มนุษยสัมพันธ์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อริสโตเติลกล่าวไว้เช่นนี้ นักสังคมศาสตร์เชื่อเช่นนี้ บุคคลทั่วไปก็เชื่อเช่นนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะเกิดมาก็ตกอยู่ภายในแวดวงของบุคคลอื่นๆ อย่างน้อยก็มีแม่หนึ่งคน ต้องปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เรียกว่า มนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) พฤติกรรมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มีมากมาย สามารถแยกศึกษาเป็นแขนงหนึ่งในจิตวิทยา จิตวิทยาแขนงที่ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์นี้เรียกกันว่า จิตวิทยาสังคม (social Psychology) ความชอบพอระหว่างบุคคล ความชอบพอระหว่างบุคคลเป็นผลของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และมีผลกำหนดพฤติกรรมทางสังคมระหว่างกันในเวลาต่อมา มนุษย์มีความปรารถนาที่จะให้คนชอบทีจะให้คนเสน่หา เพราะความชอบและความเสน่หานี้ นอกจากจะตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของมนุษย์แล้ว ยังบังเกิดผลกรรมทางบวกอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย บุคคลทั่วไปทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพยายามใฝ่หาสิ่งเหล่านี้ การใฝ่หาแสดงออกในรูปพฤติกรรมต่างๆ ตั้งแต่พฤติกรรม แต่งตัวสวยงาม การเอาอกเอาใจ การประจบประแจง การเสาะหาพระเครื่องที่เชื่อว่าสามารถบันดาลให้ได้รับความเมตตาและความชอบพอ ตลอดจนการทำเสน่ห์ต่างๆ การวัดความชอบพอ ปัญหาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคนหนึ่งชอบพอเรามากน้อยแค่ไหนเป็นที่สนใจของทั้งนักจิตวิทยาสังคมและบุคคลทั่วไป ความชอบพอแสดงออกเป็นพฤติกรรม เราจึงสามารถวัดความชอบพอจากพฤติกรรม เช่นแจงนับจำนวนครั้งที่พูดคุยกัน แจงนับจำนวนครั้งที่สบตากันและยิ้มให้กัน สังเกตปฏิกิริยาเมื่อคนหนึ่งเข้าใกล้อีกคนหนึ่ง ฯลฯ นอกจากพฤติกรรมภายนอกดังกล่าวมานี้ หากเราต้องการทราบว่าใครชอบใครมากน้อยเพียงใด วิธีที่ตรงไปตรงมาอีกวิธีหนึ่งคือ การถาม หลายคนคงเคยถามคนอื่นหรือถูกคนอื่นถามว่า “คุณชอบผมไหม?” มาแล้ว นักจิตวิทยาได้พัฒนาวิธีถามเกี่ยวกับรื่องนี้หลายวิธี เช่น (1) การถามความรู้สึก การถามที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดคือ ให้ผู้ตอบเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งซึ่งตรงกับความรู้สึกของตนเองที่มีต่ออีกคนหนึ่ง ดังนี้ -ฉันรู้สึกจะชอบเขามาก -ฉันรู้สึกชอบเขา -ฉันรู้สึกค่อนข้างจะชอบเขา -ฉันรู้สึกเฉยๆ -ฉันรู้สึกค่อนข้างไม่ชอบเขา -ฉันรู้สึกไม่ชอบเขา -ฉันรู้สึกไม่ชอบเขามาก หากท่านผู้อ่านยังจำได้ การถามเช่นนี้แท้จริงคือการให้ผู้รับการทดสอบประมาณค่าความรู้สึกของตนเองนั่นเอง การถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากผู้ตอบตอบอย่างตรงไปตรงมาก็คงจะไม่มีปัญหา แต่ที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ก็คือการตอบที่บิดเบือนความจริง และการตอบที่เป็นเลศนัยให้ตีความเอาเอง (2) ความห่างทางสังคม แทนที่จะถามความรู้สึก เราอาจถามพฤติกรรมที่บุคคลหนึ่งจะเลือกกระทำกับอีกบุคคลหนึ่ง เช่นจะร่วมกิจกรรมกับเขาหรือไม่ จะไปเที่ยวกับเขาหรือไม่ จะชวนเขาไปบ้านหรือไม่ ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้แสดงความห่างทางสังคมไม่เท่ากัน เราอาจนำพฤติกรรมทางสังคมเหล่านี้มาจัดเรียงเป็นมาตรความห่างทางสังคม (Social Distance Scale) (3) สังคมมิติ เทคนิควัดความชอบพอและการยอมรับระหว่างกันที่ใช้กันแพร่หลายมากคือ สังคมมิติ (sociometry) วิธีการของสังคมมิติง่ายและตรงไปตรงมา ผู้ทดสอบให้ผู้รับการทดสอบจัดอันดับเพื่อนที่ชอบมากที่สุด หรือผู้ร่วมงานที่อยากทำงานร่วมกันมากที่สุดหรือผู้ ร่วมงานที่ไม่อยากทำงานร่วมกันมากที่สุด 2-3 อันดับ ต่อจากนั้นก็นำข้อมูลการเลือกนี้ไปวิเคราะห์ว่าใครถูกเลือกมากที่สุด ใครถูกเลือกน้อยที่สุด คู่ใดมีการเลือกระหว่างกัน และบุคคลต่างๆ ในกลุ่มเกาะกลุ่มกันอย่างไร ข้อมูลการเลือกนี้อาจนำมาแสดงเป็นแผนภูมิเรียกว่า แผนภูมิสังคม (sociogram) ดังแสดงในรูป 14.1 ในรูป 14.1 วงกลมแทนคน ลูกศรแทนการเลือกและทิศทางการเลือก เช่น ก เลือก ข แทนด้วย ก →ข และถ้าเลือกซึ่งกันและกันก็แทนด้วยลูกศรสองทางเช่น ก ↔ ซ จากรูปจะเห็นว่าผู้ที่มีคนชอบมากที่สุดคือ ง มีคนเลือกถึง 4 คน รองลงมาคือ ข และ จ ซึ่งมีคนเลือก 3 คน และผู้ที่มีคนชอบน้อยที่สุดในกลุ่มคือ ค ซึ่งไม่มีใครเลือกเลย แผนภูมิสังคม นอกจากจะแสดงความชอบพอระหว่างบุคคลในกลุ่มแล้ว ยังแสดงโครงสร้างของกลุ่มด้วย ในรูป 14.1 จะเห็นได้ว่า สมาชิกแตกเป็น 2 กลุ่มย่อย กลุ่มแรกมี ก ข ช และ ซ โดยมี ข เป็นศูนย์กลาง ส่วนกลุ่มสองมี ค ง จ และ ฉ โดยมี ง เป็นศูนย์กลาง ทั้งสองกลุ่มย่อยมีตัวเชื่อมซึ่งกันและกัน และตัวเชื่อมคู่หนึ่งก็เป็นการเชื่อมระหว่างหัวโจกของทั้งสองกลุ่มคือ ข และ ง
��¡���������ʹ��
��¡�������§
BibComment �ѧ����¶١��������
|