ถ้าคุณเคยถูกเพื่อนบางคนใน Facebook คอยเอาเปรียบ หรือพยายามเอาชนะคุณอยู่เสมอนั้น 😤 Show คงไม่ใช่เรื่องยากนัก… ที่จะกด Block หรือเลิกคบเป็นเพื่อนกับคนๆ นั้นแต่ในชีวิตจริง กับการทำงานที่ต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานที่คอยเอาเปรียบและเอาชนะอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ… ที่จะปฏิเสธการทำงานร่วมกับคนๆ นั้นได้เลยวิธีแก้ไขปัญหาที่หลายๆ คนต้องตัดสินใจทำก็คือ แต่จริงๆ แล้วยังมีอีก 3 วิธี ที่จะช่วยรับมือเมื่อต้องร่วมงานกับคนที่ชอบเอาเปรียบอยู่ด้วย ลองมาดูทั้ง 3 วิธีนี้กันก่อนค่ะ
บางครั้งเหตุผลของการเอาเปรียบ หรือพยายามเหนือกว่าก็มาจากอายุงานที่มากกว่า ทำให้เขาต้องพยายามที่จะสร้างผลงาน เพื่อให้มีโอกาสในการเติบโตมากยิ่งขึ้นก็เป็น เมื่อรู้ถึงแรงจูงใจแล้ว ก็ทำให้เราสามารถรับมือได้ง่ายขึ้นด้วย
เพราะคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หากคุณกับเพื่อนร่วมงานต้องทะเลาะกัน หรือมีปัญหาขัดแย้งจนผู้จัดการต้องมาเคลียร์ปัญหาแทน
แต่ในทางกลับกันหากคุณไตร่ตรองและพิจารณาดูแล้วว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มีผลต่อภาพรวมของงานเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบกับทีมงานคนอื่นๆ อีกด้วย หากเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมต้องรีบแก้ไขในทันที ซึ่งก็เป็นโอกาสเหมาะที่คุณจะสามารถเปิดใจคุยกับหัวหน้างานของคุณถึงผลกระทบจากผู้ที่สร้างปัญหาให้กับหัวหน้ารับรู้ได้แล้วล่ะ
. PRTR #PeopleAreKeyRecruitment #TotalHRSolutions #หาคน #หางาน. เรื่องราวจาก #kyutaeoppa เมื่อวันหนึ่งรู้ว่าเพื่อนร่วมงานปลอมใส่! คิวเท นักยูทูปเบอร์ชื่อดังติดเทรนด์ทวิตเตอร์ หลังลงคลิปที่มีชื่อว่า “ทีมงานผมเป็นโจรครับ…และเขาก็อยู่กับผมมาตลอด 3 ปี” โดยเรื่องราวคร่าวๆ ที่คิวเทเล่ามีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 คน คนแรกทำงานในตำแหน่ง Video Editor ซึ่งเป็นเด็กที่จบการศึกษาระดับม.6 และแม้ว่าก่อนเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้จะไม่มีพื้นฐานด้านนี้ แต่ก็ได้เงินเดือน 3 หมื่น คนต่อมาเป็นเลขาที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาหมาดๆ ไม่มีประสบการณ์ทำงาน และได้มีการแอบนำข้อมูลบริษัทไปแชร์ที่อื่น ส่วนอีกคนเปิดช่องของตัวเอง ทำให้งานที่ทำกับคิวเทคุณภาพถดถอยลง และคนสุดท้ายเป็นตากล้องที่มีประเด็นขโมยข้าวของของคิวเทไปขาย ซึ่งทำมาเป็นเวลานาน เสียหายหลายแสน ซึ่งจากที่คิวเทเล่าคือ ทีมงานมีการวางแผนรวมหัวกันต่อว่าคิวเทเพื่อจะขอเงินเดือนเพิ่ม อีกทั้งในแชทกลุ่มก็ได้มีการนินทาว่าร้ายคิวเทกันอย่างสนุกปาก เมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมงานแล้ว แน่นอนว่าหลายคนคงเจอเพื่อนร่วมงานดีๆ ในชีวิต แต่ก็มีบางคนที่เป็นเหมือนฝันร้ายของชีวิตการทำงาน ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ไม่ดีในออฟฟิศ และหนึ่งในสิ่งที่แย่ที่สุดคือ ‘เพื่อนร่วมงานจอมปลอม’ หากคนระดับ CEO เจอคนแย่ๆ อย่างมากก็ไล่ออกได้ แต่พนักงานธรรมดาๆ อย่างเราจะจัดการอย่างไรเมื่อเจอเพื่อนร่วมงานที่พูดต่อหน้าเราอย่างหนึ่ง แต่พูดลับหลังเราอีกอย่างหนึ่ง เราควรยิ้มเสแสร้งแกล้งทำและทำตัวปลอมเหมือนเพื่อนร่วมงานคนนั้น หรือเผชิญหน้าไปกับเขาตรงๆ เลยดี หรือเราควรเดินไปบอกเจ้านายไหม? นี่คือเคล็ดลับ 5 ข้อที่จะช่วยให้เรารับมือกับเพื่อนร่วมงานจอมปลอมได้อย่างถูกวิธี 1. ยืนยันข้อสงสัยก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าจะถอยห่างหรือเผชิญหน้ากับบุคคลนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องตรวจสอบก่อนว่าสิ่งที่เรารับรู้มาเป็นความจริงหรือไม่ แน่นอนว่าการซุบซิบนินทาในที่ทำงานเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่ควรเช็กก่อนว่าเราเห็นหรือได้ยินด้วยตัวเอง หรือฟังมาจากคนอื่นอีกที แล้วสิ่งที่ได้ยินมาจากคนอื่นจริงเท็จแค่ไหน 2. รักษาระยะห่างเมื่อรู้จริงๆ แล้วว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นปลอมใส่ สิ่งที่ควรทำคือต้องสร้างระยะห่างระหว่างเรากับเพื่อนร่วมงานคนนั้น เพราะเรารู้แล้วว่าคนนั้นไม่จริงใจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยเราไม่จำเป็นต้องหยาบคายใส่เขา แค่หลีกเลี่ยงและรักษาระยะห่างเวลาเจอกันก็พอ 3. เก็บหลักฐานเราต้องเก็บหลักฐานที่เพื่อนร่วมงานว่าร้ายหรือสิ่งเชิงลบอื่นๆ ไว้ เพราะไม่ว่าเราจะตัดสินใจเผชิญหน้ากับบุคคลนั้นโดยตรงหรือตัดสินใจเดินไปบอกหัวหน้า สิ่งสำคัญที่เราต้องมีคือหลักฐาน เพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้กับตัวเอง พยายามพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานจอมปลอมในที่ที่จะเก็บหลักฐานได้ เช่น อีเมล เพราะจะทำให้เรามีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพูดคุยกัน เราก็จะจับโป๊ะคนนั้นได้ทันที 4. พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาหากปัญหายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงถึงเวลาที่เราต้องพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับเพื่อนร่วมงานที่ก่อให้เกิดปัญหา โดยการหาพื้นที่ส่วนตัวคุยกันเงียบๆ ไม่ต้องถึงขนาดจะไปเปิดฉากต่อสู้ ถ้าพูดคุยกันแล้วปัญหาต่างๆ ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องรายงานหัวหน้าเป็นขั้นตอนต่อไป 5. หลีกเลี่ยงการแก้แค้นไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ตาม ก็อย่าหันไปทำแบบที่เราเคยโดนมา แม้ว่าเพื่อนร่วมงานเราจะทำตัวไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลดตัวไปเป็นคนแบบนั้นตาม การรับมือกับเพื่อนร่วมงานจอมปลอมไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ก็เป็นเรื่องที่ใครหลายๆ คนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเราสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริง รักษาระยะห่าง เก็บหลักฐาน และมีการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาได้ ก็จะทำให้เราจัดการกับสถานการณ์ตึงเครียดในที่ทำงานได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น อ้างอิง The Muse
|