ล้างแอร์รถยนต์ ปีละกี่ครั้ง

คงเคยได้ยินบริการล้างตู้แอร์ในห้องโดยสาร แบบไม่ต้องถอดตู้ เพื่อให้ลมผ่านชุดคอยล์ เพื่อให้
อากาศในรถสะอาด

มีคำถามว่า การล้างตู้แอร์ควรทำเป็นประจำปีละครั้ง ตามคำแนะนำออกมา ดีจริง หรือสร้างปัญหามากกว่าเดิมกันแน่

การล้างตู้แอร์ในอดีต ส่วนใหญ่มักไม่นิยม เนื่อง จากไม่มีเครื่องมือเหมาะสมในการทำความสะอาด กระบวนการล้างตู้จึงใช้วิธีการถอดประกอบตู้แอร์ออกจากระบบเสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เนื่องจากต้องเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ด้วย คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมทำกัน

แต่ความจริงตู้แอร์แม้ผ่านการล้างมา จะสังเกตว่าล้างไม่สะอาด หรือสะอาดเป็นจุดเท่านั้น

ปัจจุบันหลายร้าน มีเครื่องมือล้างตู้แอร์โดยไม่ต้องถอดตู้ให้เสีย ราคาต่างกันไป ประมาณ 700-1,000 บาท แล้วแต่พื้นที่

หลักการคือใช้เครื่องมือพร้อมกล้อง และน้ำยาเข้าไปล้างตู้แอร์สกปรก แล้วปล่อยระบายทาง
ช่องทางออกน้ำตู้แอร์ปกติ

คราบสกปรกจากฝุ่นในห้องโดยสาร และสารระเหย อย่างน้ำหอมของบางคันที่ใช้ในรถ ทำให้เกิดการจับตัวที่ตู้ มีคราบสกปรกเกาะติดเมื่อใช้ไปนานๆ

การล้างตู้แอร์จึงกลายเป็นเหมือนทางออก เพื่อความสบายใจในการสูดดมอะไรในรถ แต่กลับเป็นช่องทางของร้านแอร์จำนวนมากเช่นกัน

การล้างตู้แอร์ ถามว่าได้ผลไหม คำตอบคือได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะการส่องกล้อง เอาหัวฉีดเข้าไปล้างหลายครั้ง จะทำได้เฉพาะจุด ไม่ทั่วทั้งแผง เหมือนกับการถอดออกมาล้าง บ่อยครั้ง

เมื่อถอดตู้แอร์ออกมาในภายหลัง จะพบว่าตู้แอร์ไม่ได้สะอาดอย่างคาดหวัง จะยังสกปรกอยู่ แต่มีบางส่วนเท่านั้นที่สะอาด และยังเป็นการยากจะทำความสะอาดตู้แอร์ทั้งหมด ได้เท่าการถอดล้าง

นอกจากนี้ ปัจจุบันแอร์รถยนต์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ มีกรองแอร์ คอยดักฝุ่นก่อนอากาศผ่านตู้แอร์ ทำให้ฝุ่นไม่ไปจับตู้แอร์มาก เว้นฝุ่นขนาดเล็กจริงๆ ปัจจุบันตู้แอร์เป็นอะลูมิเนียม ทำให้เมื่อโดนน้ำจะมีความชื้นสะสม ในที่สุดกลายเป็นการกัดกร่อนตู้แอร์ จนในที่สุดเสียหายรั่ว และต้องเปลี่ยนอยู่ดี

ปัจจุบันตู้แอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี โดยประมาณ ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ต่อให้ล้างทำความสะอาดดีแค่ไหนก็ตาม

ส่วนสำคัญคือกรองแอร์ ควรเปลี่ยนทุกปี ถ้าเป็นไปได้ เพราะราคาไม่แพง สามารถลดฝุ่นจับตัวที่
คอยล์เย็นได้มากพอสมควร

สรุปการล้างตู้แอร์ไม่มีความจำเป็น ไม่เหมือนแอร์บ้าน มีฝุ่นมากกว่า ส่วนใหญ่คอยล์เย็นมีอายุยืนยาว
ไม่เหมือนแอร์รถยนต์

ส่วนปัญหาแอร์รถไม่เย็น กว่าร้อยละ 80 คือระบบแอร์มีปัญหารั่วในระบบ จากเหตุชิ้นส่วนอย่างใดอย่างหนึ่งเสื่อมสภาพตามกาลเวลา จนน้ำยาทำความเย็นหายออกไปสู่ภายนอก

การวิเคราะห์แอร์รั่วเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าระบบปรับอากาศจะมีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่อย่างก็ตาม ก็ยากจะหาเจอ ถ้าวิเคราะห์ผิดอาจบานปลาย ต้องจ่ายค่าซ่อมมากกว่าควรจะเป็น

ช่างส่วนใหญ่จะแนะให้เติมน้ำยาแอร์แล้วกลับไป
ใช้ก่อน เพื่อรอดูว่าอาการแอร์รั่วจริง หรือแค่น้ำยาขาด ทำให้คุณต้องเสียเงินก่อนต่อแรก

เท่านั้นไม่พอ ปัจจุบันน้ำยาแอร์มีทั้งของแท้ ของปลอม แหล่งที่มาหลากหลาย อาจสร้างปัญหามากกว่าจะเป็นผลดี น้ำยาไม่ดีจะทำให้ระบบแอร์เกิดปัญหาทันที โดยเฉพาะกับตัวอัดน้ำยา หรือ คอมเพรสเซอร์ อาจทำให้คอมเพรสเซอร์พังได้ เพียงเพราะไม่รู้เท่าทันช่าง

ทางที่ดี ถ้าจะซ่อมแอร์ควรไปร้านที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะจริงๆ และควรหาความรู้เพิ่มเติม จะได้ไม่ถูกหลอก

ล้างแอร์รถยนต์ ปีละกี่ครั้ง

เราควรล้างแอร์รถยนต์เมื่อไร?

เป็นคำถามที่ค้างคาใจกันอยู่ไม่น้อย สำหรับใครหลายคน ว่าอะไรจะมาเป็นตัวชี้วัดว่าเราควรล้างแอร์เมื่อไร?

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน สภาพถนนมีฝุ่นมากน้อยแค่ไหน สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แต่ตามปกติประมาณ 1 ปีขึ้นไป หรืออยู่ที่ประมาณ 20,000 กม. หรือจะสังเกตง่ายๆดังนี้ ลองเอาจมูกของเราไปจ่อกับช่องแอร์รถเมื่อตอนใช้งาน แล้วเช็คกลิ่นฝุ่น กลิ่นอับ ถ้ามีก็ถึงเวลาสมควรแล้วละที่จะล้างซักที

การล้างแอร์รถยนต์จะมีอยู่ด้วยกัน 4 วิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่วิธีการและอายุของตัวรถ

