อาการปวดศีรษะตุบๆ บริเวณข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ มักปวดนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน สู้แสงหรือเสียงไม่ได้ร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการนำก่อนอาการปวดหัว โดยมักเห็นเป็นแสงวูบวาบ หรือมองเห็นภาพไม่ชัด Show ปวดหัวแบบไหนใช่ “ไมเกรน”
อาการปวดศีรษะมีลักษณะเหมือนถูกกด บีบ หรือรัดที่ศีรษะทั้งสองข้าง มักมีอาการเริ่มที่ท้ายทอย ร้าวไปขมับทั้งสองข้าง แล้วจึงปวดร้าวทั้งศีรษะ อาจจะมีอาการกดเจ็บที่หนังศีรษะร่วมด้วย มักมีอาการปวดตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป โดยมักพบในผู้ที่มีอาการเครียด โกรธ หรือเหนื่อย ระวัง! เครียดมาก เสี่ยงเป็นหลายโรค
มีอาการปวดศีรษะรุนแรงที่บริเวณรอบตา เบ้าตา หรือขมับข้างเดียวเท่านั้น รู้สึกร้อนแปล๊บๆ ที่หน้าผาก โดยมักมีอาการร่วมอื่นด้วยเสมอ เช่น น้ำตาไหล ตาข้างที่ปวดจะแดง คัดจมูก หูอื้อ หนังตาตกเนื่องจากความผิดปกติของสมอง ผู้ป่วยจะอาการปวดศีรษะเป็นชุดๆ อาจมีอาการหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์
ปวดศีรษะเนื่องจากโพรงจมูกติดเชื้อ มีอาการปวดแบบหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม และรอบกระบอกตา เนื่องจากโพรงจมูกติดเชื้อและน้ำมูกไหลออกมาไม่ได้ บางรายมีอาการปวดเมื่อก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า เมื่อมีอาการปวดหัว หลายคนมักนึกถึงการรับประทานยาแก้ปวดหัว แต่ความจริงแล้วมีวิธีแก้ปวดหัวหลายวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ เช่น นอนพักผ่อน ดื่มน้ำให้เพียงพอ หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้นโดยอาจไม่ต้องใช้ยาและไม่ต้องไปพบแพทย์ อาการปวดหัวเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยแต่ละคนอาจมีลักษณะอาการและความรุนแรงของอาการปวดหัวต่างกัน ตามปกติแล้วอาการปวดหัวในชีวิตประจำวันมักไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง ส่วนมากจะเกิดจากความเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการที่ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งสามารถหายได้ด้วยการดูแลตัวเอง ในบทความนี้ พบแพทย์ได้รวบรวมวิธีแก้ปวดหัวง่าย ๆ ที่ทำได้ที่บ้านมาฝากกัน รวม 9 วิธีแก้ปวดหัวง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองหากมีอาการปวดหัว ลองทำตามวิธีแก้ปวดหัวเหล่านี้ จะช่วยให้อาการปวดหัวของคุณดีขึ้นได้ง่าย ๆ 1. พักผ่อนให้เพียงพออาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายต้องการการพักผ่อน เมื่อมีอาการปวดหัวอาจลองหยุดทำงานและพักสายตาหรืองีบสัก 10 นาที เพราะการทำงานต่อทั้งที่มีอาการปวดหัวจะยิ่งทำให้ปวดหัวมากขึ้น และบางครั้งอาการปวดหัวอาจเกิดจากการนอนไม่พอหรือความผิดปกติด้านการนอน เช่น นอนไม่หลับ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับซึ่งอาจทำให้ปวดหัวเรื้อรัง เพื่อการนอนที่มีคุณภาพ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ซึ่งระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมของผู้ใหญ่โดยทั่วไปคือวันละ 7–9 ชั่วโมง เพราะหากนอนมากไปก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้เช่นกัน และก่อนเข้านอนควรทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น และอ่านหนังสือ หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ เล่นอินเทอร์เน็ต และดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้นอนหลับยาก 2. จิบชาอุ่น ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอการดื่มชาสมุนไพรอุ่น ๆ เช่น ชาขิง ชาคาโมมายล์ (Chamomile Tea) และชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea) ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดหัวก็เป็นวิธีแก้ปวดหัวที่แนะนำเช่นกัน แต่ผู้มีโรคประจำตัวหรือใช้ยารักษาโรคใด ๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มชาสมุนไพร เพราะสมุนไพรเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อโรคที่เป็นอยู่และประสิทธิภาพของยาได้ นอกจากนี้ การดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอในแต่ละวันจะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวได้ โดยทางกระทรวงสาธาณสุขแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8–10 แก้ว ทั้งนี้ ปริมาณการดื่มน้ำของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ ช่วงวัย และกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวมากขึ้น 3. ประคบเย็นวิธีแก้ปวดหัวอีกวิธีคือการประคบเย็น โดยให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น เจลเย็นสำเร็จรูป หรือน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ห่อด้วยผ้าสะอาดแล้วนำมาประคบบริเวณที่รู้สึกปวด เช่น หน้าผาก ขมับ รอบดวงตา และท้ายทอย ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบ ชะลอการทำงานของเส้นประสาท และทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้นได้ 4. อโรมาเธอราพี (Aromatherapy)อโรมาเธอราพีเป็นการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการบำบัดและรักษาโรค โดยน้ำมันหอมระเหยบางชนิดนั้นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดหัว เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์และน้ำมันเปปเปอร์มินต์ โดยสามารถสูดดม สเปรย์ลงบนหมอน หยดลงในอ่างอาบน้ำ และนวดบริเวณศีรษะ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม น้ำมันหอมระเหยบางชนิดมีความเข้มข้นสูง การสูดดมหรือทาลงบนผิวหนังโดยตรงอาจทำให้แสบจมูกระคายเคืองผิวและเกิดอาการแพ้ได้ จึงต้องเจือจางกับน้ำมันชนิดอื่นก่อนใช้ เช่น โจโจบาออยล์ 5. ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปวดหัวที่ได้ผล เช่น เล่นโยคะ ฝึกการหายใจ นั่งสมาธิ ชมภาพยนตร์ เล่นเกมเพื่อผ่อนคลาย รวมถึงฟังเพลง อย่างไรก็ตาม เพลงที่เลือกฟังเพื่อผ่อนคลายควรเป็นเพลงที่มีจังหวะช้า ๆ ฟังสบาย ไม่ควรเลือกเพลงที่มีจังหวะรุนแรง เพราะในบางคนอาจทำให้เกิดความรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นได้ 6. ฝังเข็มการฝังเข็มเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานในร่างกาย และช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ อย่างไรก็ตาม ผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการฝังเข็ม และควรเลือกฝังเข็มกับแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตฝังเข็มอย่างถูกต้อง 7. ปรับการรับประทานอาหารบางครั้งอาการปวดหัวอาจเกิดจากการไม่ได้รับประทานอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงควรแบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ตลอดทั้งวันแทนการรับประทานอาหารมื้อหลักในปริมาณมาก ซึ่งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดเชีย อัลมอนด์ ผักโขม และถั่วดำ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้ อาหารบางอย่างที่เรารับประทานอาจมีสารกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว เช่น ผงชูรสในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ชา กาแฟและช็อคโกแลตที่มีคาเฟอีน เนื้อสัตว์แปรรูป อย่างเบคอนและไส้กรอกที่มีสารไนเตรทสูง และเนื้อสัตว์รมควันและชีสบ่มที่มีสารไทรามีน (Tyramine) ผู้มีอาการปวดหัวบ่อยจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้ 8. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นอาการปวดหัวการอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เสียงดัง มีกลิ่นฉุนหรือกลิ่นเหม็น และที่กลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้มากขึ้น โดยอาการปวดหัวของแต่ละคนอาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างกัน จึงควรสังเกตปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวและหลีกเลี่ยงสถานที่นั้นก็อาจช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้นได้ 9. รับประทานยาแก้ปวดหัวหากลองใช้วิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังไม่ได้ผล อาจเลือกใช้วิธีแก้ปวดหัวด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้เอง เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นวิธีแก้ปวดหัวที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงมากให้ดีขึ้น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมขึ้นไปให้รับประทานครั้งละ 500–1,000 มิลลิกรัม ทุก 4–6 ชั่วโมง และรับประทานไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากยาพาราเซตามอล บางคนอาจรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยาแอสไพริน (Aspirin) ซึ่งยามีข้อควรระวังคือ ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับและโรคไต และผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ยาไอบูโพรเฟนและแอสไพรินควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผู้ที่ปัญหากระเพาะอาหารอักเสบหรือมีแผลในกระเพาะอาหารควรหลีกเลี่ยงการใช้ และห้ามใช้ยาแอสไพรินในเด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ หากดูแลตัวเองด้วยวิธีแก้ปวดหัวข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ปวดหัวบ่อยและปวดรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างเหมาะสม รวมทั้งผู้ที่มีอาการปวดหัวรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ปวดหัวหลังประสบอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คอแข็งเกร็ง ผื่นขึ้น ตาพร่า ร่างกายอ่อนแรง สับสน พูดไม่ชัด และ อาการปวดหัวตุ๊บๆเกิดจากอะไรปวดหัวจากไมเกรน (Migraine)
อาการปวดศีรษะตุบๆ บริเวณข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ มักปวดนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน สู้แสงหรือเสียงไม่ได้ร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการนำก่อนอาการปวดหัว โดยมักเห็นเป็นแสงวูบวาบ หรือมองเห็นภาพไม่ชัด
ทำยังไงให้หายปวดหัวแบบไม่กินยา9 วิธีแก้ปวดหัวง่าย ๆ ทำได้ที่บ้าน. 1. พักผ่อนให้เพียงพอ ... . 2. จิบชาอุ่น ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ... . 3. ประคบเย็น ... . 4. อโรมาเธอราพี (Aromatherapy) ... . 5. ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย ... . 6. ฝังเข็ม ... . 7. ปรับการรับประทานอาหาร ... . 8. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นอาการปวดหัว. |