคยได้ยินประโยคคลาสสิกมาว่า “High Risk High Return” Show ในขณะที่บางคนยอมได้ผลตอบแทนน้อย แลกกับความเสี่ยงที่ต่ำลงมา แล้วในทางทฤษฎีแล้ว ความเสี่ยงที่หุ้นทุกตัวต้องเผชิญ มีอะไรบ้าง ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง - ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) “ถ้าหากอยู่ในกระแสลมแรง แม้แต่หมูก็ยังบินได้” หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ ก็คือ ความเสี่ยงที่กระทบกับหุ้นทุกตัวในขณะนั้น ความเสี่ยงประเภทนี้ มักจะเป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจทั้งโลก หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญ แน่นอนว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2563 ก็เช่นกัน ในตอนนั้นดัชนี SET ของไทยร่วงจาก 1,473 จุด เหลือ 1,129 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกาก็ร่วงจาก 3,257 จุด เหลือ 2,305 จุด เรียกว่าในช่วงนั้น ไม่มีหุ้นตัวไหนที่หนีจาก “ความเสี่ยงด้านตลาด” ไปได้เลย นอกจากโรคระบาดแล้ว นโยบายทางการเงินและการปรับขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย จะเห็นได้จากตอนที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าจะทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หรือ QE และจะคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ดัชนี S&P 500 ก็เดินหน้าบวกต่อเนื่อง จาก 2,290 จุดในเดือนมีนาคม ขึ้นสู่ 4,605 จุดในเดือนตุลาคม หรือมากกว่า 100% ภายใน 7 เดือนเท่านั้น จนหลายคนถึงกับบอกว่า ในช่วง 7 เดือนนี้ เลือกหุ้นตัวไหนก็กำไรไปเสียหมด ถึงตรงนี้ หลายคนอาจมองย้อนไปที่พอร์ตการลงทุนของตัวเอง ที่เป็นแบบนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าความเสี่ยงอีกประเภท ที่มีชื่อว่า “ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ” ตัวอย่างความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ ก็เช่น Regulatory Risk หรือ “ความเสี่ยงจากนโยบายรัฐบาลที่กระทบกับบางธุรกิจ” อย่างที่เห็นชัดที่สุดในปี 2021 ก็คงเป็นตัวอย่างของประเทศจีน ที่มีนโยบายป้องกันการผูกขาด รวมถึงลงดาบปรับเงินบริษัทขนาดใหญ่ของจีนอย่างมหาศาล อีกตัวอย่างจากนโยบายรัฐบาลจีน ก็คือการออกกฎให้สถาบันกวดวิชา ในทางตรงกันข้าม หากเป็นนโยบายสนับสนุนธุรกิจ เช่น การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับธุรกิจพลังงานสะอาด หุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก พลังงานไฟฟ้า ก็อาจจะปรับตัวขึ้นได้ อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากความเสี่ยงจากนโยบายรัฐบาลแล้ว ตัวอย่างเช่น - ความเสี่ยงจากคู่แข่งทางธุรกิจ เช่น Meta เจ้าของ Facebook หรือ Netflix ที่ถูกแพลตฟอร์มน้องใหม่อย่าง TikTok เข้ามาแย่งเวลา และดึงความสนใจจากผู้ใช้งาน จนยอดผู้ใช้งานทั้ง Facebook และ Netflix มีการเติบโตชะลอตัวลง - หรือต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งวัตถุดิบและค่าจ้างพนักงาน เช่น Starbucks ที่แม้จะเป็นบริษัทที่มีอำนาจต่อรองสูง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านต้นทุนเมล็ดกาแฟที่เพิ่มขึ้นได้เลย ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงไม่นานมานี้ เกิดขึ้นกับ China Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio สูงถึง 5 เท่า จนนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนเสียความเชื่อมั่น และราคาหุ้นก็ร่วงไปถึง 90% จากจุดสูงสุด นอกจากนั้นแล้ว ความเสี่ยงด้านการเงินก็ยังครอบคลุมไปถึงการบริหารสภาพคล่องและกระแสเงินสดด้วย ซึ่งในช่วงวิกฤติโควิด 19 ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องกลายมาเป็นจุดวัดกึ๋นของแต่ละบริษัทเลยว่า ในวันที่บริษัทมีรายได้ลดลง แต่รายจ่ายยังคงมีอยู่ทุกวัน ผู้บริหารจะมีวิธีบริหารจัดการ ให้บริษัทผ่านวิกฤติไปได้อย่างไร โดยความเสี่ยงเหล่านี้ก็จะถูกนำมาประเมินสุขภาพด้านการเงิน ออกมาเป็นเครดิตเรตติงของบริษัท ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบนี้ จะเกิดขึ้นกับเฉพาะบางบริษัทเท่านั้น แล้วมีวิธีไหนบ้าง ที่เราจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ ? หนึ่งในวิธีที่ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้างก็คือ “การกระจายการลงทุน” การที่กระจายการลงทุน แล้วสามารถลดความเสี่ยงเฉพาะตัวได้ ก็เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ใดกระทบกับธุรกิจหนึ่ง มันก็จะไม่ได้ส่งผลกระทบกับอีกธุรกิจที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของเรา ทำให้ความเสี่ยงนั้นถูกจำกัดให้น้อยลงมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นของบริษัทที่ได้รับผลกระทบ ราคาลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่เราถือหุ้นตัวนั้นไม่ถึง 5% ของพอร์ต หุ้นตัวนั้นก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเรา มีมูลค่าลดลงไม่เกิน 2.5% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุน ต้องกระจายไปในธุรกิจที่ไม่สัมพันธ์กัน ไม่เช่นนั้นถ้าเราลงทุนในธุรกิจคล้ายกัน ก็จะพากันล้มหมด ถ้ามีเรื่องใดกระทบกับอุตสาหกรรมนั้น ความเสี่ยงของการลงทุนประกอบไปด้วยอะไรบ้างความเสี่ยง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ และความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) - เป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อตลาดทั้งระบบ มักจะเรียกอีกชื่อว่า Market Risk หรือ Undiversificable Risk เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถทำให้ลดลงได้จากการกระจายการลงทุน
ปัจจัยใดบ้างที่เป็นตัวกําหนดในการลงทุน3 ปัจจัยที่คุณต้องพิจารณา ก่อนลงทุน. เงินทุน หรือเงินต้นที่ใช้ในการลงทุน. อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน. ระยะเวลาที่ใช้ในการลงทุน. ความเสี่ยงของเงินทุน หมายถึงอะไรความเสี่ยงด้านเงินทุน: บริษัทอาจต้องการเงินทุนที่เกินจากทรัพยากรเงินสดที่มีอยู่เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายขีดความสามารถทางการตลาด และการเงินทั่วไปและกิจกรรมการบริหาร เนื่องจากสภาวะตลาดในขณะที่บริษัทต้องการเงินทุนเพิ่มเติม จึงเป็นไปได้ที่บริษัทจะไม่สามารถรับเงินทุนเพิ่มเติมเมื่อต้องการ ...
ความเสี่ยงและผลตอบแทนคืออะไรความหมายของความเสี่ยง
ความเสี่ยงในการลงทุน หมายถึง การที่อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับจริงคลาดเคลื่อนหรือ แตกต่างไปจากอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนคาดหวังว่าจะได้รับของเงินที่ได้ลงทุน ไม่ว่าผลตอบแทนนั้นจะ มากหรือน้อยกว่าความเป็นจริงก็ตาม
|