  1. แบบถอดตู้แอร์ คือ การรื้อตู้แอร์เอาคอยล์เย็นมาล้าง ทีนี้ก็ขึ้นกับช่างว่าเอาอะไรมาล้าง บางร้านก็ใช้น้ำยาล้าง บางร้านก็ใช้ผงซักฟอก แต่การใช้ผงซักฟอกล้างถ้าช่างล้างไม่สะอาดล้างไม่เกลี้ยงผลที่ตามมา อาจกัดกร่อนคอยล์เย็นได้ และเมื่อสูดดมเข้าไป ไม่ส่งผลดีต่อระบบหายใจ ถ้าคนแพ้ ก็อาจแสบตา แสบจมูก และมีสิทธิ์ที่ท่อแอร์จะมีโอกาสที่จะรั่วสูง ถ้าไม่เติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ และเปลี่ยนไดเออร์กับวาล์วความดัน
  2. แบบไม่ถอดตู้ การล้างโดยใช้เครื่องล้างตู้แอร์โดยไม่ต้องถอดอะไรออกมาล้างทั้งสิ้น การล้างแบบนี้เหมาะกับรถใหม่ รถที่ล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง หรือเหมาะกับรถที่ดูแลตู้แอร์เป็นประจำ
  3. การฉีดสเปรย์ทำความสะอาด นั้นเหมาะกับรถตู้แอร์ยังไม่สกปรกมากส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของรถต้องการล้างนอกรอบเสียมากกว่า ประมาณ2-3เดือนครั้ง แต่กว่าจะล้างให้สะอาดหมดจดค่าสเปรย์ นั้นเปลืองกว่า 2 แบบแรกอย่างแน่นอน
  4. การใส่กรองแอร์ แต่ใช่ว่าจะใส่กันได้หมดทุกรุ่น แถมอายุการใช้งานสั้น ประมาณ 5,000 กม. แค่นั้นเอง ถ้าไม่เปลี่ยน ลมจะผ่านเข้าตู้แอร์ไม่สะดวก ลมแอร์ที่ออกมาก็จะอ่อนกำลังลง ลมที่ตีกลับจะมีผลต่อคอมแอร์ กรองแอร์สำหรับรถบางรุ่นราคาพอรับได้ แต่บางรุ่นราคาเป็นพันบาท ถ้าใช้วิธีนี้ในการทำความสะอาด ในระยะ 1 ปี ก็เสียค่าใช้จ่ายมากกว่า แบบที่ 1 และที่ 2

ไหนๆ ก็เข้าหน้าร้อนแล้วการอย่างลืมดูแลแอร์ด้วยเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ถ้าขับในหน้าร้อนแล้วแอร์เสีย คนนั่งไปด้วยก็หงุดหงิด คนขับก็หงุดหงิดแหะๆ เดี๋ยวงานจะเข้า

กี่ปีควรล้างแอร์รถยนต์

โดยทั่วไป ระยะเวลาที่ควรตรวจเช็คและทำความสะอาดแอร์รถยนต์คือประมาณ 1 ปีขึ้นไปต่อครั้ง หรือทุกๆ 20,000 กิโลเมตรขึ้นไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำของกินขึ้นมารับประทานบนรถ ปริมาณฝุ่นที่ติดมากับรองเท้า การใช้น้ำหอมดับกลิ่นในรถที่มีลักษณะเป็นเจล นอกจากนี้ หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาอย่าง ...

ล้างตู้แอร์กี่ปี

ปัจจุบันตู้แอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี โดยประมาณ ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ต่อให้ล้างทำความสะอาดดีแค่ไหนก็ตาม ส่วนสำคัญคือกรองแอร์ ควรเปลี่ยนทุกปี ถ้าเป็นไปได้ เพราะราคาไม่แพง สามารถลดฝุ่นจับตัวที่ คอยล์เย็นได้มากพอสมควร สรุปการล้างตู้แอร์ไม่มีความจำเป็น ไม่เหมือนแอร์บ้าน มีฝุ่นมากกว่า ส่วนใหญ่คอยล์เย็นมีอายุยืนยาว

การล้างแอร์รถยนต์มีกี่แบบ

วิธีล้างแอร์รถยนต์.
1. ล้างตู้แอร์แบบถอดตู้.
2. ล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้.
3. ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์.
4. ใส่กรองแอร์.
วิธีดูแลแอร์รถยนต์.

แอร์ควรล้างบ่อยแค่ไหน

ทุกๆ 6 เดือน – ได้เวลาที่เหมาะสมหากคุณเปิดแอร์วันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง อยากให้ตรงนี้เป็นมาตรฐานของทุกบ้าน ที่ต้องทำในทุกๆปี คือแอร์ 1 เครื่อง ควรเรียกช่างมา 2 ครั้งต่อปี เพื่อความสะอาดของแอร์ รวมไปถึงอากาศภายในห้องหรือบ้านของคุณ อีกทั้งยังเป็นการบำรุงรักษาเพื่อที่จะทำให้อายุการใช้งานแอร์ของคุณนานขึ้นอีกด้วย หากยังลังเล ...